Wallpaper The Counselor

 

ริดลีย์ สก็อตต์ ผู้สร้างภาพยนตร์แห่ง Legendary และคอร์แม็ค แม็คคาร์ธี่ นักเขียนเจ้าของรางวัล Pulitzer Prize (No Country for Old Men) ได้มาร่วมงานกันในภาพยนตร์ระทึกขวัญเรื่อง THE COUNSELOR นำแสดงโดย ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์, เพเนโลเป้ ครูซ, คาเมรอน ดิแอซ, ฮาเวียร์ บาร์เด็ม และ แบรด พิตต์ โดยแม็คคาร์ธี่มาเขียนบทภาพยนตร์เป็นครั้งแรก ส่วนสก็อตต์ทำหน้าที่ผสมผสานความอัจฉริยะของตัวละครเข้ากับมุกตลกร้ายของบทที่ชวนขวัญผวา ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางธุรกิจเพียงครั้งเดียวของทนายความที่ได้รับความนับถือ เขาต้องพัวพันกับธุรกิจผิดกฏหมายที่ไม่สามารถควบคุมได้

ภาพยนตร์ถ่ายทอดทั้งไหวพริบ ความรุนแรง และความน่าสงสารของเรื่องราวออกมา ภาพยนตร์เรื่อง THE COUNSELOR เป็นเรื่องราวที่ให้ข้อคิดด้านความยั่วยวนใจในทางที่ไม่เหมาะสม คอร์แม็ค แม็คคาร์ธี่ เล่าว่า “เป็นเรื่องราวของคนที่เข้าไปพัวพันกับสิ่งที่ควรจะอยู่ห่างเอาไว้”

ครั้งหนึ่งเคยถูกขนานนามว่าเป็นเรื่อง “Shakespeare of the West” ตัวละครที่ยากจะลืมเลือนของแม็คคาร์ธี่ได้เนรมิตจินตนาการที่มีมนต์เสน่ห์ให้ผู้อ่านนับล้านคน ขณะเดียวกันนิยายของเขาอีกหลายเรื่อง อาทิเช่น No Country for Old Men, The Road และ All The Pretty Horses ก็ได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ แม็คคาร์ธี่สร้างความแปลกใจให้ทุกคนเมื่อเขาหันมาเขียนบทภาพยนตร์ให้เรื่อง THE COUNSELOR ตัวละครต่างๆ ของเรื่องเป็นที่น่าจับตามองท่ามกลางบรรยากาศที่ชวนสร้างความกังวล ซึ่งไหวพริบและอารมณ์ขันของแม็คคาร์ธี่ทำให้บทภาพยนตร์มีความหลอนมากขึ้นเรื่อยๆ

แม็คคาร์ธี่ขายบทภาพยนตร์ให้ผู้สร้างฯ นิค เวสเลอร์, สตีฟ ชวอตซ์ และ พอล เม ชวอตส์ โดยทั้งสามคนนี้อยู่เบื้องหลังผลงานดัดแปลงเรื่อง The Road หลังจากนั้นไม่นานริดลีย์ สก็อตต์ ได้อ่านบทภาพยนตร์และอยากนำมาสร้างเป็นผลงานเรื่องถัดใหม่ของเขาเอง

สก็อตต์เริ่มมาร่วมงานกับทีมงานขาประจำของเขา เช่น ผู้กำกับภาพฯ ดาริอุส วัลสกี้ (Pirates Of The Caribbean, Alice In Wonderland) ต่อมาได้ร่วมงานกับสก็อตต์อีกครั้งในเรื่อง Prometheus, ผู้ออกแบบฉากฯ เจ้าของรางวัล BAFTA อาร์เธอร์ แม็กซ์ (Prometheus, Se7en, Gladiator) และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายเจ้าของรางวัล Oscar® แจนตี้ เยทส์ (Prometheus, Gladiator) ภาพยนตร์เรื่อง THE COUNSELOR เป็นผลงานการร่วมงานกันครั้งที่ 9 ระหว่างแม็กซ์กับสก็อตต์ และเป็นผลงานเรื่องที่ 8 ของเยทส์ที่ได้ร่วมงานกับผู้สร้างภาพยนตร์ชื่อดัง ผู้ลำดับภาพฯ เจ้าของรางวัล Oscar ถึงสองครั้งอย่าง ปิเอโตร สกาเลีย, A.C.E (Prometheus, JFK) มาร่วมงานกับสก็อตต์เป็นครั้งที่ 7 ส่วนมาร์ค ฮัฟแฟม (Prometheus, Mamma Mia!) และไมเคิล คอสติแกน (Robin Hood, Body of Lies) ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ ร่วมกับแม็คคาร์ธี่ และไมเคิล เชเฟอร์ ประธานแห่ง Scott Free

 

 “ผมรู้ว่าทำไมตัวเองถึงมีส่วนร่วมด้วย แล้วคุณล่ะ?”

–         เรเนอร์ (ฮาเวียร์ บาร์เด็ม) พูดกับทนายความ (ไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์)

 

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นด้วยกาแฟยามเช้าเพียงแก้วเดียว

คอร์แม็ค แม็คคาร์ธี่ อยู่ระหว่างการเขียนนิยาย 2 เรื่อง วันหนึ่งเขาตื่นขึ้นมาแล้วคิดว่าตัวเองอยากหยุดพักผ่อน แต่เขากลับไม่ได้คิดถึงเรื่องวันหยุดพักผ่อน เพราะมันยิ่งกว่านั้น

เขาตัดสินใจเขียนบทภาพยนตร์ขึ้นมา

เมื่อบทภาพยนตร์ร่างแรกเสร็จเรียบร้อย เขาส่งบทไปให้บรรดาผู้สร้างฯ นิค เวสเลอร์, สตีฟ ชวอตซ์ และ พอล เม ชวอตซ์ ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง The Road จากนิยายเรื่องดังของแม็คคาร์ธี่ “พวกเราต่างเป็นแฟนงานเขียนของคอร์แม็ค และคิดว่าเรื่อง THE COUNSELOR เป็นเนื้อแท้ของคอร์แม็คที่มีทั้งความน่าตะลึง มีพลัง และเดาทางไม่ถูก” เวสเลอร์กล่าว

ในความเป็นจริงแล้วภาพยนตร์เรื่อง THE COUNSELOR มีพลังและการเล่าเรื่องราวแบบเดียวกับลักษณะนิยายของแม็คคาร์ธี่ “บางคนขนานนามภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเป็น No Country for Old Men” สตีฟ ชวอตซ์ ผู้สร้างฯ เล่าว่า “ผมคิดว่ามีมูลความจริงอยู่ในเรื่อง ความคลาสสิคทั้งหลายของคอร์แม็คล้วนอยู่ในเรื่อง THE COUNSELOR ที่สะท้อนว่าเนื้อแท้ของมนุษย์ไม่ได้ดีเลิศ…แต่มนุษย์มีทางเลือกเสมอ ซึ่งเรามักพลาดอยู่บ่อยๆ ทางเลือกนำมาสู่ผลลัพธ์ บางครั้งความเป็นตายของเราก็ขึ้นอยู่กับมัน นี่แหละคือข้อคิดในเรื่องราว”

หลังจากที่บรรดาผู้สร้างฯ รู้ว่า ริดลีย์ สก็อตต์ ผู้สร้างภาพยนตร์ในตำนานสนใจเนื้อเรื่อง พวกเขานัดพบทั้งสก็อตต์และนักเขียน/ผู้เขียนบทฯ แม็คคาร์ธี่จำได้ว่า “เราคุยกันถึงเรื่องบทภาพยนตร์และจับมือกัน วันหนึ่งเรากำลังจิบกาแฟอยู่ที่บ้าน หลังจากนั้นไม่กี่เดือนเราก็ได้มาอยู่ที่สเปน [ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำเรื่อง THE COUNSELOR หลายฉาก] พร้อมกับทีมงานและนักแสดงกว่า 200 คน”

การพบกันระหว่างผู้ชำนาญทั้งสองราวกับเป็นพรหมลิขิต สก็อตต์ประทับใจในผลงานของแม็คคาร์ธี่มานานแล้ว เขาเคยอ่านหนังสือเรื่อง Blood Meridian, All the Pretty Horses, No Country for Old Men และ The Road แถมเขายังเรียกนักเขียนว่าเป็น “สุดยอดนักแต่งนิยายชาวอเมริกัน” สก็อตต์มีปฏิกิริยาแบบเดียวกันนี้กับบทภาพยนตร์ของแม็คคาร์ธี่เรื่อง THE COUNSELOR “อ่านแล้วเหมือนกับเป็นสุดยอดเรื่องสั้นหรือนวนิยายฉบับสั้น เรื่องราวสร้างความตื่นเต้นได้สุดขั้วเลยทีเดียว” สก็อตต์กล่าว “ในบทมีทั้งสถานการณ์ต่างๆ กับตัวละครที่อลังการงานสร้าง และมีเรื่องราวที่ต้องยอมจำนนเกิดขึ้นกับพวกเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่พวกเขาไม่มีทางเลี่ยงได้เลย”

การผสมผสานกันระหว่างวิถีชีวิตที่ไม่มีวันอ่อนข้อของตัวละครที่มียศฐาบรรดาศักดิ์กับความพังพินาศถือเป็นตลกร้ายแบบคอร์แม็ค แม็คคาร์ธี่ “ผมว่าทุกเรื่องมีอารมณ์ขัน” สก็อตต์กล่าว   “ตัวละครต่างเพรียบพร้อมมาก พวกเขามีเสน่ห์ แต่สามารถปรับตัวและสวมบทบาทตามอาชีพของเขาได้” และนั่นนำไปสู่ช่วงอารมณ์ขันที่ไม่ทันคาดคิด สตีฟ ชวอต์ซ กล่าวเสริมว่า “ตัวละครทั้งหลายมาจากตัวคอร์แม็ค ซึ่งระหว่างที่พวกเขาอาจมีความผิดพลาดแตกต่างก็มีความสนุกให้จับตาดูตลอดเวลา”

ผู้อำนวยการสร้างฯ พอล เม ชวอตซ์ เล่าว่า “นิยายของคอร์แม็คขึ้นชื่อเรื่องบทสนทนาที่จัดจ้าน ซึ่งความพิเศษจุดนี้ยิ่งสร้างพลังให้ภาพยนตร์ เมื่อเราได้เห็นและได้ยินตัวละครเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ ผ่านอารมณ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่ความรุนแรงที่ไม่อาจหาคำมาอธิบายได้ ไปจนถึงการหัวเราะออกมาอย่างดังลั่น”

 

 “คุณเคยทำเรื่องเลวร้ายมั้ย?”

–         ลอว์ร่า (เพเนโลเป้ ครูซ) พูดกับทนายความ (ไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์)

 

เนื่องด้วยสก็อตต์มากำกับบทภาพยนตร์ต้นฉบับของแม็คคาร์ธี่ ภาพยนตร์เรื่อง THE COUNSELOR จึงได้รับความสนใจจากวงการเป็นพิเศษ และผู้สร้างก็เริ่มรวมตัวนักแสดงในจินตนาการขึ้นมา “นี่คือกลุ่มสุดยอดนักแสดงที่มาสร้างเสน่ห์ให้ตัวละครอย่างที่เราไม่เคยเห็นบนหน้าจอมาก่อน” เวสเลอร์กล่าว

ไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์ มารับบททนายความที่ไม่เปิดเผยนาม เขาเป็นทนายที่อยากเข้ามาพัวพันกับความคลุมเครือและโลกแห่งความเสี่ยงเพื่อสร้างเงินด่วนทันใจ จากนั้นไม่นานเขาได้เรียนรู้ว่าการตัดสินใจพลาดเพียงเรื่องเดียวอาจนำมาสู่ผลลัพธ์ที่น่าตกใจและไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้ แม้เขาจะได้รับคำเตือนมากมายถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการเข้ามาพัวพันเรื่องนี้ แต่ความโอหังในตัวทนายความคือสิ่งที่ปรามเขาไว้ไม่อยู่

แม็คคาร์ธี่อธิบายว่าทนายความเปรียบเหมือนตัวละครสุดคลาสสิคของโศกนาฏกรรม “เขาเป็นคนดีที่ตื่นขึ้นมาวันหนึ่งกลับเลือกทำเรื่องผิดๆ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด บางคนต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอนาถ ทำแต่เรื่องผิดพลาดและเสียชีวิตลงอย่างสงบบนเตียงตัวเองตอนอายุ 102 ปี แต่ทนายความไม่ใช่หนึ่ในคนเหล่านั้นหรอก”

ฟาสเบ็นเดอร์คือตัวเลือกเดียวของสก็อตต์ที่จะให้มารับบทนายความ ฟาสเบ็นเดอร์แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นนักแสดงที่มีหลายบทบาทและน่าเชื่อถือ ตั้งแต่บทเด่นใน Hunger ไปจนถึงบทบาทล่าสุดในเรื่อง X-Men: First Class, Shame และภาพยนตร์เรื่องดังของสก็อตต์ปี 2012 เรื่อง Prometheus ฟาสเบ็นเดอร์ที่มีทั้งความกล้า ความเท่ห์ และเสน่ห์เย้ายวนสามารถรับมือได้หมด เขาเปิดรับโอกาสที่จะได้กลับมาร่วมงานกับสก็อตต์ และปลุกตัวละครเอกของแม็คคาร์ธี่มีชีวิตขึ้นมา

“เรื่องราวถูกบรรจงเขียนขึ้นมา มีทั้งการตบตาและความสมดุลในเรื่อง ขณะเดียวกันก็ให้ข้อคิดหลายอย่าง คอร์แม็คเว้นระยะมากพอให้นักแสดงได้แสดงฝีมือในเรื่อง” ฟาสเบ็นเดอร์กล่าว “นี่ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงเลยก็ว่าได้”

เขากล่าวต่อ:  “และผมชอบร่วมงานกับริดลีย์มาก ทุกวันเหมือนได้เข้าห้องเรียนระดับแถวหน้า”

ไม่แน่ว่าความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ของทนายความอาจอยู่ที่ความหยิ่งของเขาเอง “เขาคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าที่เป็นอยู่” ฟาสเบ็นเดอร์ “เขามีโอกาสมากพอที่จะชิ่งจากสถานการณ์ได้ แต่เขากลับพูดว่าตัวเองยังไหวอยู่ตลอด ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ไหวแล้ว เพราะความโอหังที่บังตาดันให้เขาเดินต่อ”

ทนายความเพิ่งพบว่าตัวเองจนตรอกเมื่อหลายเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นติดต่อกัน จนนำมาสู่ผลลัพธ์อันน่าสลดให้เขาและคู่หมั้น ลอว์ร่า (เพเนโลเป้ ครูซ)

หากพูดถึงความบริสุทธิ์ในเรื่องคงจะเป็นลอว์ร่า หญิงสาวแสนสวยที่ฟาสเบ็นเดอร์เล่าให้ฟังว่า “ทนายความหลงรักเธออย่างสุดขั้วหัวใจ”

ครูซและฟาสเบ็นเดอร์ได้มาเข้าฉากร่วมกันครั้งแรกตอนเปิดฉากภาพยนตร์ มีการถ่ายทอดความรู้สึกที่ลึกซึ้งของทั้งสองฝ่าย “มีความตื่นเต้นอยู่ในสายสัมพันธ์ของตัวละคร และเราจะสัมผัสได้ทันทีตอนเปิดฉาก” สก็อตต์กล่าว “มันเป็นความสนิทที่เริ่มต้นจาก 0-60  ในชั่วพริบตา”

แม็คคาร์ธี่เล่าต่อว่า “ผมไม่รู้ว่าครั้งสุดท้ายที่ผมดูหนังแล้วเห็นคนสองคนรักกันและมีความสัมพันธ์กันคือเมื่อไหร่ มันกลายเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว ผมเลยคิดว่าน่าจะลองนำมันกลับมา ฉากเปิดตัวเป็นภาพวาดและตัวละครทั้งสองพูดคุยกันเหมือนผู้ใหญ่”

มีแรงดึงดูดที่เร้าอารมณ์ในฉาก แต่ถึงอย่างไรก็มีฉากที่จับใจระหว่างตัวละครทั้งสองที่แสดงออกทางอารมณ์ตอนดินเนอร์ได้พอๆ กัน ช่วงที่ทนายความขอลอว์ร่าแต่งงาน “ผมอยากให้มีความประทับใจและดูสมจริง อยากแสดงให้เห็นว่าพวกเขาต้องการกันมากแค่ไหน” สก็อตต์กล่าว

แต่ความปลื้มปิติแห่งการหมั้นของพวกเขาต้องพันผูกอยู่กับโลกแห่งความพินาศที่ทนายความมีส่วนร่วมในนั้นด้วย ลอว์ร่าเป็นสาวสวยและสดใส เธอมองเห็นข้อดีในตัวทกคน ความฉลาด การมองการณ์ไกล และความรักที่เธอมีให้ต่อทนายความกลับไม่เหมาะกับสภาพจนตรอกของเขาเลย ทั้งคู่ต้องพบกับเหตุการณ์อันน่าสลดหากข้อตกลงที่เขามีส่วนร่วมกับพวกมีอำนาจเกิดข้อผิดพลาด

“ลอว์ร่าคือสิ่งที่มีค่าสำหรับเขาที่สุด” แม็คคาร์ธี่กล่าว “เรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขาเลวร้ายจนหาคำบรรยายไม่ได้”

 

 “หากคุณเลือกเส้นทางนี้แล้ว คุณจะต้องตัดสินใจเรื่องศีลธรรม นั่นอาจทำให้คุณเกิดความคิดที่คาดไม่ถึง และเป็นความคิดที่คุณคาดไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้นได้

–         เรเนอร์ (ฮาเวียร์ บาร์เด็ม) พูดกับทนายความ

 

จาร์เวียร์ บาร์เด็ม สามีตัวจริงของครูซต้องมารับบท เรเนอร์ เจ้าของไนท์คลับผู้มีอิทธิพลที่พาทนายความเข้าสู่ธุรกิจที่น่าสงสัย ภาพยนตร์เรื่อง THE COUNSELOR ได้พลิกบาร์เด็มสู่โลกที่แม็คคาร์ธี่จินตนาการขึ้นมา ผลงานเรื่อง No Country for Old Men เป็นผลงานที่ได้รับคำชม ส่วนบาร์เด็มเคยรับรางวัล Oscar จากการแสดงในบทนักฆ่าแอนตอน ชีเกอร์

เรเนอร์ให้การสนับสนุนโลกทั้งสองใบ ทั้งเจ้าของไนท์คลับที่เป็นแหล่งอโคจรสุดหรูกับโลกแห่งอาชญากรรมความรุนแรงที่คืบคลานเข้าหาทนายความกับเรเนอร์อย่างรวดเร็ว เรเนอร์เข้าใจในสภาวะความเลวร้ายของทนายความได้ดีเป็นพิเศษ แต่สุดท้ายเขาเป็นเพียงเหยื่อที่มีคุณค่าของชีวิต ซึ่งเขาเองก็หาคำอธิบายไม่ได้

บาร์เด็มพบว่าบทภาพยนตร์ของแม็คคาร์ธี่เรื่อง THE COUNSELOR ทั้งน่าสนใจและทรงพลัง  และเขาสนุกที่ได้หวนกลับมาหาแนวทางของแม็คคาร์ธี่อีกครั้ง นักแสดงชายเล่าว่า “เป็นเรื่องยากที่จะพบเนื้อเรื่องที่มีฉากยาวจนจะเริ่มบทพูดได้ ด้วยภาพที่ทรงพลัง ผมอินกับเรื่องราวโดยทันที ผมรู้เลยว่าบทพูดนั้นเหมือนกับของขวัญสำหรับนักแสดง”

“ผมใช้คำพูดของคอร์แม็คมาครีเอทตัวละครของผม คำที่เรเนอร์พูดซ้ำๆ ตลอดเวลาคือ ‘ผมไม่รู้’ ผมอยากให้ตัวเองดูเหมือนคนที่กำลังอยู่ในที่นั่งลำบาก แถมผมยังศึกษาถึงความคิดของเรเนอร์ที่เลือกจะเมินเฉยต่อข้อมูลหรือข่าวสารที่ทำให้ชีวิตเป็นเรื่องง่ายอีกด้วย”

บทนำของสตรีเป็นจุดสำคัญของสก็อตต์ โดยคาเมรอน ดิแอซ มารับบทแสดงเป็นตัวละครที่ลึกลับและเข้มแข็งที่สุดเท่าที่เคยมีมา ดิแอซเคยผ่านผลงานคอมเมดี้ เธอตื่นเต้นกับการแสดงเป็น มัลคิน่า ตัวละครของเธอที่เป็นแฟนสาวสุดแสบของเรเนอร์ เธอเป็นพวกต่อต้านสังคม ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของผู้อื่น ซึ่งนั่นหมายถึงเธอทำทุกอย่างได้ลงคอ พลังของมัลคิน่ามาจากความมุ่งมั่นที่เป็นตัวควบคุมและบงการทุกอย่างที่เธอเชื่อว่าสมควรจะได้รับมัน ไม่ว่าผลลัพธ์จากการกระทำของเธอเป็นแบบไหน เธอจะไม่มีวันรู้สึกผิดอย่างแน่นอน

ดิแอซตอบรับบทฯ อย่างทันที “มัลคิน่าเป็นพวกต่อต้านสังคมและฉลาดมาก เธอทำได้ทุกสิ่ง ไม่มีคำว่ามนุษยธรรมสำหรับมัลคิน่า มีเพียงสองคำถามที่เธอถามตัวเองตลอดคือ ทำยังไงฉันถึงจะได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ?  มีอะไรที่ฉันต้องพบเจอบ้าง? ไม่มีสิ่งใดและไม่มีใครที่อยู่ในความสนใจของเธอเลย มัลคิน่ามีอิทธิพลมาก เพราะเข้าใจผลลัพธ์จากการกระทำของเธอมากกว่าตัวละครอื่น

“สิ่งเดียวที่เธอต้องการมากกว่า [เหนือทุกอย่าง]” ดิแอซเล่าต่อว่า “มัลคิน่าหวังว่าจะควบคุมผู้ชายทุกคนได้ เธอใช้จนสุดพลังจากนั้นเขี่ยผู้หญิงทุกคนจนกระเด็นออกไป”

“มัลคิน่าอาจทำให้คุณนึกถึงตัวละครของฮาเวียร์ [ในบทชีเกอ] จากเรื่อง No Country for Old Men” แม็คคาร์ธี่กล่าว “ตัวละครทั้งสองต่างมีอารมณ์ขัน ซึ่งนั่นอาจเป็นเครื่องหมายของผู้มีปัญหาทางจิตก็เป็นได้ เธอยิ้มหลายครั้ง แต่นั่นไม่ใช่รอยยิ้มที่ทำให้คุณใจชื้นขึ้นมาเลย”

ดิแอซต้องร่วมฉากกับบาร์เด็มเป็นส่วนใหญ่ เธออธิบายถึงความสัมพันธ์ที่มีความซับซ้อนของตัวละครทั้งสองว่า “มัลคิน่าพบความอ่อนหวานในตัวเรเนอร์ เขาเป็นผู้ชายที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อเธอ ซึ่งแน่นอนว่าเธอเป็นคนวางแผนนั้นขึ้นมา เขาปล่อยให้เธอมาบงการชีวิตของเขาอย่างไม่รู้ตัวด้วยการให้เธอเข้ามามีส่วนร่วมกับธุรกิจของเขา ให้เธอได้สิ่งที่เธอคิดว่าตัวเองสมควรได้รับ ที่แย่ไปกว่านั้นคือเธอได้โอกาสที่เหมาะเจาะ การทำลายชีวิตคนอื่นคือความสนุกของเธอ มันทำให้เธอรู้สึกสดชื่น เรเนอร์อยากทำให้เธอมีความสุขอย่างเต็มที่ แต่เธอกลับไม่เคยมีความสุข เขาไม่เคยละความพยายาม ซึ่งหมายถึงเธอได้ทุกสิ่งที่เธอต้องการ เธอต้องการมันและทำให้เขามีโอกาสพอที่จะหวนกลับมา”

“มันเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา” บาร์เด็มอธิบายเพิ่มว่า “เรเนอร์มาถึงจุดที่คิดว่าตัวเองควบคุมทุกอย่างและทุกคนได้ จากนั้นได้พบกับมัลคิน่าที่เริ่มมาบงการชีวิตของเขา ซึ่งระหว่างที่สร้างความตื่นเต้นให้เขาได้ ก็สร้างความกลัวให้เขาได้ด้วยเช่นกัน”

 

 “ประเด็นอยู่ที่ คุณทนาย คุณอาจคิดมีหลายสิ่งที่คนเหล่านี้ลงมือทำได้อย่างง่ายดาย ซึ่งมันไม่ใช่

–         เวสเทรย์ (แบรด พิตต์)

 

เวสเทรย์ ตัวละครของแบรด พิตต์ ไม่ได้เลวร้ายเท่ามัลคิน่า แม้ว่าเขาจะมีด้านมืดอยู่ในตัวบ้างก็ตาม เวสเทรย์เป็นพวกยึดหลักปรัญชาและเป็นคนกลางของเรื่องราวชวนน่าสงสัย เขาเป็นคนเตือนทนายความเรื่องความเสี่ยงของโลกที่เขาเลือกจะเข้าไปพัวพันอย่างไม่ทันระวังตัว เวสเทรย์เป็นคนหล่อ มีเสน่ห์และฉลาด เขาเป็นเสือผู้หญิงอย่างไม่รู้สึกผิดจนเป็นลางร้ายมาสู่การตายของเขา

“เราไม่รู้หรอกว่าเวสเทรย์ทำอะไรบ้าง นอกเหนือจากที่เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มบริษัทที่ตกลงราคาขายร่วมกันที่ทนายความเข้ามาร่วมธุรกิจด้วย” สก็อตต์กล่าว แต่นอกเหนือแรงจูงใจและความจงรักภักดีขอเขาแล้ว เวสเทรย์เป็นผู้นำความล้ำสมัยอีกด้วย “เราจับเขาแต่งตัวเหมือน แฮงค์ วิลเลียมส์ ตำนานแห่งเพลงคันทรี่” ทั้งแจ็คเก็ตคาวบอย มีฟองน้ำนูนบนบ่า หมวกและรองเท้าคาวบอย ผู้กำกับฯ เล่าต่อว่า “เวสเทรย์ยังเจ้าชู้นิดๆ อีกด้วย”

“เวสเทรย์เป็นตัวละครที่มีสีสัน แบรดก็แสดงออกมาได้อย่างสร้างสรรค์และดูเจ้าเล่ห์ด้วย” เวสเลอร์กล่าวเสริม

พิตต์ได้กลับมาร่วมงานกับริดลีย์ สก็อตต์ เขาเริ่มทำงานที่ Thelma & Louise พิตต์มีบุคลิกที่หาคนเทียบได้ยาก ทำให้ตัวละครไม่เหมือนใครและยากจะลืม โอกาสที่ได้กลับมาร่วมงานกับสก็อตต์และมีบทภาพยนตร์จากนักเขียนที่เขาชื่นชมมาอย่างยาวนานเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ลงเลย “ผมเป็นแฟนคนหนึ่งของคอร์แม็ค แม็คคาร์ธี่ ผมอ่านทุกเรื่องที่เขาตีพิมพ์ออกมา และส่วนใหญ่จะอ่านเกินรอบเดียว ฉะนั้นภาพยนตร์เรื่อง THE COUNSELOR ถือเป็นโอกาสที่ได้มีส่วนร่วมในผลงานของเขา และยังได้กลับมาร่วมงานกับริดลีย์อีกครั้ง ริดลีย์ให้โอกาสผมได้มาแสดงหนังใหญ่”

นักแสดงสมทบในภาพยนตร์เรื่อง THE COUNSELOR ก็มีฝีมือไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นบรูโน่ แกนซ์, โรซี่ เปเรซ, ดีน นอร์ริส, นาตาลี ดอร์เมอร์, โกรัน วิสนิค และรูเบ็น เบลดส์

หลังจากที่มีการซักซ้อมกันที่ Shepperton Studios ในลอนดอนเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ภาพยนตร์เรื่อง THE COUNSELOR ก็เริ่มเปิดกล้องถ่ายทำเป็นเวลา 8 สัปดาห์ โดยใช้สถานที่ในประเทศอังกฤษและสเปน

ผู้ออกแบบฉากฯ อาร์เธอร์ แม็กซ์ ประทับใจในความเข้มข้นของบทฯ แม็คคาร์ธี่ ซึ่งไม่ได้สอดคล้องกับสไตล์การกำกับฯ ของสก็อตต์เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงจินตนาการของผู้กำกับฯ อีกด้วย เขาเล่าว่า “วิธีการอธิบายสถานที่ของคอร์แม็ค และแนวทางที่เขาพยายามสร้างชีวิตชีวาขึ้นมาจะต้องถูกต้องและมีความชัดเจน พื้นที่ในประเทศมีความสวยงามและมีความเย้ายวนใจเป็นอย่างมาก มีเสื้อผ้าคาวบอยและมีรถบรรทุก ผสมเข้ากับ Bentleys และเฟอร์นิเจอร์แนวศิลปะ เป็นอีกมุมหนึ่งของโลกที่ทุกคนคิดว่าตัวเองรู้จักดี”

แม็กซ์และทีมงานของเขาพบความท้าทายเมื่อภาพยนตร์เรื่อง THE COUNSELOR ต้องถ่ายทำที่ลอนดอนในช่วงซัมเมอร์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ประเทศวุ่นวายกับการเป็นเจ้าภาพงาน Olympic Games ปี 2012 และงานเลี้ยงฉลอง Diamond Jubilee

การถ่ายทำใช้สถานที่จริงในลอนดอนทางฝั่งตะวันออกและ Home Counties มากกว่า 25 แห่ง ซึ่งแม็กซ์กับทีมงานของเขาต้องแปลงให้เป็นสถานที่ในสหรัฐฯ และแม็กซิโก

อพาร์ทเมนท์สองชั้นที่ Clerkenwell ในย่านใกล้เคียงกับลอนดอนทางฝั่งตะวันออกที่ได้รับความนิยมต้องกลายเป็น The Counselor’s El Paso คอนโดในเท็กซัส การตกแต่งสะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจด้านการออกแบบที่มีความซับซ้อน และเป็นคนที่เก็บตัวเองอยู่กับการสะสมสัญลักษณ์แห่งวัฒนธรรม ด้วยการพิถีพิถันรายละเอียดมากมาย ที่อยู่อาศัยไม่ได้เป็นไปตามแบบฉบับของทนายชาวเท็กซัส เพราะทนายความห่างไกลจากต้นแบบนัก แม็กซ์เล่าว่า “เรารู้ว่าเขามีบุคลิกที่ดูโดดเดี่ยว ทนายความอยากปรนเปรอผู้หญิงที่เขารักด้วยความร่ำรวยที่เกินบรรยาย เขายอมเดินทางไปทั่วโลกเพื่อหาเพชรที่ดีที่สุดเพื่อเอามาทำเป็นแหวนหมั้นของเธอ นี่ไม่ใช่โลกแห่งความโลภและการคอรัปชั่นที่คุ้นตา มันเป็นสิ่งที่จับต้องและเป็นไปได้”

ในการร่วมงานกับซอนย่า คลอส ผู้ตกแต่งฉากฯ แม็กซ์ต้องแสดงให้เห้นว่าทนายความไม่ใช่ทนายทั่วไป เขามีหนี้ก้อนโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ “ผมว่ามีบางอย่างในตัวเขาที่ไม่ธรรมดาจนนำมาสู่ความต้องการ ยอมใช้ชีวิตที่เหนือกว่าทุกสิ่งรอบตัวเขา” แม็กซ์กล่าว “สภาพแวดล้อมของเขาต้องสะท้อนถึงความซับซ้อน ความงดาม และเป็นทางเลือกที่สร้างขึ้นมาด้วยความพิถีพิถัน”

Skywood House ที่ใช้เป็นบ้านของเรเนอร์ เป็นผลงานโดยใช้แก้วตกแต่งร่วมกับหลักเรขาคณิตที่สมบูรณ์แบบ มีทะเลสาปเทียมและสระว่ายน้ำสีดำอยู่ภายในป่าขนาด 4 เอเคอร์ ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีสู่นอกเมืองลอนดอน เรเนอร์เป็นคนที่ร่ำรวยและมีรสนิยม แม็กซ์เล่าว่า “เขาไม่คิดว่าบ้านตัวเองเป็นบ้านที่เต็มไปด้วยน็อต หน้าบ้านตกแต่งด้วยศีรษะและเขาวัวแขวนระหว่างทางเดิน”

“เซาท์เวสต์ในจินตนาการของริดลีย์ต้องไม่ซ้ำกับเมืองเก่าทางแถบตะวันตกและสัญลักษณ์คุ้นตา ที่เราเคยเห็นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง” แม็กซ์เล่าต่อว่า “ริดลีย์สร้างเซาท์เวสต์ขึ้นมาใหม่ในแบบที่เขาคิดว่าควรจะเป็น คอร์แม็คเป็นผู้ชี้ขาดคนสำคัญว่าเราจะไปได้ไกลแค่ไหน และบางครั้งเราอาจจะเตลิดไกลไปแล้ว”

เมื่อโลกของทนายความแตกออกเป็นเสี่ยง บรรยากาศรอบตัวเขามีแต่ความบาดหมางมากขึ้น แม็กซ์เล่าว่า “เวลาที่ใครห้อมล้อมด้วยการบีบบังคับ ความเลวร้าย และการขู่เข็ญ ไม่มีใครอยู่รอบตัวเรา ถนนหนทางของเมืองส่วนใหญ่กลับกลายเป็นเหมือนหุบเขาที่แห้งแล้ง เรามองไม่เห็นใครและสัมผัสชีวิตทั่วไปรอบตัวเราไม่ได้ นั่นคือมุมมองของทนายความที่เราสร้างขึ้นมา”

การถ่ายทำเริ่มที่ Heathrow Airport ด้วยฉากที่เวสเทรย์เดินทางมาถึงที่ลอนดอน แบรด พิตต์ อยู่ในชุดสูทสุดหล่อและ Stetson เรียกความสนใจจากคนทั่วไปได้เป็นอย่างดี และการได้เห็นฟาสเบ็นเดอร์และพิตต์ที่ Sheraton Hotel ใน Heathrow

ต่อมานักแสดงได้พบกันที่ Hoxton Bar and Grill ในลอนดอนฝั่งตะวันออกที่มีความทันสมัย ซึ่งจำลองเป็นบาร์ในเท็กซัสในฉากที่เวสเทรย์เตือนทนายความถึงแง่ลบของธุรกิจ

สถานที่อื่นในลอนดอนที่แม็กซ์และทีมงานแปลงเป็นพื้นที่ของเท็กซัส ได้แก่ Ministry of Sound, ไนท์คลับแห่งตำนานอย่าง Elephant & Castle ในเมือง และ McQueen ร้านอาหารกึ่งบาร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสตีฟ แม็คควีน ที่ล่วงลับไปแล้ว – ‘King of Cool’ ใน Shoreditch อันเป็นที่นิยม สถานที่เหล่านี้ถูกใช้เป็นไนท์คลับแห่งใหม่ของเรเนอร์ และคลับส่วนตัวของเรเนอร์ที่เล่ารายละเอียดส่วนตัวเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับมัลคิน่าให้ทนายความฟัง

สำหรับการถ่ายทอดบรรยากาศชายแดนที่ร้อนระอุระหว่างเท็กซัสและแม็กซิโก กองถ่ายต้องย้ายที่ใหม่ไปยังทางตอนเหนือของสเปน โดยเฉพาะไปที่ Bardenas ซึ่งเป็นสวนสาธารณะที่นสวยงาม ผู้สร้างภาพยนตร์ได้รับคำเตือนไม่ให้ถ่ายทำตรงนั้น เนื่องจากเป็นพื้นที่เกิดพายุประจำ “อย่างไรก็ตาม” แม็กซ์เล่าว่า “ตามสถิติแล้วริดลีย์โชคดีเรื่องสภาพภูมิอากาศ ผมเลยไม่สนใจคำเตือนนั้น! สายฟ้าแค่ทำให้ใจหายเท่านั้นเอง”

พวกเขายังเตือนให้ออกจากสถานที่นี้ เพราะ_เข้าไปใกล้กับฐานกองกำลังที่ตั้งมั่นอยู่ตรงนั้น และมีการฝึกยิงปืนเป็นประจำ ซึ่งอาจมีเสียงรบกวนได้ แต่พระอาทิตย์ที่สาดส่องอยู่ในเรื่อง THE COUNSELOR และการถ่ายทำยังได้รับความเอื้อเฟื้อจากกองทัพอากาศอีกด้วย มีการใช้กำแพงลวดหนาม ประตูไฟฟ้า ไฟส่องทาง และหอคอยสังเกตุการณ์เพื่อสร้างฉากที่เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ที่ใหญ่สุดขึ้นมา มีการข้ามชายแดน US/Mexican อาคารตัวนี้มีความน่าเชื่อถือถึงขั้นที่ฐานทัพทหารใช้เป็นที่เก็บกักกันเพิ่มเติม

อีกคนที่ต้องพบกับอุปสรรคคือผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายฯ แจนตี้ เยทส์ ผู้มาสร้างสันให้ตัวละครผ่านเครื่องแต่งกาย “มันน่าอัศจรรย์ที่ได้เห็นนักแสดงกลายเป็นตัวละครของพวกเขา รู้ว่าจะพรีเซนต์ตัวเองออกมายังไง การแต่งตัวให้นักแสดงของเราราวกับเป็นอาหารมื้อโอชะของแผนกเครื่องแต่งกาย และโชคดีที่ริดลีย์ไม่ต้องการให้เรากั๊กลุคพวกเขา แต่ให้เราจัดได้เต็มที่”

ไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์ มารับบททนายความที่ต้องสวมชุด Armani ที่ดูเนี๊ยบและเรียบร้อย ทั้งในชุดสูทหรือชุดที่ดูเป็นทางการ เยทส์เล่าว่า “ไมเคิลสวมชุดที่สวยงาม เขารู้ดีว่าจะต้องจัดการกับมันยังไง” เมื่อโลกของทนายความถูกเปิดโปง เยทส์เล่าว่า ‘เขาแทบไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าเลย เขาหมดหวังที่จะได้พบกับดวงใจของเขา การเฝ้าคิดถึงเรื่องนั้นเป็นปัญหาที่ค่อยๆ บั่นทอนรูปร่างหน้าตาและความสดใสของเขาลงไป”

การแต่งตัวให้ฮาเวียร์ บาร์เด็ม ซึ่งเป็นตัวละครที่จับแต่งตัวได้สนุกสุด ถือเป็นความสนุกของแผนกเครื่องแต่งกาย การสวมชุด Versace ในฉากส่วนใหญ่ รวมถึงเสื้อวินเทจจาก Gianni Versace ของดีไซน์เนอร์คนสำคัญ เยทส์จับบาร์เด็มสวมชุดที่ดูโดดเด่นและมีสีสันสดใส จับคู่กับแว่นตาแบบต่างๆ ให้เข้ากับชุด เยทส์ได้ใช้รสนิยมของเศรษฐีที่ใช้เวลาอยู่ที่ Saint-Tropez อย่างที่เธออิงจากตัวละคร

ในการทำงานร่วมกับคาเมรอน ดิแอซ อย่างใกล้ชิดเพื่อลุคของเธอในบทมัลคิน่า เยทส์กล่าวว่า “คาเมรอนรู้จักบริษัทออกแบบทุกแห่ง ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเครื่องแต่งกาย และช่วยกำหนดลุคให้มัลคิน่าได้มากเลย” ทุกชุดที่ดิแอซสวมใส่เป็นของ Paula Thomas, Thomas Wylde บริษัทออกแบบที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2006 และตอนนี้มีร้านถึง 183 แห่งทั่วโลก ดิแอซตกหลุมรักเสื้อผ้าทั้งดูมีสไตล์และมีพลัง เธอพูดติดตลกว่าอยากมีฉากมากขึ้นกว่านี้เพื่อที่จะได้สวมเสื้อผ้าทุกชุด เยทส์บรรยายลุคของเธอเอาไว้ว่า “เป็นอย่างที่เห็นเลย! ค่อนข้างร็อค เซ็กซี่ มีไตล์ พอคาเมรอนสวมชุดแล้วจึงทำให้ถึงกับ “ว้าว” ออกมาเลย”

มีหลายฉากที่เธอต้องประกบคู่พร้อมกับลายเสือดาว ดิแอซต้องติดแทททูลายเสือดาวที่หลัง เธออธิบายถึงความหมายว่า “ในตัวเสือดาวมีธรรมชาติของการเป็นนักล่าอยู่ เธอจึงเอามาใช้และรักมันมากด้วย เธอรักและชื่นชมสัญลักษณ์ของแทททู เพราะเธอรู้สึกมีความผูกพัน เธอสัมผัสได้ถึงชีวิตของพวกเขา ชีวิตของนักล่าเพราะนั่นคือตัวตนของเธอ”

ที่ดูแปลกและน่าประทับใจไม่แพ้กันคือ เพเนโลเป้ ครูซ ที่สวมชุด Armani ครูซต้องมีมาดเหมือนนักธุรกิจ และดูอ่อนหวานบอบบาง “การตัดชุด Armani มีความเป็นอมตะและดูหรูหรา” เยทส์กล่าว “มันทำให้เพเนโลเป้ดูงดงาม มีพลัง แต่มีความอ่อนโยนเข้ากับภาพลักษณ์ของเธอที่ดูสวยและมีความเป็นผู้หญิงสวยมาก”

สำหรับเวสเทรย์แล้ว ความเร้าใจของสก็อตต์อยู่ที่ชุดคาวบอยที่สั่งตัดอย่างสวยของนักดนตรีแห่งตำนาน แฮงค์ วิลเลียมส์ และนักแสดงภาพยนตร์ตะวันตก จีน ออทรี่ แบบยุค 1950 และ 60 กระเป๋า Stetsons เครื่องประดับ Navajo รวมถึงรองเท้าหนังสัตว์เลื้อยคลานและหนังจระเข้ “มันสนุกมาก แบรดเองก็ชอบมัน เราได้ร่วมงานกับ Armani, Versace และ Louboutin เพื่อสร้างลุคของเขาขึ้นมา” เยทส์อธิบาย

หลังปิดกล้องเมื่อเดือนตุลาคม นักแสดงได้ใช้เวลาเพื่อสะท้อนประสบการณ์จากการแสดงเรื่อง THE COUNSELOR โดยเฉพาะการร่วมงานกับผู้กำกับฯ ที่ได้รับการยกย่อง ฟาสเบ็นเดอร์เล่าว่า “ริดลีย์มีจินตนาการที่ชัดเจนแต่มีความเรียบง่าย เขาเป็นคนขี้เล่น สนุกสนาน เราจึงมีอิสระในการร่วมงานกับเขา” คาเมรอน ดิแอซ กล่าวเสริมว่า “ริดลีย์เป็นผู้กำกับฯ ที่มีความชำนาญ เขามีความมั่นใจในแบบผู้สร้างภาพยนตร์ เพราะเขาผ่านประสบการณ์มามาก และเพราะเขาเป็นอัจฉริยะด้านภาษาภาพ สร้างความมั่นใจให้เราอย่างล้นหลาม เขายังเป็นผู้ร่วมงานที่ดีอีกด้วย เขาคอยถามเรามากกว่าที่เราจะเอ่ยปากถามเขา เขาเคารพในสิ่งที่เราต้องการ รวมถึงการมีส่วนร่วมของเราในการสร้างตัวละครและโลกใบนี้ขึ้นมา เขามีความชัดเจนมากว่าอยากให้เราทำอะไรแบบไหน”

 

ประวัตินักแสดง

ไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์(ทนายความ) เขาเกิดที่ประเทศเยอรมัน เติบโตขึ้นมาในคิลลาร์นีย์, ไอร์แลนด์ เข้าศึกษาและฝึกฝนวิชาที่ Drama Centre บทบาทที่โดดเด่นของแฟสเบ็นเดอร์เริ่มจากมหากาพย์ภาพยนตร์ที่อำนวยการสร้างโดย สตีเฟ่น สปีลเบิร์ก/ทอม แฮงค์ส เรื่อง Band of Brothers แฟสเบ็นเดอร์แสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในผลงานของผู้กำกับแซ็ค สไนเดอร์ ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เรื่อง 300 และได้รับการเสนอบทภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ตามมาอย่างรวดเร็ว

การแสดงของฟาสเบ็นเดอร์ในบท บ็อบบี้ แซนด์ส จากเรื่อง Hunger ของสตีฟ แม็คควีน ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ ต่อด้วยการชนะรางวัล  Caméra d’Or ในการแสดงรอบปฐมทัศน์ของภายพนตร์ที่งาน Cannes ปี 2008 ฟาสเบ็นเดอร์ได้รับรางวัลในเทศกาลนานาชาติ เช่น British Independent Film Award (BIFA) และ Irish Film & Television Award (IFTA) สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม; London Film Critics Circle Award; และรางวัลนักแสดงนำชายจากงาน Stockholm and Chicago International Film Festivals ปี 2008 เขาได้รับเกียรติจากงานเทศกาลล่าสุดในปีถัดมาด้วยรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จากการแสดงในภาพยนตร์ของอานเดรีย อาร์โนลด์ เรื่อง Fish Tank การแสดงของเขาทำให้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BIFA และ IFTA รวมถึงได้รับรางวัล London Film Critics Award เป็นครั้งที่สอง อีกทั้งยังเข้าชิงรางวัล IFTA จากการแสดงในมินิซีรี่ส์ของมาร์ค มันเด็น เรื่อง The Devil’s Whore อีกด้วย

ต่อมาเขาแสดงในภาพยนตร์ของควินติน ตารานติโน่ เรื่อง Inglourious Basterds ที่แสดงร่วมกับแบรด พิตต์ และ ไดแอน ครูเกอร์ ภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงเรื่องอื่น ได้แก่ ผลงานของ ฟรังซัว โอซอน เรื่อง Angel ผลงานของโจเอล ชูมัคเกอร์ เรื่อง Town Creek ผลงานของเจมส์ แวตคิน เรื่อง Eden Lake ผลงานของนีล มาร์แชล เรื่อง Centurion และผลงานของจิมมี่ เฮย์วาร์ด เรื่อง Jonah Hex

ในปี 2011 ฟาสเบ็นเดอร์รับบทแสดงเป็นแม็กนีโต้ตอนหนุ่มคู่กับ โปรเฟสเซอร์ เอ็กซ์ ตัวละครของเจมส์ แม็คอวอย ในผลงานของแมทธิว วอน เรื่อง X-Men First Class ซึ่งเป็นบทที่เขาจะกลับมาแสดงอีกครั้งในภาพยนตร์ของไบรอัน ซิงเกอร์ เรื่อง X-Men: Days of Future Past ที่อยู่ในช่วงโพสต์-โพรดักชั่น เขายังรับบทเป็น คาร์ล จุง คู่กับ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ตัวละครของวิกโก้ มอร์เทนเซน ในภาพยนตร์ของเดวิด โครเนนเบิร์ก เรื่อง A Dangerous Method และรับบทเอ็ดเวิร์ด โรเชสเตอร์ คู่กับมิซ วาสิคาวสกี้ ในภาพยนตร์ของแครี่ ฟูคูนากา เรื่อง Jane Eyre

ฟาสเบ็นเดอร์กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับฯ เรื่อง Hunger อย่างสตีฟ แม็คควีน อีกครั้งในเรื่อง Shame ที่ฟาสเบ็นเดอร์ได้รับรางวัล Volpi Cup สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมที่งาน Venice Film Festival ปี 2011, Irish Film & Television Award สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, เข้าชิงรางวัล BAFTA สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, เข้าชิงรางวัล Golden Globe® สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม รวมถึงการให้เกียรติลุกปรบมือเป็นเวลา 7 นาทีที่งาน Toronto Film Festival

ฟาสเบ็นเดอร์เคยได้รับรางวัล Evening Standard British Film Award สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในเรื่อง Jane Eyre และ Shame, London Critics Circle Film Award สาขานักแสดงชายยอดเยี่ยมจากเรื่อง Shame and A Dangerous Method, Los Angeles Film Critics Association Award สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเรื่อง X-Men: First Class, Jane Eyre, A Dangerous Method และ Shame รวมถึงรางวัล Spotlight Award จาก National Board of Review สำหรับเรื่อง A Dangerous Method, X-Men: First Class, Jane Eyre และ Shame เขายังคว้ารางวัล Empire Hero Award ที่งาน Empire Awards อีกด้วย

ในปี 2012 ฟาสเบ็นเดอร์รับบทเป็นหุ่นยนต์แอนดรอย เดวิด ในภาพยนตร์มหากาพย์ไซไฟของริดลีย์ สก็อตต์ เรื่อง Prometheus และแสดงใน Untitled Terrence Malick Project ซึ่งเป็นเรื่องราวของบ่วงรัก 2 ขั้วในฉากดนตรีที่มีสีสันและความสดใสของออสติน มีกำหนดฉายในปี 2013 ฟาสเบ็นเดอร์ยังได้กลับมาร่วมงางนกับสตีฟ แม็คควีน เพื่อแสดงเรื่อง 12 Years a Slave และแสดงในภาพยนตร์คอมเมดี้ที่กำลังจะฉายเรื่อง Frank ซึ่งเป็นเรื่องราวของเด็กวัยรุ่นที่อยากเป็นนักดนตรี เขาพบว่าตัวเองเจอปัญหาหนักกว่าที่จะรับไหว ตอนที่ร่วมวงดนตรีป๊อปสุดประหลาดที่มี แฟรงค์ สุดประหลาดและชอบทำตัวลึกลับเป็นหัวหน้าวง รับบทโดยฟาสเบ็นเดอร์

 

เจ้าของรางวัล Academy Award® เพเนโลเป้ ครูซ (ลอว์ร่า) ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นนักแสดงวัยรุ่นหญิงคนหนึ่งที่มีความสามารถล้นเหลือจากการรับบทบาทที่น่าสนใจมากมาย และล่าสุดได้เป็นนักแสดงหญิงชาวสเปนคนแรกที่ได้เข้าชิงรางวัล Oscar และคว้ารางวัลกลับบ้น

เธอเป็นที่รู้จักของผู้ชมชาวอเมริกันครั้งแรกจากภาพยนตร์ของชาวสเปน เรื่อง Jamon, Jamon and Belle Epoque เธอแสดงภาพยนตร์ภาษาอังกฤษเรื่องแรกเป็นผลงานของผู้กำกับฯ สตีเฟ่น เฟรียร์ส เรื่อง The Hi-Lo Country คู่กับวูดดี้ ฮาร์เรลสัน, แพทริเซีย อาร์เค็ตต์ และ บิลลี่ ครูดัพ ในปี 1999 ครูซได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมที่งาน Goya Awards ประจำปีครั้งที่ 13 จาก Spanish Academy of Motion Pictures Arts and Sciences สำหรับบทบาทของเธอในภาพยนตร์ของเฟอร์นันโด้ ทรูบา เรื่อง The Girl of Your Dreams

เธอตอกย้ำบทบาทการเป็นนักแสดงระดับโลกสุดฮอทของสเปน ด้วยการรับบทบาทที่มีการจับจ้องหลายเรื่อง เธอเคยแสดงในภาพยนตร์ของบิลลี่ บ็อบ ธอร์นตัน เรื่อง All the Pretty Horses, ภาพยนตร์ของฟีน่า ทอร์เรส เรื่อง Woman on Top, ภาพยนตร์ของอเลฮังโดร อามีนาบาร์ เรื่อง Open Your Eyes, ภาพยนตร์ของมาเรีย ไรโพลี เรื่อง Twice Upon a Yesterday และภาพยนตร์ของนิค แฮม เรื่อง Talk of Angels นอกจากนั้นเธอยังร่วมแสดงในภาพยนตร์ของเปโดร อัลโมโดวาร์ เรื่อง Live Flesh และได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ในเรื่อง All About My Mother โดยได้รับรางวัล Golden Globe และ Oscar สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม

ต่อมาครูซได้ประกบคู่แสดงร่วมกับจอห์นนี่ เดปป์ ในภาพยนตร์เรื่อง Blow ของผู้กำกับฯ เท็ด เดมเม่ และภาพยนตร์ของกัปตัน คอเรลลี่ เรื่อง Mandolin คู่กับนิโคลาส เคจ หลังจากนั้นเธอได้แสดงคู่กับทอม ครูซ ในภาพยนตร์ระทึกขวัญแนวอีโรติคของคาเมรอน โรว์ เรื่อง Vanilla Sky ต่อมาเธอแสดงในเรื่อง Masked & Anonymous, Fan Fan la Tulipe ที่มีการเปิดตัวในงาน Cannes Film Festival ปี 2003 และเรื่อง Don’t Tempt Me ครูซได้รับคำชมอย่างล้นหลามจากการแสดงของเธอในเรื่อง Don’t Move (Non ti Muovere) โดยเธอได้รับรางวัล David Di Donatello Award (Italian Oscar) และ European Film Award สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม

ผลงานภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงมากมายของเธอยังรวมถึงการแสดงในเรื่อง Gothika, Head in the Clouds, Noel และ Chromophobia ครูซแสดงร่วมกับแมทธิว แม็คคอนอฮีย์ และ วิลเลียม เอช. เมซี่ ในภาพยนตร์แอ็คชั่นเรื่อง Sahara

ในปี 2006 ครูซแสดงในเรื่อง Volver ที่เธอได้กลับไปร่วมงานกับ เปโดร อัลโมโดวาร์ ผู้กำกับฯ และเพื่อนสนิทของเธออีกครั้ง เธอได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ในบทไรมันดาและได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมที่งาน European Film Awards, Spanish Goya Awards, Cannes Film Festival และเข้าชิงรางวัลทั้ง Golden Globe และ Oscar

ผลงานล่าสุดที่สร้างชื่อเสียงให้ครูซ ได้แก่ Elegy ที่ร่วมงานกับเบ็น คิงส์ลีย์ และภาพยนตร์ของวูดดี้ อัลเล็น เรื่อง Vicky Cristina Barcelona ที่ร่วมงานกับฮาเวียร์ บาร์เด็ม และ สการ์เล็ต โจแฮนส์สัน ครูซได้รับรางวัล Oscar, a BAFTA, a New York Film Critics Circle และ National Board of Review สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากการแสดงในเรื่อง Vicky Cristina Barcelona

ในปี 2009 ครูซและอัลโมโดวาร์ได้กลับมาร่วมงานกันเป็นครั้งที่ 4 ในผลงานแอ็คชั่นเรื่อง Broken Embraces ที่เธอได้รับคำชมจากนักวิจารณ์จาการแสดงในบทลีน่า และในปีนั้นเธอได้ร่วมงานกับผู้กำกับฯ ร็อบ มาร์แชล เป็นครั้งแรก เธอแสดงภาพยนตร์ร่วมกับแดเนียล ลูอิส, นิโคล คิดแมน และ มารีออง โกติยาร์ด ในผลงานภาพยนตร์แนวมิวสิเคิลเรื่อง Nine ความโดดเด่นในการแสดงของเธอด้วยบท คาร์ล่า ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Screen Actors Guild®, Golden Globe® และ Academy Award โดยการเข้าชิงรางวัล  Oscar ครั้งที่ 3 ของเธอได้สร้างประวัติศาสตร์ เพราะเป็นครั้งที่ 3 ของประวัติศาสตร์ Oscar ที่ผู้ชนะรางวัล Academy Award สาขานักแสดงสมทบหญิงเป็นผู้เสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเดิมอีกครั้งในปีถัดมา

ในปี 2010 ครูซแสดงในเรื่อง Sex and the City 2 และในปี 2011 ได้กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับฯ ร็อบ มาร์แชล อีกครั้งในเรื่อง Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides คู่กับจอห์นนี่ เดปป์ หลังจากปีนั้นเธอได้แสดงในภาพยนตร์ของวูดดี้ อัลเล็น เรื่อง To Rome with Love และแสดงในภาพยนตร์ของเปโดร อัลโมโดวาร์ เรื่อง I’m So Excited คู่กับแอนโตนิโอ บันเดอราส

 

คาเมรอน ดิแอซ (มัลคิน่า) มีผลงานภาพยนตร์เป็นครั้งแรกตอนอายุ 21 ปี เธอหว่านเสน่ห์ใส่ผู้ชมในบทสาวสุดฮอท ทีน่า คาร์ไลอัล จากเรื่อง The Mask ตั้งแต่นั้นมาเธอมีผลงานภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง กวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 100 ล้านเหรียญมากกว่านักแสดงหญิงคนอื่น ต่อมาเธอแสดงในภาพยนตร์อินดี้เรื่อง The Last Supper, Feeling Minnesota คู่กับคีนู รีฟส์ และภาพยนตร์ของเอ็ดเวิร์ด เบิร์นส เรื่อง She’s the One

ในปี 1996 คาเมรอนได้รับการขนานนามจากงาน ShoWest ให้เป็นนักแสดงหญิงดาวรุ่งโดย National Association of Theatre Owners และมีผลงานแสดงร่วมกับจูเลีย โรเบิร์ตส, เดอร์มอต มัลโรนีย์ และ รูเพิร์ท เอเวอเร็ตต์ ในเรื่อง My Best Friend’s Wedding ที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่งใหญ่ในปีนั้น ในภายพนตร์ของแดนนี่ บอยล์ เรื่อง A Life Less Ordinary เธอรับบทแสดงคู่กับยวน แม็คเกรเกอร์ ก่อนที่จะมารับบทนำในภายนตร์คอมเมดี้เรื่องดัง There’s Something About Mary ต่อด้วยผลงานแนวดาร์กคอมเมดี้จากผู้เขียนฯ/ผู้กำกับฯ ปีเตอร์ เบิร์ก เรื่อง Very Bad Things เธอได้รับคำชมจากนักวิจารณ์สำหรับการแสดงของเธอในภาพยนตร์ของสไปค์ จอนซ์ เรื่อง Being John Malkovich ที่เล่นคู่กับจอห์น คูแซ็ค, แคทเธอรีน คีเนอร์ และ จอห์น มัลโควิช เธอเคยร่วมเข้าชิงรางวัล Golden Globe, Screen Actors Guild Award และ British Academy of Film (BAFTA) Award

เส้นทางอาชีพของเธอรุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีผลงานภาพยนตร์จากซีรี่ส์เรื่องดังทางทีวีร่วมกับ  Sony เรื่อง Charlie’s Angels ที่เธอเล่นคู่กับดรูว์ แบร์รี่มอร์, ลูซี่ หลิว และ บิล เมอร์เรย์ ภาพยนตร์ทำลายสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศในประเทศ และผลงานภาคต่อ Charlie’s Angels: Full Throttle ที่มีการฉายเมื่อปี 2003 กวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 250 ล้านเรหียญ คาเมรอนเคยให้เสียงพากย์เป็นเจ้าหญิงฟิโอน่าในภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่ฮิตทั่วโลกของ DreamWorks เรื่อง Shrek รวมถึงภาคต่อทั้งสามภาคที่กวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 3 พันล้านเหรียญ

คาเมรอนร่วมแสดงในผลงานของคาเมรอน โครว์ เรื่อง Vanilla Sky คู่กับทอม ครูซ และ เพเนโลเป้ ครูซ เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Golden Globe Award, AFI Award และ SAG Award™ นอกจากนั้นเธอยังได้รับเลือกให้เป็นนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจาก Boston Society of Film Critics และ Chicago Film Critics Association เธอแสดงในภาพยนตร์คอมเมดี้แนวเซ็กซี่ เรื่อง The Sweetest Thing ร่วมกับคริสติน่า แอปเปิลเกต และ เซลม่า แบลร์ เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Golden Globe จากการแสดงของเธอในภาพยนตร์ของมาร์ติน สกอร์เซซี่ ที่เข้าชิงรางวัล Academy Award เรื่อง New York ผลงานร่วมกับลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ, แดเนียล เดย์-ลูอิส และ เลียม นีสัน

ผลงานของเธอยังรวมถึงเรื่อง In Her Shoes ที่เล่นคู่กับโทนี่ คอลเล็ต และ เชอร์ลีย์ แม็คเลน จากผู้กำกับฯ เคอรทิส แฮนเซน; The Holiday ที่เล่นคู่กับจู้ด ลอว์, เคท วินสเล็ต และ แจ็ค แบล็ค; What Happens in Vegas ที่เล่นคู่กับแอชตัน คุตเชอร์; My Sister’s Keeper ของผู้กำกับฯ นิค คาสซาเวเทส และภาพยนตร์ไซไฟระทึกขวัญเรื่อง The Box เธอกลับมาร่วมงานกับครูซปี 2010 ในภาพยนตร์แอ็คชั่นเรื่อง Knight and Day ที่กวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 260 ล้านเหรียญ ในปี 2011 เธอแสดงในภาพยนตร์ฮิตทั่วโลกอีกเรื่อง ซึ่งเป็นผลงานจากไมเคิล กอนดรี้ เรื่อง The Green Hornet ที่ร่วมงานกับเซธ โรเกน กวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 227 ล้านเหรียญ คาเมรอนครองบ็อกซ์ออฟฟิศอีกครั้งด้วยภาพยนตร์แนวดาร์กคอมเมดี้ เรื่อง Bad Teacher กำกับฯ โดย แจ็ค แคสแดน ภาพยนตร์เรื่องที่ 17 ของเธอกวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 100 ล้านเหรียญ เธอยังร่วมแสดงในภาพยนตร์คอมเมดี้เรื่อง What to Expect When You Are Expecting และแสดงคู่กับโคลิน เฟิร์ธ และ อลัน ริคแมน ในภาพยนตร์รีเมคแนวอาชญากรรมของพี่น้องโคเฮนเรื่อง Gambit

โปรเจ็กต์ของเธอล่าสุด ได้แก่ The Other Woman and Sex Tape ผลงานคอมเมดี้ที่กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับฯ Bad Teacher เจค แคสแดน และร่วมแสดงกับเจสัน ซีเกิล

ตลอดปี 2004 จนถึงต้นปี 2005 คาเมรอนโลดแล่นอยู่ในโลกของซีรี่ส์จาก MTV ความยาว 10 ตอนเรื่อง Trippin ในช่วงต้นปี 2014 เธอจะสร้างความสำเร็จเพิ่มขึ้นในฐานะของนักเขียนด้วยการตีพิมพ์เรื่อง The Body Book ซึ่งเกี่ยวกับสุขภาพและคำแนะนำเรื่องความสมบูรณ์ แรงบันดาลใจสำหรับสาวๆ เรื่องราวของฟิตเนส โภชนาการ และการดูแลตัวเอง

ตอนนี้คาเมรอนกำลังเป็นตัวแทนของแบรนด์ระดับโลกให้คอลเล็คชั่นนาฬิกา Link Lady ของ TAG Heuer เธอจับมือร่วมกับบริษัทเพื่อสร้างผลกำไรและเพิ่มการเป็นที่รู้จักให้รายการต่างๆ ที่สร้างอำนาจให้ผู้หญิง

 

นักแสดงชายชาวสเปนผู้ได้รับคำชมระดับโลกมากที่สุดคนหนึ่งคือ ฮาเวียร์ บาร์เด็ม (เรเนอร์) ได้สร้างความประทับใจให้ผู้ชมด้วยการแสดงของเขาที่หลากหลาย ในปี 2008 บาร์เด็มได้รับรางวัล Academy Award สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากบทฆาตกรเลือดเย็นที่ต่อต้านสังคมอย่างแอนทอน ชีเกอร์ ในผลงานของโจเอลและอีธาน โคเฮน เรื่อง No Country for Old Men การแสดงของเขาได้รับรางวัล Golden Globe Award, Screen Actors Guild Award, BAFTA และเข้าชิงรางวัลจากนักวิจารณ์อีกนับไม่ถ้วน

บาร์เด็มแสดงในภาพยนตร์ชุดเจมส์ บอนด์ Skyfall ในบทตัวร้ายคู่กับแดเนียล เครก, จูดี้ เดนช์, ราล์ฟ ฟีนส์ และ อัลเบิร์ต ฟินนีย์ กำกับฯ โดย แซม เม็นเดส สำหรับผลงานในเรื่องนั้นทำให้บาร์เด็มได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA สาขานักแสดงสมทบชายยอดเย่ยม, Screen Actors Guild Award สาขาการแสดงที่โดดเด่นจากนักแสดงสมทบชาย และ London Critics Circle Film Award สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมแห่งปี

บาร์เด็มแสดงในภาพยนตร์ของเทอร์เรนซ์ มาลิค เรื่อง To the Wonder ที่นำแสดงโดยเหล่านักแสดงอย่างเบ็น แอ็ฟเฟล็ค, ราเชล แม็คอดัมส์, ไมเคิล ชีน และ ราเชล วีซ ภาพยนตร์เป็นเรื่องราวแนวโรแมนติกดราม่าของผู้ชายคนหนึ่งที่กลับไปสานสัมพันธ์กับหญิงที่บ้านเกิดของเขา หลังจากที่เขาล้มเหลวจากชีวิตแต่งงานกับสาวชาวยุโรป

บาร์เด็มได้ร่วมสร้างฯ และแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Sons of the Clouds: The Last Colony ซึ่งเป็นภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับการตั้งรกรากทางทะเลทรายซาฮาราฝั่งตะวันตกที่ทิ้งประชากรเกือบ 200,000 ให้ใช้ชีวิตอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย เมื่อเดือนตุลาคมปี 2011 บาร์เด็มและอัลวาโร ลอนโกเรีย ผู้ร่วมสร้างฯ ผู้กำกับฯ เรื่องนี้ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อ United Nations General Assembly คณะกรรมการรณรงค์ให้สมาชิกยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคนี้ ภาพยนตร์มีการฉายรอบปฐมทัศน์ในงานประจำปี Berlin International Film Festival ครั้งที่ 62 ในเดือนมกราคมและครอบครองกรรมสิทธิ์ Canal Plus ในบ้านเกิดของบาร์เด็มที่สเปน

บาร์เด็มได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมที่งาน Cannes Film Festival ปี 2010 จากการแสดงในภาพยนตร์ของอเลฮังโดร อินนาริตู เรื่อง Biutiful โดยการแสดงครั้งนี้ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award เป็นครั้งที่ 3 บาร์เด็มได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award ครั้งแรกจากการแสดงในบท เรนัลโด อารีนาส นักกวีและผู้คัดค้านชาวคิวบาในภาพยนตร์ของจูเลียน ชนาเบล เรื่อง Before Night Falls เขาได้รับการขนานนามว่าเป็นนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมที่งาน Venice Film Festival ได้รับรางวัลนักแสดนำชายยอดเยี่ยมจาก National Society of Film Critics, Independent Spirit Awards, National Board of Review และเข้าชิงรางวัล Golden Globe จากบทนี้

บาร์เด็มได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมที่งาน Venice Film Festival จากการแสดงในภาพยนตร์ของอเลฮังโดร อมีนาบาร์ เรื่อง The Sea Inside ทำให้เขาเป็นนักชายคนที่สองที่ได้รับรางวัลนี้ถึงสองครั้ง เขายังได้รับรางวัล Goya Award และเข้าชิงรางวัล Golden Globe จากบทบาทนี้อีกด้วย บาร์เด็มได้รับรางวัล The Goya Award ซึ่งเทียบเท่ากับรางวัล Oscar สำหรับที่สเปนถึง 5 ครั้งและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลทั้งหมด 8 ครั้งด้วยกัน

ภาพยนตร์เรื่องอื่นของเขาที่สร้างชื่อเสียง ได้แก่ ภาพยนตร์จาก Sony เรื่อง Eat, Pray, Love ที่ร่วมงานกับจูเลีย โรเบิร์ตส; ภาพยนตร์จากวูดดี้ อัลเล็น เรื่อง Vicky Cristina Barcelona ที่เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Golden Globe อีกครั้งและได้รับรางวัล Independent Spirit Award; ภาพยนตร์จากจอห์น มัลโควิช ที่กำกับฯ เป็นครั้งแรกเรื่อง The Dancer Upstairs; ภาพยนตร์จากเฟอร์นันโด ลีออง เดอ อราโนอา เรื่อง Mondays In The Sun ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่งานเทศกาลภาพยนตร์ San Sebastian; ภาพยนตร์จากไมเคิล แมน เรื่อง Collateral; ภาพยนตร์จากไมค์ โนเวล เรื่อง Love In The Time of Cholera; และภาพยนตร์จากไมลอส ฟอร์แมน เรื่อง Goya’s Ghosts คู่กับนาตาลี พอร์ตแมน

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นที่มีชื่อเสียง ได้แก่ Luna’s Golden Balls, Dias Contados ที่เขาได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมที่งาน San Sebastian Film Festival, Mouth to Mouth, Ecstasy, Dance with the Devil, Washington Wolves, Second Skin, High Heels, Live Flesh และ Jamon Jamon

 

แบรด พิตต์ (เวสเทรย์) เป็นนักแสดงชายคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงและมีความสามามารถรอบด้านในปัจจุบันนี้ และเขายังประสบความสำเร็จในฐานะผู้สร้างฯ แห่งบริษัท Plan B Entertainment ของเขาอีกด้วย

เมื่อไม่นานนี้พิตต์ปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่อง World War Z กำกับฯ โดย มาร์ค ฟอสเตอร์ อำนวยการสร้างฯ โดยบริษัท Plan B สำหรับ Paramount ของพิตต์ เขาแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ และผลงานต่อไปเป็นภาพยนตร์ของสตีฟ แม็คควีน เรื่อง 12 Years a Slave ที่พิตต์ผลิตร่วมกับบริษัท Plan B ของเขา

ปีที่แล้วพิตต์ได้กลับไปร่วมงานกับแอนดรูว์ โดมินิค ในเรื่อง Killing Them Softly ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 ที่พิตต์ได้แสดงและผลิตฯ ผลงานให้โดมินิค ครั้งแรกเป็นเรื่อง The Assassination of Jesse James ผลงานจากโคเวิร์ด โรเบิร์ต ฟอร์ด ที่เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมที่งาน Venice Film Festival

ในปี 2011 แบรดได้แสดงบทบาทที่มีทั้งความซับซ้อนและแนบเนียนในภาพยนตร์ของเบ็นเน็ต มิลเลอร์ เรื่อง Moneyball และภาพยนตร์ของเทร์เรนซ์ มาลิค เรื่อง Tree of Life ซึ่งเป็นผลงานที่พิตต์อำนวยการสร้างฯ แบรดได้รับรางวัล New York Film Critics Circle Award และ National Society of Film Critics Award จากทั้งสองบทบาท นอกจากนั้นยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Screen Actors Guild, Golden Globe Award, BAFTA Award และ Academy Award จากผลงานในเรื่อง Moneyball ภาพยนตร์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม โดยภาพยนตร์เรื่อง Tree of Life ได้รับรางวัล Palme d’Or ที่งาน Cannes Film Festival และเข้าชิงรางวัลสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่งาน Academy Awards

เมื่อหลายปีก่อนแบรดเข้าชิงรางวัล Academy Award สาขาการแสดงยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ของเดวิด ฟินเชอร์ เรื่อง The Curious Case of Benjamin Button และภาพยนตร์ของเทอร์รี่ กิลเลม เรื่อง_ Twelve Monkeys ที่เขาได้รับรางวัล Golden Globe Award เขายังเข้าชิงรางวัล Golden Globe Award จากการแสดงในภาพยนตร์ของเอ็ดเวิร์ด ซวิค เรื่อง Legends of the Fall และภาพยนตร์ของอเลฮังโดร กอนซาเลซ อินาร์ริตู เรื่อง Babel

ในปี 2009 พิตต์แสดงในภาพยนตร์ของควินติน ตารานติโน่ เรื่อง Inglourious Basterds ในบทนายร้อยอัลโด เรน และแสดงในภาพยนตณ์ระทึกขวัญคอมเมดี้ของโจเอลและอีธาน โคเฮน เรื่อง Burn After Reading เขายังแสดงในภาพยนตร์สุดฮิตของสตีเฟ่น โซเดอร์เบิร์ก เรื่อง Ocean’s Eleven, Ocean’s Twelve และ Ocean’s Thirteen

พิตต์ยังรับบทแสดงในภาพยนตร์ของริดลีย์ สก็อตต์ ที่ได้รับรางวัล Academy Award เรื่อง Thelma and Louise ที่เขาได้รับความสนใจจากทั่วโลกเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นไม่นานเขาได้แสดงในภาพยนตร์ของโรเบิร์ต เรดฟอร์ด ที่ได้รับรางวัล Academy Award เรื่อง A River Runs Through It ภาพยนตร์ของโดมินิค ซีน่า เรื่อง Kalifornia และภาพยนตร์ของโทนี่ สก็อตต์ เรื่อง True Romance พิตต์ยังได้รับคำชมจากนักวิจารณ์สำหรับการแสดงในภาพยนตร์ของเดวิด ฟินเชอร์ สองเรื่อง ได้แก่ Se7en และ Fight Club ภาพยนตร์ของเขายังรวมถึงผลงานของดั๊ก ไลแมน เรื่อง Mr. and Mrs. Smith ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปี 2005 และภาพยนตร์ของกาย ริตชี่ เรื่อง Snatch

บริษัท Plan B Entertainment ของพิตต์ยังได้พัฒนาและผลิตฯ ทั้งโปรเจ็กต์ภาพยนตร์และผลงานทางทีวีหลายเรื่อง โดย Plan B ได้ผลิตภาพยนตร์ อาทิเช่น ผลงานของมาร์ติน สกอร์เซซี่ เรื่อง The Departed ภาพยนตร์ของไมเคิล วินเทอร์บัตท่อม เรื่อง A Mighty Heart ภาพยนตร์ของโรเบิร์ต ชเวนกี้ เรื่อง Time Traveller’s Wife ภาพยนตร์ของรีเบ็คก้า มิลเลอร์ เรื่อง The Private Lives of Pippa Lee ภาพยนตร์ของทิม เบอร์ตัน เรื่อง Charlie and the Chocolate Factory ภาพยนตร์ของไรอัน เมอร์ฟี่ เรื่อง Running with Scissors ภาพยนตร์ของวูลฟ์แกงค์ ปีเตอร์เซน เรื่อง Troy ภาพยนตร์ของไรอัน เมอร์ฟี่ เรื่อง Eat Pray Love และภาพยนตร์ของแมทธิว วอน เรื่อง Kickass ตอนนี้บริษัทกำลังอยู่ในช่วงโพสต์-โพรดักชั่นให้ผลงานของรูเพิร์ท กูลด์ เรื่อง True Story นำแสดงโดย เจมส์ ฟรังโก และ โจนาห์ ฮิล

 

ริดลีย์ สก็อตต์ (ผู้กำกับฯ, ผู้อำนวยการสร้างฯ) ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award อันทรงเกียรติ 3 รางวัลในสาขาผู้กำกับฯ ยอดเยี่ยม เขาได้รับรางวัล Oscar ครั้งล่าสุดเมื่อปี 2002 จากผลงานเรื่อง Black Hawk Down และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Directors Guild of America (DGA) Award ด้วย ปีก่อนหน้านั้นสก็อตต์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscar, Golden Globe, BAFTA และ DGA award สาขาผู้กำกับฯ ในมหากาพย์ภาพยนตร์เรื่อง Gladiator ภาพยนตร์ยังได้รับรางวัล Oscar, Golden Globe และ BAFTA Award สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นอกจากนั้นยังได้รับรางวัลสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากกลุ่มนักวิจารณ์จำนวนมากอีกด้วย สก็อตต์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award และ DGA Award เป็นครั้งแรกจากภาพยนตร์แนวดราม่าเรื่องดังปี 1991 อย่าง Thelma & Louise นำแสดงโดย ซูซาน ซารานดอน และ จีน่า เดวิส ที่เข้าชิงรางวัล Oscar จากการแสดงของพวกเขาในภาพยนตร์

สก็อตต์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Golden Globe สาขาผู้กำกับฯ ยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์แนวดราม่าชีวิตจริงของชาวอเมริกัน เรื่อง Gangster นำแสดงโดย เดนเซล วอชิงตัน และ รัสเซล โครว์ สก็อตต์ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในฐานะผู้อำนวยการสร้างฯ ก่อนหน้านั้นเขากำกับฯ และอำนวยการสร้างฯ มหากาพย์ภาพยนตร์ไซไฟเรื่อง Prometheus นำแสดงโดย ไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์, นูมี ราเพซ และ ชาร์ลีซ ธีรอน; ภาพยนตร์เรื่อง Robin Hood นำแสดงโดย รัสเซล โครว์ และ เคท บลันเช็ตต์; ภาพยนตร์เรื่อง Body Of Lies นำแสดงโดย รัสเซล โครว์ และ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ; ภาพยนตร์เรื่อง A Good Year นำแสดงโดย รัสเซล โครว์ และ อัลเบิร์ต ฟินนีย์; มหากาพย์ภาพยนตร์เรื่อง Kingdom Of Heaven ที่รวมเหล่านักแสดงอย่างออร์แลนโด บลูม และ เจเรมี่ ไอรอนส์ และเรื่อง Matchstick Men นำแสดงโดย นิโคลาส เคจ และ แซม ร็อคเวล

ผลงานเร็วๆ นี้ ได้แก่ มหากาพย์ภาพยนตร์เรื่อง Exodus นำแสดงโดย คริสเตียน เบล ในบท โมเซส ภาพยนตร์เริ่มอำนวยการสร้างฯ ในฤดูใบไม้ร่วงนี้สำหรับการฉายช่วงวันหยุดปี 2014 ผลงานจาก 20th Century Fox

สก็อตต์สำเร็จการศึกษาจาก Royal Academy of Art อันทรงเกียรติแห่งลอนดอน ต่อมาเขาเริ่มอาชีพผู้กำกับที่ BBC โดยรับหน้าที่ในรายการยอดนิยมทางสถานีหลายรายการ รวมถึงโฆษณาด้วย หลังจากนั้นสามปีเขาก่อตั้งบริษัท RSA ที่ต่อมากลายเป็นบริษัทผลิตโฆษณาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป หลังจากนั้นเขาได้ขยายออฟฟิศไปที่นิวยอร์คและลอสแองเจลิส บริษัท RSA มีผลงานที่โดดเด่นในกลุ่มตลาดเป้าหมายทั่วโลก ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้กำกับฯ ภาพยนตร์และโฆษณาที่มีชื่อเสียงหลายคน ในช่วงเวลาหลายปีสก็อตต์กำกับฯ โฆษณามาแล้วมากกว่า 2,000 เรื่องอย่างเป็นที่จดจำ เรื่องที่มีการพูดถึงมากที่สุดเป็นโฆษณา Share The Fantasy ที่ทำให้กับ Chanel No 5 และเป็นสป็อตสำหรับ Orwellian Apple Computer ที่เคยออกอากาศช่วงการแข่งขัน Super Bowl ในปี 1984 ยังคงเป็นสุดยอดผลงานด้านการโฆษณาชิ้นนึงของเขา  โดยผลงานเรื่องหลังเพิ่งเป็นที่ต้อนรับจาก Advertising Age ในฐานะโฆษณายอดเยี่ยมจาก 50 ปีที่แล้ว ผลงานโฆษณาของสก็อตต์ยังกวาดรางวัลมามากมายในเทศกาลภาพยนตร์หลายแห่ง อาทิเช่น Venice และ Cannes

ในปี 1977 สก็อตต์กำกับฯ ภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในเรื่อง The Duellists ที่เขาได้รับรางวัล Best First Film Award ที่งาน Cannes Film Festival ต่อมาเป็นผลงานภาพยนตร์ไซไฟระทึกขวัญเรื่อง Alien ซึงเป็นภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก และทำให้ซิกอร์นีย์ วีเวอร์กลายเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง ในปี 1982 สก็อตต์ได้กำกับฯ ภาพยนตร์เรื่องดัง Blade Runner นำแสดงโดย แฮร์ริสัน ฟอร์ด ซึ่งได้รับการพิจารณาว่าเป็นผลงานไซไฟคลาสสิคในอนาคตที่ถูกบันทึกเข้าไปใน US Library of Congress’ National Film Registry เมื่อปี 1993 และการลำดับภาพของผู้กำกับฯ เรื่อง Blade Runner ได้รับการฉายและกลับมามีชื่อเสียงในปี 1993 และปี 2007

ผลงานการกำกับฯ เรื่องอื่นของสก็อตต์ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ Legend นำแสดงโดย ทอม ครูซ; Someone To Watch Over Me; Black Rain นำแสดงโดย ไมเคิล ดักลาส และ แอนดี้ การ์เซีย; 1492: Conquest of Paradise; White Squall นำแสดงโดย เจฟ บริดเจส; GI Jane นำแสดงโดย เดมี่ มัวร์ และ วิกโก้ มอร์เทนเซน และภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง Hannibal นำแสดงโดย แอนโธนี่ ฮอปกินส์ และ จูเลียน มัวร์

ในปี 1995 สก็อตต์และโทนี่ สก็อตต์ ผู้เป็นทั้งน้องชายและเพื่อนร่วมสร้างภาพยนตร์ได้ก่อตั้งบริษัท Scott Free Productions ขึ้นมา โดยบริษัทได้ผลิตผลงานภาพยนตร์และโปรเจ็กต์ทางทีวีมาแล้วมากมาย รวมถึงภายพนตร์ที่ควบคุมโดยริดลีย์หรือโทนี่ สก็อตต์ด้วย ภายใต้สัญลักษณ์ของ Scott Free ริดลีย์ สก็อตต์ ได้สร้างหรืออำนวยการสร้างบริหารภาพยนตร์อย่าง Clay Pigeons นำแสดงโดย วินซ์ วอน และ โจควิน โฟนิกซ์; Where The Money Is นำแสดงโดย พอล นิวแมน; Tristan + Isolde นำแสดงโดย เจมส์ ฟรังโก และ โซเฟีย ไมเลส; ภาพยนตร์ของเคอร์ทิส แฮนสัน เรื่อง In Her Shoes ที่ร่วมงานกับคาเมรอน ดิแอซ ได้รับรางวัล Western The Assassination of Jesse James by Coward Robert Ford นำแสดงโดย แบรด พิตต์ และ คาซีย์ แอ็ฟเฟล็ค; the A-Team นำแสดงโดย เลียม นีสัน และ แบรดลีย์ คูเปอร์ และเรื่อง The Grey นำแสดงโดย เลียม นีสัน ภาพยนตร์เรื่อง  Before I Go To Sleep กำกับฯ โดย โรแวน จอฟ นำแสดงโดย นิโคล คิดแมน และเรื่อง Reykjavik กำกับฯ โดย ไมค์ นีเวล นำแสดงโดย ไมเคิล ดักลาส และ คริสทอฟ วอลซ์ ที่จะถ่ายทำในปีนี้ ริดลีย์ สก็อตต์ ทำหน้าที่อำนวยการสร้างบริหารเรื่อง Life In A Day ภาพยนตร์สารคดีที่ถ่ายทำโดยผู้สร้างจากทั่วโลก ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นตัวบันทึกเวลาในการแสดงให้คนรุ่นต่อไปได้รับรู้ว่า การมีชีวิตอยู่ต่อไปเป็นอย่างไร มีการบันทึกไว้เมื่อ 24 กรกฏาคม 2010

สำหรับผลงานทางทีวี บริษัท Scott Free อยู่ในช่วงผลิตซีรี่ส์ยอดนิยมที่เข้าชิงรางวัล Golden Globe เรื่อง The Good Wife และได้ผลิตเรื่อง The Pillars of the Earth รวมถึงเรื่อง Numb3rs ที่ออกอากาศเมื่อปี  2010 และ 2005-2010 ตามลำดับ ริดลีย์ สก็อตต์ ยังเป็นผู้อำนวยการสร้างในโปรเจ็กต์เรื่องยาวของบริษัทอีกจำนวนมาก อาทิเช่น มินิซีรี่ส์ของ A&E เรื่อง The Andromeda Strain ที่สร้างขึ้นจากหนังสือขอไงมเคิล คริชตัน; มินิซีรี่ส์ของ TNT เรื่อง The Company และภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัล Golden Globe ของทาง HBO เรื่อง RKO 281 นำแสดงโดย ไลฟ์ เชรเบอร์ ในบท ออร์สัน เวลเลส, The Gathering Storm นำแสดงโดย อัลเบิร์ต ฟินนีย์ และ วาเนสซ่า เรดเกรฟ ภายใต้การกำกับฯ ของ ริชาร์ด ลอนเครน และผลงานของทาดีอุส โอ’ซัลลิแวน เรื่อง Into The Storm ตอนนี้ริดลีย์ สก็อตต์ อยู่ในช่วงพรี-โพรดักชั่นในเรื่อง The Vatican ผลงานทางทีวีตอนแรกของ Sony Pictures Television ซึ่งเป็นเรื่องราวของมิตรภาพและการแข่งขัน รวมถึงความลึกลับและเรื่องประหลาดที่อยู่เบื้องหลังโบสถ์คาทอลิก สก็อตต์ทำหน้าที่กำกับฯ และอำนวยการสร้างบริหารฯ

ในปี 2003 สก็อตต์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอัศวินโดย Order of the British Empire จากการยอมรับในการสนับสนุนด้านศิลปะของเขา

 

คอร์แม็ค แม็คคาร์ธี่ (ผู้เขียนฯ/ผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ) เกิดที่ Rhode Island เขาสำเร็จการศึกษาจาก University of Tennessee ช่วงต้นปี 1950 และปฏิบัติหน้าที่ให้กองทัพอากาศสหรัฐฯ เป็นเวลา 4 ปี โดยใช้เวลา 2 ปีประจำการอยู่ที่อลาสก้า ต่อมาแม็คคาร์ธี่หวนกลับไปที่มหาวิทยาลัย เขาได้ตีพิมพ์บทความในวารสารสอนการอ่านของนักศึกษา และได้รับรางวัล Ingram-Merrill Award สำหรับงานเขียนที่มีความสร้างสรรค์ในปี 1959 และ 1960 ต่อมาแม็คคาร์ธี่เดินทางไปชิคาโก้เพื่อทำงานในตำแหน่งวิศวกรเครื่องยนต์ และเขียนนิยายเรื่องแรกอย่าง The Orchard Keeper ไปด้วย

นิยายเรื่อง The Orchard Keeper ได้รับการตีพิมพ์โดย Random House เมื่อปี 1965; อัลเบิร์ต เออร์สกินที่เป็นบรรณาธิการให้แม็คคาร์ธี่คือบรรณาธิการของวิลเลียม ฟอล์คเนอร์ มาอย่างยาวนาน ก่อนจะมีการตีพิมพ์แม็คคาร์ธี่ได้รับเกียรติบัตรเพื่อเชิดชูเกียรติจากการไปบรรยายจาก American Academy of Arts and Letters ซึ่งเขาได้เดินทางไปที่ไอร์แลนด์ ในปี 1966 เขาได้รับ  Rockefeller Foundation Grant ต่อมาเขาได้เดินทางไปทัวร์ที่ยุโรปและอยู่ที่เกาะไอบิซ่า โดยแม็คคาร์ธี่ได้ปรับปรุงนิยายเรื่องต่อไปของเขาที่ชื่อ Outer Dark เสร็จสมบูรณ์ที่นั่น

ในปี 1967 แม็คคาร์ธี่กลับมาที่สหรัฐฯ และได้ย้ายไปที่เทนเนสซี่ ผลงานเรื่อง Outer Dark ได้รับการตีพิมพ์โดย Random House เมื่อปี 1968 และแม็คคาร์ธี่ได้รับเกียรติบัตร Guggenheim Fellowship สำหรับงานเขียนที่มีความสร้างสรรค์เมื่อปี 1969 ผลงานถัดไปของเขาเรื่อง Child of God มีการตีพิมพ์เมื่อปี 1973 ตั้งแต่ปี 1974 จนถึงปี 1975 แม็คคาร์ธี่เขียนบทภาพยนตร์ให้ PBS เรื่อง The Gardener’s Son ที่มีการฉายครั้งแรกในปี 1977 บทภาพยนตร์ฉบับปรับปรุงมีการตีพิมพ์ครั้งสุดท้ายโดย Echo Press

ในช่วงปลายปี 1970 แม็คคาร์ธี่ย้ายไปที่เท็กซัสและเมื่อปี 1979 มีการตีพิมพ์นิยายเรื่องที่ 4 ของเขาที่ชื่อว่า Suttee โดยเป็นหนังเสือเกี่ยวกับชีวิตงานเขียนของเขาตลอดช่วงเวลา 20ปี เขาได้รับทุน MacArthur Fellowship เมื่อปี 1981 และตีพิมพ์นิยายเรื่องที่ 5 ของเขาเรื่อง  Blood Meridian เมื่อปี 1985

หลังปลดเกษียณจากอัลเบิร์ต เออร์สสกิน แม็คคาร์ธี่ได้ย้ายจาก Random House ไปที่อัลเฟรด เอ นอฟ All the Pretty Horses หนังสือเล่มแรกของ The Border Trilogy ได้รับการตีพิมพ์โดยนอฟ เมื่อปี 1992 โดยได้รับรางวัลทั้ง National Book Award และ National Book Critics Circle Award จนได้กลายเป็นภาพยนตร์ในท้ายที่สุด การแสดงเรื่อง  The Stonemason เป็นผลงานที่แม็คคาร์ธี่เขียนเมื่อกลางปี 1970 และมีการปรับปรุงใหม่จนได้รับการตีพิมพ์โดย Echo Press เมื่อปี 1994 หลังจากนั้นไม่นานนอฟได้ตีพิมพ์ตอนที่สองของ The Border Trilogy, The Crossing โดยผลงาน The third volume เรื่อง Cities of the Plain ได้รับการตีพิมพ์เมื่อปี 1998

นิยายเรื่องถัดมาของแม็คคาร์ธี่เรื่อง No Country For Old Men ได้รับการตีพิมพ์เมื่อปี 2005 ต่อมามีการสร้างเป็นละครเมื่อปี 2006 ผลงานต้นฉบับเรื่อง The Sunset Limited มีการแสดงโดย Steppenwolf Theatre Company of Chicago และตีพิมพ์ในหนังสือปกอ่อนโดย Vintage Books นิยายเรื่องล่าสุดของแม็คคาร์ธี่เรื่อง The Road ได้รับการตีพิมพ์โดยนอฟเมื่อปี 2006 เรื่อง The Road ได้รับการเลือกจาก Book Club และได้รับรางวัล Pulitzer Prize เมื่อปี 2007

นิยายของแม็คคาร์ธี่เรื่อง All the Pretty Horses, No Country For Old Men, The Road และ Child of God ล้วนถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ทุกเรื่อง โดยเรื่อง No Country For Old Men ได้รับรางวัล Academy Award 4 สาขา รวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย ส่วนเรื่อง The Sunset Limited ออกอากาศทาง HBO เมื่อปี 2011

 

ผลงานการสร้างฯ และอำนวยการสร้างบริหารฯ ที่มีชื่อเสียงของ นิค เวสเลอร์ (ผู้อำนวยการสร้างฯ) ได้แก่ผลงานอินดี้ที่มีความโดดเด่นและได้รับรางวัล รวมถึงภาพยนตร์ของสตูดิโอ เช่น ผลงานปี 1989 ที่ได้รางวัล Palme d’Or เรื่อง Sex, Lies, And Videotape; 1989 National Society of Film Critics Best Film Drugstore Cowboy; รางวัล Golden Globe ปี 1991 สาขาภาพยนตร์คอมเมดี้ยอดเยี่ยมของเรื่อง The Player; รางวัล Venice Film Festival Silver Lion ปี 1995 เรื่อง Little Odessa; National Board of Review ปี 2000 สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เรื่อง Quills, Cannes Film Festival Main Competition Selection The Yards และเข้าชิงรางวัล Independent Spirit Awards ปี 2000  สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในเรื่อง Requiem For A Dream

ในปี 2006 เวสเลอร์ผลิตเรื่อง North Country ที่ทำให้ทั้งชาร์ลีซ ทีรอน และ ฟราสเชส แม็คดอร์แมนด์ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscar และอำนวยการสร้างบริหารภาพยนตร์ของดาร์เรน อาโรนอฟสกี้ เรื่อง The Fountain ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Golden Lion ที่งาน Venice Film Festival

ผลงานที่มีการฉายของเวสเลอร์ยังรวมถึงที่งาน Cannes Main Competition Selection เรื่อง We Own The Night ปี 2007 กำกับฯ โดย เจมส์ เกรย์ นำแสดงโดย โควิน ฟีนิกซ์ และ มาร์ค วาห์ลเบิร์ก และเรื่อง Reservation Road จาก Focus Features กำกับฯ โดย เทอร์รี่ จอร์จ นำแสดงโดย โจควิน ฟีนิกซ์, มาร์ค รัฟฟาโล่ และ เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่

ผลงานล่าสุดของเวสเลอร์ ได้แก่ The Time Traveler’s Wife กำกับฯ โดย โรเบิร์ต ชเวนเก้ นำแสดงโดย อีริค บาน่า และ ราเชล แม็คอดัมส์; The Road ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ กำกับฯ โดย จอห์น ฮิลโคต สร้างขึ้นจากนิยายของคอร์แม็ค แม็คคาร์ธี่ นำแสดงโดย วิกโก้ มอร์เทนเซน และ Magic Mike กำกับฯ โดย สตีเฟ่น โซเดอร์เบิร์ก นำแสดงโดย แมทธิว แม็คคอนอฮีย์ และ แชนนิ่ง ทาทัม มีกำหนดฉายในปีนี้ Wechsler has Serena กำกับฯ โดย ซูซาน เบียร์ นำแสดงโดย เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ และ แบรดลีย์ คูเปอร์

สตีฟ ชวาตซ์ (ผู้อำนวยการสร้างฯ) เป็นประธานแห่งฯ Chockstone Pictures เขาเคยเป็นผู้อำนวยการสร้างฯ ในเรื่อง The Road และ The Host สร้างขึ้นจกานิยายขายดีของสเตฟานี่ เมเยอร์ ผลงานเร็วๆ นี้ ได้แก่ Serena สร้างขึ้นจากนิยายของรอน แรช ชวาตซ์ร่วมอำนวยการสร้างบริหารในภาพยนตร์ของเทอร์เรนซ์ มาลิค เรื่อง The Tree Of Live นำแสดงโดย แบรด พิตต์ และ เจสสิก้า แชสเทน

โปรเจ็กต์ที่อยู่ในการพัฒนา ได้แก่ The Dying of the Light สร้างขึ้นจากบทฯ ของพอล เชรเดอร์ และเรื่อง An Eye at the Top of the World ที่เกี่ยวกับการผจญภัยด้วยการปีนไต่

ในปี 1990 เขากับภรรยา พอลล่า เม ชวาตซ์ ได้ร่วมกันก่อตั้ง Schwartz Communications ซึ่งเป็นเอเจนซี่พีอาร์ที่ใหญ่สุดในโลกเพื่อรองรับบริษัทเทคโนโลยีที่ก่อกำเนิดขึ้นมา

พอลล่า เม ชวาตซ์ (ผู้อำนวยการสร้างฯ) เป็นซีอีโอแห่งง Chockstone Pictures เธออำนวยการสร้างฯ ผลงานเรื่อง The Road คู่กับนิค เวสเลอร์ และ สตีฟ ชวาตซ์ สามีของเธอ ผลงานเรื่อง The Host สร้างขึ้นจากนิยายขายดีของสเตฟานี่ เมเยอร์ และ Serena สร้างขึ้นจากนิยายของรอน แรช มีกำหนดฉายในปีนี้ พอลล่า ร่วมอำนวยการสร้างบริหารคู่กับสตีฟ ชวาตซ์ ในผลงานของเทอร์เรนซ์ มาลิค เรื่อง The Tree Of Life นำแสดงโดย แบรด พิตต์ และ เจสสิก้า แชสเทน

โปรเจ็กต์ที่อยู่ในการพัฒนา ได้แก่ The Dying of the Light สร้างขึ้นจากบทฯ ของพอล เชรเดอร์ และเรื่อง An Eye at the Top of the World ที่เกี่ยวกับการผจญภัยด้วยการปีนไต่

บริษัท Chockstone Pictures เป็นบริษัทแห่งที่สองที่สตีฟและพอลล่า เม ชวาตซ์ ร่วมกันก่อตั้งขึ้นมา บริษัทแรกชื่อ Schwartz Communications ขณะนี้ได้เป็นบริษัทประชาสัมพันธ์สากล โดยมีออฟฟิศที่บอสตัน ลอนดอน ซานฟรานซิสโก และสต็อคโฮล์ม ซึ่งมุ่งเน้นที่นวัตกรรมด้านการดูแลสุขภาพ

 

มาร์ค ฮัฟแฟม (ผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ) อยู่ในวงการภาพยนตร์มาตั้งแต่ปี 1983 และทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างฯ ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผลงานที่มีชื่อเสียงเรื่องแรกของฮัฟแมนเป็นภาพยนตร์ของสตีเฟ่น สปีลเบิร์ก เรื่อง Saving Private Ryan นำแสดงโดย ทอม แฮงค์ส ที่ได้รับรางวัล Oscars ถึง 5 รางวัลในงาน  Academy Awards ปี 1999 เขาได้รับการจากการสนับสนุนด้านภาพยนตร์ ฮัฟแฟมได้รับรางวัล Directors Guild of America (DGA) สาขาทีมงานด้านการผลิตยอดเยี่ยมในปีนั้น

ในปี 2000 ฮัฟแฟมร่วมอำนวยการสร้างฯ ผลงานที่ได้รับการชมอย่างสูง เรื่อง Quills นำแสดงโดย เจฟฟรีย์ รัช และ เคท วินสเล็ต ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscars 3 รางวัลและ BAFTA Awards อีก 5 รางวัล หลังจากนั้นในปี 2001 เขาได้ผลิตผลงานให้กับกัปตัน โคเรลลี่ เรื่อง Mandolin สำหรับ Working Title Films กำกับฯ โดย จอห์น แมดเดน นำแสดงโดยนิโคลาส เคจ และ เพเนโลเป้ ครูซ

ในปี 2002 ฮัฟแฟนร่วมงานกับสก็อตต์ รูดิน เพื่อผลิตเรื่อง The Hours กำกับฯ โดย สตีเฟ่น ดัลดรี้ นำแสดงโดย นิโคล คิดแมน, จูเลน มัวร์ และ เมริล สตรีพ ภาพยนตร์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award 5 รางวัลในปีนั้น และคิดแมนได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากบท เวอร์จิเนีย วูล์ฟ

ฮัฟแฟมได้ผลิตผลงานที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่เรื่อง Johnny English ในปี 2003 อีกครั้งให้  Working Title ภาพยนตร์นำแสดงโดย โรแวน แอตคินสัน กวาดรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกไป 147 ล้านเหรียญ และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลมากมาย ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, British Comedy Awards 2003 และ Best British Film (Empire Awards 2004) เขาร่วมงานกับทิม บีแวน และ อีริค เฟลเนอร์ อีกครั้งเพื่อสร้างฯ ผลงานซีรี่ส์ทางทีวีที่ได้รับความนิยมปี 60 ในรูปแบบภาพยนตร์ เรื่อง Thunderbirds เมื่อปี 2004

และในปี 2004 เขาได้ร่วมงานกับสตีเฟ่น ดัลดรี้ เพื่ออำนวยการสร้างบริหารฯ โดยฮัฟแฟมได้ผลิตฯ เรื่อง Mickybo and Me โปรเจ็กต์ที่เขาพัฒนาร่วมกับผู้เขียนฯ-ผู้กำกับฯ เทอร์รี่ โลน ภาพยนตร์มีการถ่ายทำที่ไอร์แลนด์ทางตอนเหนือ นำแสดงโดย จูเลีย วัลเตอร์ส ได้รับรางวัลและคำชมจากงาน Irish Film Festival เมื่อปี 2005 และเทศกาลอื่นทั่วโลก

ในปี 2005 และ 2006 ฮัฟเฟมมีส่วนร่วมในซีรี่ส์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เรื่อง GOAL! ซึ่งเป็นเรื่องราวของวงการฟุตบอลระดับโลก เขาผลิตผลงานไตรภาค 2 ภาคแรกให้ Milkshake Films และ Buena Vista Pictures

ในปี 2007 เขาผลิตเรื่อง Mamma Mia! ละครเพลงในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมให้กับ Universal Pictures นำแสดงโดย เมอริล สตรีพ, เพียซ บรอสแนน และ โคลิน เฟิร์ธ ภาพยนตร์ได้รับความนิยมทั่วโลก กวาดรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศไปมากกว่า600 ล้านเหรียญ กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ของ Universal ที่กวาดรายได้สูงสุดและได้กำไรมากสุดเท่าที่เคยมีมา

ในปี 2008 ฮัฟแฟมได้ก่อตั้งบริษัท Generator Entertainment ร่วมกับไซมอน โบแซนเค็ต เพื่อพัฒนาและผลิตภาพยนตร์ที่ล้ำสมัยหลายเรื่อง ผลงานที่ได้รับความนิยมมาถึงทุกวันนี้ ได้แก่ ภาพยนตร์ระทึกขวัญสยองขวัญ เรื่อง Red Mist ผลงานแนวดราม่าล้ำสมัย เรื่อง Cherrybomb ร่วมกับรูเพิร์ท กรินท์ และ ภาพยนตร์ระทึกขวัญเหนือธรรมชาติ เรื่อง Ghost Machine

ในปี 2009 ฮัฟแฟมสร้างภาพยนตร์เรื่อง Your Highness ให้กับ Universal Pictures นำแสดงโดย แดนนี่ แม็คไบรด์, เจมส์ ฟรังโก, นาตาลี พอร์ทแมน และ โซอี้ เดสชาแนล ในปีเดียวกันเขาผลิตผลงานทางทีวีตอนแรกให้ HBO เรื่อง Games of Thrones สร้างขึ้นจากหนังสือชุดแนวแฟนตาซีภาคแรก เรื่อง A Song Of Fire And Ice ของจอร์จ อาร์อาร์ มาร์ติน

ในช่วงต้นปี 2010 ฮัฟแฟมได้สร้างภาพยนตร์ของนิค แฮม เรื่อง Killing Bono ภายใต้การผลิตร่วมกับ Salt Company และ Greenroom Entertainment นำแสดงโดยเบ็น บาร์นส นักแสดงชาวไอริชรุ่นใหม่อย่างโรเบิร์ต ชีฮาน และพีท พอสเทิลเวท ที่ล่วงลับไปแล้ว ในช่วงปลายปี 2010 ฮัฟเฟมได้ร่วมงานกับ HBO อีกครั้งเพื่อสร้างทีวีซีรี่ส์เรื่อง Games of Thrones ที่ถ่ายทำในไอร์แลนด์ทางตอนเหนือและมัลต้า นำแสดงโดย ฌอน บีน, ลีน่า ฮีเดย์ และ เจสัน โมเมา

ในปี 2011 ฮัฟแฟมร่วมงานกับริดลีย์ สก็อตต์ เป็นครั้งแรกในการทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ ให้มหากาพย์แนวไซไฟของสก็อตต์ เรื่อง Prometheus

 

ไมเคิล แชเฟอร์ (ผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ) เป็นประธานแห่ง Scott Free Productions ก่อนจะมาร่วมงานที่ Scott Free เขาเคยเป็นผู้บริหารอาวุโสแห่ง Summit Entertainment โดยเขาควบคุมผลงานภาพยนตร์หลายเรื่อง อาทิเช่น ภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัล Oscar เรื่อง The Hurt Locker,  The Impossible, 50/50, Source Code, Sinister, Now You See Me (ที่เขาอำนวยการสร้างบริหารฯ) และ Ender’s Game ที่กำลังจะเข้าฉาย

ไมเคิล คอสติแกน (ผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ) เป็นประธานแห่งบริษัท COTA Films ที่ตั้งอยู่ในลอสแองเจลิส ซึ่งมีสัญญาการเห็นบทภาพยนตร์เป็นรายแรกในระยะเวลา 2 ปีร่วมกับ Sony Pictures Entertainment ก่อนหน้านี้เขาเป็นประธานแห่ง Scott Free Productions บริษัทของริดลีย์และโทนี่ สก็อตต์ ภายใต้สัญลักษณ์ Scott Free เขาเคยผลิตเรื่อง The East นำแสดงโดยบริต มาร์ลิง กำกับฯ โดย Brit Marling เรื่อง Stoker นำแสดงโดย นิโคล คิดแมน กำกับฯ โดย ชาน วู-ปาร์ค เรื่อง Being Flynn นำแสดงโดย โรเบิร์ต เดอ นีโร และ พอล ดาโน่ กำกับฯ โดย พอล วีตซ์ และเรื่อง Cyrus นำแสดงโดย จอห์น ซี. รีลลี่, โจนาห์ ฮิล และ มาริซ่า โทเม กำกับฯ โดย มาร์ค ดูพลาส และ เจย์ ดูพลาส เขาอำนวยการสร้างบริหารฯ เรื่อง Prometheus กำกับฯ โดย ริดลีย์ สก็อตต์ เรื่อง Robin Hood กำกับฯ โดย ริดลีย์ สก็อตต์ นำแสดงโดย รัสเซล โครว์ และ เคท บลันเช็ตต์; Body of Lies กำกับฯ โดย ริดลีย์ สก็อตต์ นำแสดงโดย ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ และ รัสเซล โครว์ และเรื่อง American Gangster กำกับฯ โดย ริดลีย์ สก็อตต์ นำแสดงโดย เดนเซล วอชิงตัน และ รัสเซล โครว์ บริษัท Scott Free ได้ผลิตมินิซีรี่สส์ความยาว 6 ชั่วโมง เรื่อง The Company ที่เกี่ยวกับประวัติของซีไอเอให้กับ TNT

คอสติแกนได้พัฒนาโปรเจ็กต์หลายเรื่องระหว่างดำรงตำแหน่งที่ Scott Free อาทิเช่น Domino นำแสดงโดย คีร่า ไนท์ลีย์; A Good Year ผลงานโรแมนติกคอมเมดี้ นำแสดงโดย รัสเซล โครว์; ภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ของเคอร์ทิส แฮนสัน เรื่อง In Her Shoes ที่ร่วมงานกับคาเมรอน ดิแอซ, โทนี่ คอลเล็ต และ เชอร์ลีย์ แม็คเลน และทีวีซีรี่ส์ยอดนิยมของ CBS เรื่อง Numbers โปรเจ็กต์ล่าสุดภายใต้บริษัท Scott Free ได้แก่ ภาพยนตร์เรื่อง Factor X ซึ่งเป็นเรื่องราวของฆาตกร BTK อันเลื่องชื่อในแคนซัส

คอสติแกนทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ ในภาพยนตร์แนวดราม่าเรื่องดัง Brokeback Mountain กำกับฯ โดย อัง ลี จากบทภาพยนตร์ของ แลร์รี่ แม็คเมอร์ทรี และ ไดอาน่า ออสซาน่า สร้างขึ้นจากเรื่องสั้นของแอนนี่ โพรล ภาพยนตร์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Acadmey Award สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และได้รับรางวัล Oscars สาขาผู้กำกับฯ ยอดเยี่ยม และบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม เขายังผลิตภาพยนตร์โรแมนติกดราม่าคอมเมดี้ เรื่อง Smart People และผลงานคอมเมดี้ช่วงวันหยุด เรื่อง Deck the Halls อีกด้วย

ก่อนจะมาปฏิบัติหน้าที่ด้านการผลิตฯ คอสติแกนใช้เวลานานนับ 10 ปีเพื่อไต่เต้าในสตูดิโอ เขาเป็นรองประธานบริหารสายการผลิตแห่ง Sony Pictures เป็นเวลา 9 ปี ได้ควบคุมด้านสิทธิการครอบครอง การพัฒนาและการผลิตผลงานหลายเรื่อง อาทิเช่น ภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัล Oscar เรื่อง Girl, Interrupted กำกับฯ โดย เจมส์ แมนโกลด์; ภาพยนตร์ที่เข้าชิงรางวัล Oscar ของไมลอส ฟอร์แมน เรื่อง The People vs. Larry Flynt; ภาพยนตร์เรื่องดังของแม็คจี เรื่อง Charlie’s Angels; ผลงานคอมเมดี้ที่ได้รับคำชม เรื่อง To Die For กำกับฯ โดย กัส แวน แซงต์; ผลงานการกำกับครั้งแรก 2 เรื่อง ได้แก่ ภาพยนตร์ของแอนดรูว์ นิคคอล เรื่อง Gattaca และผลงานของเวส แอนเดอร์สัน เรื่อง Bottle Rocket

 

ดาริอุส โวลสกี้, ASC (ผู้กำกับภาพฯ) เริ่มร่วมงานกับริดลีย์ สก็อตต์ ในมหากาพย์ภาพยนตร์แนวไซไฟที่ได้รับความคาดหวังอย่างสูง เรื่อง Prometheus เขาเป็นผู้กำกับภาพฯ ให้เรื่อง Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides ต่อด้วยผลงานที่สร้างชื่อให้เขาทั้ง The Curse of the Black Pearl, Dead Man’s Chest และ At World’s End โวลสกี้ยังร่วมงานกับจอห์นนี่ เดปป์ ในภาพยนตร์ของทิม เบอร์ตัน เรื่อง Sweeney Todd: The Demon Barber of Fleet Street และ Alice in Wonderland รวมถึงภาพยนตร์ของบรูซ โรบินสัน เรื่อง The Rum Diary

โวลสกี้ได้ร่วมงานกับผู้กำกับฯ ชื่อดังหลายราย เช่น กอร์ เวอร์บินสกี้ ในเรื่อง The Mexican (ก่อนภาพยนตร์ Pirates of the Caribbean สามภาคแรก); ดีเจ คารูโซ่ ในเรื่อง Eagle Eye; แอนดรูว์ เดวิส ในเรื่อง A Perfect Murder; อเล็กซ์ โพรยาส ในเรื่อง Dark City และภาพยนตร์คัลท์ยอดนิยม เรื่อง The Crow; ผลงานของปีเตอร์ มีแด็ค เรื่อง Romeo Is Bleeding; ผลงานของจอห์น โพลสัน เรื่อง Hide And Seek; รวมถึงการร่วมงานกับโทนี่ สก็อตต์ ในเรื่อง The Fan และผลงานการผลิตของดอน ซิมป์สัน-เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์ เรื่อง Crimson Tide สำหรับผลงานที่ได้รับคำชมและมีการพูดถึงอย่ามาก เรื่อง Crimson Tide ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ASC Award จากความสำเร็จด้านการถ่ายภาพที่โดดเด่น

โวลสกี้เกิดที่วอร์ซอว์ ประเทศโปแลนด์ สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนภาพยนตร์ใน Lodz หลังย้ายมาที่สหรัฐฯ เมื่อปี 1979 เขาได้สร้างผลงานในภาพยนตร์สารคดี ภาพยนตร์อินดี้ฟอร์มเล็กของบริษัท เขามีจุดพลิกผันที่ยิ่งใหญ่ครั้งแรกเมื่อปี 1986 ในภาพยนตร์เรื่อง Heart ที่เขาได้รับการร้องขอให้มาเป็นตากล้องแทนคนที่ย้ายไปทำโปรเจ็กต์อื่น หลังจากนั้นไม่นานโวลสกี้ย้ายไปที่ลอสแองเจลิส เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับภาพฯ ให้มิวสิควีดีโอและโฆษณาของผู้กำกับฯ หลายราย เช่น อเล็กซ์ โพรยาส, เดวิด ฟินเชอร์, โทนี่ สก็อตต์ และ เจค สก็อตต์ ต่อมาเขาร่วมงานกับโรเจอร์ คอร์แมน ในการผลิตภายนตร์เรื่อง Nightfall และผลงานการผลิตของ PBS American Playhouse เรื่อง Land of Little Rain

 

อาร์เธอร์ แม็กซ์ (ผู้ออกแบบฉากฯ) เริ่มร่วมงานกับริดลีย์ สก็อตต์ ด้วยโฆษณาทางทีวีตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว แม็กซ์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award จากผลงานการกำกับฯ ของสก็อตต์ 2 เรื่อง ได้แก่ รางวัล Oscar สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเรื่อง Gladiator ที่เขาได้สร้างกรุงโรมให้มีชีวิตขึ้นมา และภาพยนตร์เรื่อง_ American Gangster ที่เขาได้สร้างฮาร์เล็มปี 1970 ขึ้นมาใหม่ ในเรื่อง Gladiator แม็กซ์ยังได้รับรางวัล BAFTA,  National Board of Review award, Broadcast Film Critics award และ Excellence in Production Design award จาก Art Directors Guild เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Art Directors Guild ครั้งที่ 4 จากเรื่อง  American Gangster

แม็กซ์ยังร่วมงานกับสก็อตต์ในเรื่อง Prometheus และ Robin Hood เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Art Directors Guild เป็นครั้งแรก เรื่อง Body of Lies; Kingdom of Heaven; Black Hawk Down ที่เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Art Directors Guild เป็นครั้งที่สอง รวมถึงการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล American Film Institute และเรื่อง GI Jane

แม็กซ์ได้ร่วมงานกับผู้กำกับฯ เดวิด ฟินเชอร์ เป็นครั้งที่ 2 ในการออกแบบผลงานแนวดาร์กเกี่ยวกับดราม่าอาชญากรรมให้ผู้สร้างภาพยนตร์ ปี 1995 เรื่อง Se7en และล่าสุดเป็นภาพยนตร์แนวระทึกขวัญสั่นประสาท เรื่อง Panic Room ที่แม็กซ์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Art Directors Guild เป็นครั้งที่สาม

แม็กซ์เป็นชาวนิวยอร์คโดยกำเนิด เขาสำเร็จการศึกษาจาก New York University ช่วงปลายปี 1960 และเริ่มทำงานโดยการเป็นผู้ออกแบบแสงในวงการเพลง ผลงานของเขาช่วงแรกได้แก่ Woodstock Festival แห่งประวัติศาสตร์เมื่อปี 1969 และโปรเจ็กต์ต่างๆ ในสถานที่อันมีชื่อเสียงของบิล เกรแฮม Fillmore East ใน  New York’s East Village ในช่วง 10 ปีต่อมา เขาได้ออกแบบเวทีคอนเสิร์ตให้ศิลปินแห่งตำนานหลายคน เช่น T-Rex และ Pink Floyd หลังศึกษาด้านสถาปัตย์ที่ประเทศศอังกฤษจนสำเร็จการศึกษาช่วงต้นปี 80 จาก Polytechnic of Central London และ Royal College of Art แม็กซ์มีผลงานการออกแบบด้านสถาปัตยกรรมหลายโปรเจ็กต์ในลอนดอน

เขาสร้างผลงานให้วงการภาพยนตร์ชาวอังกฤษในฐานะผู้ช่วยของผู้ออกแบบฉากฯ ที่มีชื่อเสียง เช่น สจ๊วต เครก ในเรื่อง Greystoke: The Legend of Tarzan, Lord Of The Apes และ Cal และแอชเชตตัน กอร์ตอน ในเรื่อง Revolution ต่อมาแม็กซ์ได้มาสร้างผลงานให้โฆษณาทางทีวีและเป็นผู้ออกแบบฯ ให้ลูกค้าอย่าง Pepsi, Nike, Jeep, Coke และ Levi นานนับสิบปีจนเขาได้มาร่วมงานกับผู้สร้างฯ ริดลีย์ สก็อตต์ และ เดวิด ฟินเชอร์

 

ปิเอโตร สกาเลีย, A.C.E. (ผู้ลำดับภาพฯ) ได้รับรางวัล Academy Award อันทรงเกียรติถึง 2 ครั้งสาขาการลำดับภาพยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ของโอลิเวอร์ สโตน ที่ทำให้เกิดการถกเถียงเมื่อปี 1991 เกี่ยวกับกราวางแผนลับ เรื่อง JFK ที่เขาร่วมรับรางวัลกับโจ ฮัตชิง ผู้ร่วมลำดับภาพฯ และได้รับรางวัล BAFTA และ American Cinema Editors’ (ACE) Eddie Award สำหรับผลงานของเขาในภาพพยนตร์เรื่องดังของริดลีย์ สก็อตต์ ปี 1991 แนวดราม่าเกี่ยวกับสงคราม เรื่อง Black Hawk Down ที่เขาได้รับรางวัล ACE Eddie Award และเข้าชิงรางวัล BAFTA นอกจากนั้นเขายังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscar และ ACE Eddie Award ของกัส แวน แซงต์ เรื่อง Good Will Hunting และเข้าชิงรางวัล Oscar, ACE Eddie Award และ BAFTA จากภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัล Oscar ของสก็อตต์ เรื่อง Gladiator สกาเลียยังได้ลำดับภาพฯ ให้สก็อตต์ในเรื่อง Prometheus; Robin Hood; Body of Lies; American Gangster ที่เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA; GI Jane และ Hannibal

สกาเลียเป็นผู้ลำดับภาพฯ ให้ภาพยนตร์สารคดีการสร้างของนักแสดงลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ เรื่องดังปี 2007 เรื่อง The 11th Hour และภาพยนตร์ของแมทธิว วอน เรื่อง Kick-Ass

ในช่วงแรกสกาเลียเคยร่วมงานกับเบอร์นาร์โด เบอร์โตลุคชี่ ในเรื่อง Little Buddha และ Stealing Beauty เขาเคยร่วมงานกับแซม ไรมี่ในเรื่อง The Quick and the Dead ร่วมงานกับร็อบ มาร์แชลในเรื่อง Memoirs of a Geisha และร่วมงานกับแลร์รี่ ชาร์ลส ในเรื่อง Masked และ Anonymous

สกาเลียเริ่มอาชีพด้วยการร่วมงานกับโอลิเวอร์ สโตน ในฐานะของผู้ช่วยผู้ลำดับภาพในภาพยนตร์เรื่อง Wall Street และ Talk Radio ต่อมาเขาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้ลำดับภาพในเรื่อง Born on the Fourth of July ที่ได้รับรางวัล Oscar สาขาการลำดับภาพยอดเยี่ยม และเป็นผู้ลำดับภาพสมทบในเรื่อง The Doors

สกาเลียเกิดที่ Sicily เขาโตที่สวิตเซอร์แลนด์ ศึกษาที่วิทยาลัยในสหรัฐฯ และได้รับโทศิลปศาสตร์ด้านภาพยนตร์และการละครจาก UCLA เมื่อปี 1985

 

            แจนตี้ เยทส์ (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) ได้รับรางวัล Academy Award เมื่อปี 2000 และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA สำหรับเครื่องแต่งกายของเธอที่ทำให้นึกถึงกรุงโรมสมัยก่อน ในภาพยนตร์ของริดลีย์ สก็อตต์ ที่ได้รับรางวัล Oscar สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เรื่อง Gladiator ภาพยนตร์เรื่องนั้นเป็นเรื่องแรกจาก 7 เรื่องที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับ รวมถึงเรื่องRobin Hood ที่เยทส์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Saturn และ Satellite สาขาการออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม, Body of Lies, American Gangster, Hannibal และ Kingdom of Heaven ที่เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Goya Award สาขาการออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม

การร่วมงานระหว่างเยทส์กับผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงหลายคน ยังรวมถึงภาพยนตร์ของไมเคิล วินเทอร์บัตทอม เรื่อง Welcome to Sarajevo, Jude และ With or Without You, ภาพยนตร์ของไมเคิล แมนน์ เรื่อง Miami Vice, ภาพยนตร์ของฌอง ยัค อันโลด์ เรื่อง Enemy at the Gates, ภาพยนตร์ของคริสโตเฟอร์ มองเกอร์ เรื่อง The Englishman Who Went Up a Hill But Came Down a Mountain, ภาพยนตร์ของจอน เอมีล เรื่อง The Man Who Knew Too Little, ภาพยนตร์ของกิลเลียน อาร์มสตรอง เรื่อง Charlotte Gray และภาพยนตร์แนวดราม่าเกี่ยวกับประวัติของโคล พอร์เตอร์ ผลงานของเออร์วิน วิงค์เลอร์ เรื่อง De-Lovely การออกแบบของเยทส์ที่ดูงดงามในยุคของเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Costume Designers Guild Award

เยทส์เริ่มเส้นทางอาชีพจากโลกแฟชั่น จากนั้นพลิกมาสู่วงการภาพยนตร์ในฐานะของผู้ช่วยผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายในภาพยนตร์ของฌอง ยัค อันโลด์ เรื่อง Quest for Fire ต่อมาเธอได้ร่วมงานในภาพยนตร์สองเรื่องของไมค์ เนเวล ได้แก่ ภาพยนตร์ระทึกขวัญเมื่อปี 1985 เรื่อง Dance with a Stranger และภาพยนตร์แนวดราม่าแห่งปี 1988 เรื่อง Soursweet เยทส์ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมด้านเครื่องแต่งกายในภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมของอลัน พาร์คเกอร์ที่เป็นเรื่องราวของดนตรีชาวไอริช เรื่อง The Commitments จากนั้นเธอได้เป็นผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้ภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในภาพยนตร์แนวดราม่าคอมเมดี้ของชาวอังกฤษ เมื่อปี 1993 เรื่อง Bad Behaviour

 

แดเนียล เพ็มเบอร์ตัน (ดนตรี) ได้รับรางวัล Ivor Novello และเข้าชิงรางวัล BAFTA หลายรางวัลจากการประพันธ์ดนตรีที่โดดเด่นในภาพยนตร์ ผลงานทางทีวีและวีดีโอเกม ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขา ได้แก่ ภาพยนตร์เรื่อง The Awakening และภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัล Sundance Jury เรื่อง Enemies of the People ผลงานทางทีวีอังกฤษแนวคัลท์ เช่น Peep Show, Hell’s Kitchen และ Great British Menu เขายังประพันธ์เพลงให้เกม Xbox 360 ที่มียอดขายเป็นอันดับ 2 ตลอดกาล (Kinect Adventures) รวมถึงการสร้างธีมที่โดดเด่นให้  LittleBigPlanet ของ Sony เขายังประพันธ์ซาวด์แทร็คให้ซีรี่ส์ที่ได้รับรางวัลมาแล้วนับไม่ถ้วน ตั้งแต่ผลงานที่ทาง BBC นำกลับมาสร้างใหม่และได้รับความคาดหวังอย่างสูง เรื่อง Upstairs Downstairs จนถึงซีรี่ส์เกี่ยวกับสงครามอิรักที่ได้รับรางวัลมากมาย เรื่อง Occupation; ผลงานการดัดแปลงของมาร์ติน อามิส เรื่อง Money to Douglas Adams’ Dirk Gently เขายังประพันธ์ดนตรีให้ผลงานคอมเมดี้หลายเรื่องที่ได้รับรางวัล Emmy®, BAFTA, Grierson และ RTS รวมถึงภาพยนตร์สารคดีและรายการเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ เขายังได้ร่วมงานกับผู้กำกับฯ และผู้ลำดับภาพฯ ที่ได้รับรางวัล Oscar อีกด้วย

ความสามารถหลากด้านของเขาทำให้ดนตรีมีความโดดเด่นและเป็นที่จดจำในทุกโปรเจ็กต์ จนเขาได้รับขนานนามว่าเป็น ‘หนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงซึ่งทำงานในวงการทีวี ณ วันนี้’ จากนิตยสาร Broadcast ที่ยกย่องให้เขาเป็น ‘นักประพันธ์ดนตรีผู้พร้อมรับความเสี่ยง’ และมีการนำเสนอเครื่องดนตรีตั้งแต่ออเคสตร้า 70 ชิ้นไปถึง kazoos และอุปกรณ์กลอง; วงดนตรีแจ๊สขนาดใหญ่ที่รวมขึ้นเพื่อออกแบบซาวด์อิเล็คทรอนิกส์ที่ซับซ้อน; วงดนตรี Ghanian จนถึงนักดนตรีชาวอาร์เมเนียน; กลุ่มนักร้องประสานเสียงของนักกีตาร์โพสต์-ร็อค ความสร้างสรรค์ของเขาทำให้ได้รับรางวัล Ivor Novello จากการประพันธ์ในผลงานแนวดราม่าของ  BBC เรื่อง Desperate Romantics ที่เป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จของเขา การผสมผสานระหว่างจังหวะร็อคกับการปรุงแต่งแนวดราม่าในยุคปัจจุบัน กลายเป็นบทเพลงที่ได้รับคำชมมากที่สุดในปีนั้นอย่างรวดเร็ว

ในระหว่างที่แดเนียลสร้างผลงานมากมาย เช่น การร่วมก่อตั้งแหล่งแฟนคลับ Shoreditch Twat fanzine เป็นนักเขียนของนิตยสาร i-D, ผู้ควบคุมดนตรีในแฟชั่นโชว์ของดีไซเนอร์หลายคน เช่น Vivienne Westwood, Erdem, Boudicca และเอลีย์ คิชิโมโต ผู้เขียนหนังสือเสียดสีเรื่องราวในโลกของห้องน้ำที่ออกแบบอย่างดงาม และเป็นผู้ให้การสนับสนุนละครโอเปร่าที่อื้อฉาว เป็นผู้ร่วมงานกับศิลปินระดับโลก โดยผลงานซาวด์แทร็คที่มีความหลากหลายของเขาอาจเป็นตัวทำให้เขาได้รับอิทธิพลอย่างมาก

หลังปล่อย ‘Bedroom’ แผ่นเสียงที่สร้างสรรค์จากตัวตนของเขาในแนวเพลง avant-garde electronicc ตอนอายุ  16 ปี แดเนียลได้ย้ายไปเขียนดนตรีให้ผลงานทางทีวี ในเวลา 1 ปีต่อมาระหว่างช่วงที่เขาทำการบ้าน เขาได้ประพันธ์ซาวด์แทร็คให้ทีวีเป็นครั้งแรกในผลงานสารคดีของ Channel 4 ผู้ปฏิวัติสื่อ แจเน็ต สตรีท พอร์เตอร์ ให้การโต้แย้งว่าอนิเตอร์เน็ตเป็นสิ่งที่ล้าสมัยที่ไร้จุดมุ่งหมาย หลังจากนั้นเขาได้กลายเป็นนักประพันธ์ที่มีคนต้องการตัวและมีผลงานมากมายในการประพันธ์เพลงให้ชาวอังกฤษ ด้วยผลงานที่หลากหลายกว่า 150 เรื่อง รายการอีกมากมายกว่า 500 เรื่องแค่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเพียงอย่างเดียว