Hummingbird คนโคตรระห่ำ 6 มิ.ย. ระห่ำทุกโรงภาพยนตร์

จุดเด่นภาพยนตร์

Hummingbird เป็นผลงานการกำกับเรื่องแรกของสตีเว่น ไนท์ มือเขียนบทผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ (Eastern Promises, Dirty Pretty Things) จากบทภาพยนตร์ดั้งเดิมของเขาเอง และอำนวยการสร้างโดย พอล เว็บสเตอร์ ผู้อำนวยการสร้างที่ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ จากผลงานภาพยนตร์  Anna Karenina, Salmon Fishing in The Yemen, Eastern Promises, Atonement  นำแสดงโดย นักแสดงมากความสามารถอย่าง  Jason Statham (เจสัน สเตแธม) ประกบนักแสดงหญิงชาวโปลิช Agata Buzek (อากาต้า บูเซ็ค) ผู้ได้รับตำแหน่งดาราดาวรุ่งแห่งปี 2010 ร่วมด้วยนักแสดงหญิงเจ้าบทบาทอย่าง Vicky McClure  (วิคกี้ แม็คคลัวร์เจ้าของรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากเวทีบาฟต้าจาก This is England ’86 (ซีรีส์)  และทีมงานเบื้องหลังได้แก่ผู้กำกับภาพเจ้าของสองรางวัลอคาเดมี่ อวอร์ด คริส เมนเกส (Extremely Loud & Incredibly Close, The Reader, The Killing Fields, The Mission), ผู้ออกแบบงานสร้างผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล  อคาเดมี่ อวอร์ด ไมเคิล คาร์ลิน, ช่างแต่งหน้าและทำผมเจ้าของรางวัลอคาเดมี่ อวอร์ด พอล แพททิสัน, ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟต้า หลุยส์ สเจิร์นสวอร์ด, ผู้ผสมเสียงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟต้า จอห์น คาซาลีและมือลำดับภาพ วาเลริโอ โบเนลลี ดนตรีโดยดาริโอ มาเรียเนลลี ผู้ได้รับรางวัลอคาเดมี่ อวอร์ด เรียกได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการรวมตัวของนักแสดงและทีมงานคุณภาพมืออาชีพที่มีรางวัลการันตีผลงานจากหลากหลายเวทีเลยทีเดียว

 

เรื่องย่อ

Hummingbird เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ โจอี้ โจนส์ (เจสัน สเตแธม) อดีตทหารหน่วยรบพิเศษที่ต้องระเหเร่ร่อนหลังจากที่หนีจากการถูกตัดสินโทษจากศาลทหาร   คืนหนึ่ง เขาได้บุกรุกเข้าไปในอพาร์ทเมนต์หลังหนึ่งในโคเวนท์ การ์เดน และเขาก็พบว่าเพนท์เฮาส์หรูหลังนี้จะถูกทิ้งร้างเป็นเวลาสามเดือน เขาเจอบัตรเครดิต กุญแจรถและเงินในบัญชีธนาคารที่จะให้เขาได้ถลุงอย่างเต็มที่ แต่เขากลับตัดสินใจใช้โอกาสนี้กลับตัวและหางานทำ เขาเลิกเหล้ายาและได้งานทำเป็นเด็กล้างจานในร้านอาหารจีน ไม่นานนัก เขาก็ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นเด็กยกกระเป๋า ก่อนจะไปเป็นผู้ดูแลอย่างไม่เป็นทางการ ด้วยการทำงานที่ขยันขันแข็งจนเข้าตาบอสชาวจีนที่ต้องการให้เขามาเป็นคนขับรถและผู้คุ้มกฎให้กับเขา

โจอี้ไต่เต้าในโลกใต้ดินของชาวจีนในโซโหขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ดี  เขาก็ไม่เคยลืมเพื่อนเก่าบนท้องถนนของเขา  ตอนที่เขาไร้บ้าน เขามีแฟนสาวคนหนึ่งชื่ออิซาเบล โจอี้ต้องการจะช่วยเธอและเขาก็โทรหา คริสติน่า (อากาต้า บูเซ็ค) แม่ชีผู้ดูแลสถานสงเคราะห์คนเร่ร่อน ที่เขาเคยได้รับอาหารและเสื้อผ้า  เมื่อโจอี้และคริสติน่าได้มาพบกัน ประกายวูบวาบก็เริ่มเกิดขึ้น

เมื่อโจอี้หาเงินได้มากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ส่งพิซซ่า อาหารและเค้กแฟนซีไปให้ที่สถานสงเคราะห์คนเร่ร่อน คริสติน่ายอมรับของขวัญเหล่านั้น จนกระทั่งโจอี้มอบเงินให้กับเธอ และซื้อชุดเดรสผ้าไหมแสนสวยให้เธอ คริสติน่าเผชิญหน้าโจอี้ แต่ไม่นานนัก พวกเขาก็ค้นพบว่าพวกเขามีอะไรหลายอย่างเหมือนกันมากกว่าที่พวกเขาจะคาดถึงเสียอีก  คริสติน่าตกลงที่จะตามหาตัวแฟนสาวที่กำลังตั้งท้องของโจอี้ ก่อนจะพบว่าเธอถูกฆาตกรรมไปแล้ว โจอี้เริ่มต้นภารกิจแก้แค้นด้วยการตามหาตัวคนที่ลงมือสังหารแฟนสาวของเขา

การเสวยสุขในโลกของอาชญากรรมของโจอี้สิ้นสุดลงเมื่อเขาเข้าไปพัวพันในเหตุการณ์ยิงในห้องครัวของร้านอาหารอิตาเลี่ยน เมื่อตำรวจไล่ล่าตัวเขา เขาก็กลับไปสถานสงเคราะห์คนเร่ร่อนอีกครั้งและได้พบกับคริสติน่า การสารภาพเรื่องราวในอดีตเกิดขึ้นตามมาและทั้งคู่ก็ใกล้ชิดกันมากขึ้น

 

 

จากหน้ากระดาษสู่หน้าจอ

สตีเว่น ไนท์ มือเขียนบทและผู้กำกับ Hummingbird เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบทภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลของเขาเรื่อง Dirty Pretty Things และ Eastern Promises ภาพยนตร์เหล่านี้ รวมถึง Hummingbird ได้กลายเป็นภาพยนตร์สามเรื่องที่สำรวจชีวิตของผู้คนในลอนดอน ที่อยู่ผิดที่ผิดทางและใช้ชีวิตอยู่บนชายขอบของสังคม ไนท์ต้องการจะกำกับภาพยนตร์มานานแล้วและเขาก็ได้เขียนบทเรื่อง Hummingbird ขึ้นมาโดยตั้งใจให้มันเป็นงานกำกับเรื่องแรกของเขา

ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ผู้คร่ำหวอดในวงการ และได้รับการยกย่องอย่างสูง พอล เว็บสเตอร์ ได้สานสายสัมพันธ์ด้าน            การทำงานที่ใกล้ชิดกับไนท์ใน Eastern Promises และเขาก็รับรู้ถึงความใฝ่ฝันที่จะเป็นผู้กำกับของเขาอย่างดี หลังจากนั้น เมื่อไนท์ได้ให้เว็บสเตอร์อ่านบท Hummingbird เว็บสเตอร์ก็สนับสนุนความต้องการจะกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ของเขาทันทีและเสนอตัวที่จะทำหน้าที่อำนวยการสร้างให้

ตามที่เว็บสเตอร์ขยายความว่า “…ในฐานะมือเขียนบท คุณบอกเล่าเรื่องราวในหัวของคุณออกมา คุณกำลังสร้างภาพที่คุณพยายามจะถ่ายทอดออกมาผ่านทางหน้ากระดาษ และสตีฟก็ตัดกระบวนการคนกลางออกไปใน Hummingbird ซึ่งหมายความว่าเขาจะมาพร้อมกับวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนมากๆ มีคนวิพากษ์วิจารณ์คนที่ทำหน้าที่เป็นทั้งมือเขียนบทและผู้กำกับมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้กำกับที่เคยเป็นมือเขียนบทมาก่อน แล้วค่อยขยับมากำกับภายหลัง คำวิจารณ์พวกนั้นบอกว่าพวกเขายึดติดกับเรื่องราวที่พวกเขาเขียนขึ้นมากเกินไป และพวกเขาก็ไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญในวันนั้นๆ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วอาจทำให้เรื่องราวสมบูรณ์ขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงเรื่องราวไปน่ะครับ และสตีฟก็ดูเหมือนจะไม่เป็นคนแบบนั้น เขาดูเหมือนสามารถจะไหลไปตามสิ่งที่เกิดขึ้นและใช้ประโยชน์จากความบังเอิญที่ผ่านเข้ามา ซึ่งนั่นเป็นเรื่องน่าประทับใจมาก เขาเป็นคนสงบอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งก็ทำให้นี่เป็นกองถ่ายที่สงบมากๆ นักแสดงที่สงบมากๆ และกองถ่ายที่ให้การสนับสนุนกันและกันมากๆ ผมคิดว่าเขาเป็นผู้กำกับได้อย่างเป็นธรรมชาติครับ…”

เมื่อถึงตอนเขียนบท Hummingbird ไนท์ได้สำรวจที่มาที่ไปของคนเร่ร่อนในลอนดอน บ่อยครั้งที่คนพวกนี้กลายเป็นเหมือนไม่มีตัวตนสำหรับผู้คนที่ใช้ชีวิตประจำวันอย่างเร่งด่วนรอบตัวพวกเขา พวกเขามักถูกเมินเฉย เสียงของพวกเขาไม่มีคนฟังหรือยอมรับ ระหว่างการค้นคว้า เขาแปลกใจที่ได้ค้นพบว่าคนจำนวนมากที่ใช้ชีวิตอยู่ตามท้องถนนเป็นอดีตทหาร

ไนท์อธิบายว่า “…ถ้าคุณค้นคว้าซักหน่อยว่าคนพวกนี้เป็นใคร และพวกเขามาเป็นคนเร่ร่อนได้ยังไง สิบเปอร์เซ็นต์ของคนพวกนี้เป็นอดีตทหารครับ สำหรับผม มันน่าทึ่งที่คนที่มีวินัยแบบทหาร ในแง่ของความสะอาด หรือการที่พวกเขาเก็บสัมภาระของตัวเอง และ ฯลฯ จะมาลงเอยเป็นคนเร่ร่อนแบบนี้ แต่ผมก็ค้นพบว่าจริงๆ แล้ว มันมีเส้นทางตรงระหว่างการออกจากกองทัพไปเป็นคนเร่ร่อน ดังนั้น มันก็เลยทำให้ผมคิดว่า คนเร่ร่อนสิบเปอร์เซ็นต์นั้นที่เป็นทหาร พวกเขามีเรื่องราว มันจะต้องมีอดีตเบื้องหลัง ผมก็เลยค้นคว้าเพิ่มเติมและคุยกับอดีตทหารที่กลายเป็นคนเร่ร่อน และผมก็เริ่มร้อยเรียงโครงสร้างของเรื่องราวเข้าด้วยกันครับ…”

Hummingbird เป็นเรื่องราวของโจอี้ อดีตทหารหน่วยรบพิเศษที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างแร้นแค้นบนท้องถนน  แต่เขาก็ลุกขึ้นยืนหยัดและสร้างชีวิตใหม่ เพื่อแก้ไขอดีตที่ผ่านมา เขาทรมานจากความเครียดหลังเรื่องสะเทือนใจ ที่เขาได้เป็นส่วนหนึ่งของมันและได้พบเห็น ระหว่างสงครามในอัฟกานิสถาน เขาได้หันไปหาเหล้าและยาเสพติดเพื่อหนีจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัวเองและฝันร้ายที่ตามหลอนเขา ซ้ำร้าย เขาก็เหมือนกับคนเร่ร่อนคนอื่นๆ ที่หาความอบอุ่นและแหล่งพักพิง ที่ตกเป็นเหยื่อของการกลั่นแกล้งจากคนที่มีอำนาจมาก      กว่าพวกเขา ผู้แย่งชิงเงินและยาเสพติดของพวกเขาไป จนกระทั่งคืนหนึ่ง เขาตัดสินใจสู้กลับ ซึ่งมันก็ทำให้เขาถูกซ้อมยับเยิน

ไนท์พูดถึงตัวละครที่เขาสร้างขึ้นมาว่า “…เขาชื่อโจอี้ โจนส์เพราะเขาจะเป็นใครก็ได้ เขาไม่ได้มีพรสวรรค์พิเศษอะไร เขาก็เป็นแค่ชาวอังกฤษชนชั้นแรงงานที่ได้เป็นทหาร และสู้รบในสงคราม อย่างที่พวกผู้ชายทำกันมาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว และพอเขากลับมาบ้าน ก็พบว่าตัวเองไม่สามารถปรับตัวได้ อย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วในประวัติศาสตร์ เขาเสียสละตัวเองเพื่อประเทศของเขา และเมื่อเขากลับมา เขาก็พบว่าตัวเองกลายเป็นคนเร่ร่อนครับ…”

 

เกี่ยวกับตัวละคร…โจอี้&คริสติน่า

เมื่อถึงเวลาเลือกนักแสดงสำหรับบทโจอี้ ทีมผู้สร้างก็รู้ว่าพวกเขาต้องการนักแสดงพิเศษ ผู้สามารถสวมบทตัวละครที่อันตรายและแข็งแกร่งนี้ได้อย่างน่าเชื่อ และพวกเขาก็พบตัวเลือกที่เพอร์เฟ็กต์ในตัวนักแสดงชาวอังกฤษ เจสัน สเตแธม ดาราดังระดับโลก ผู้เป็นที่รู้จักจากการแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Safe, Killer Elite, The Expendables, Crank, Bank Job และ Transporter และเขาก็มีประสบการณ์อย่างกว้างขวางในการแสดงฉากผาดโผนและฉากต่อสู้ที่มีการออกแบบ ซึ่งมันจะเป็นข้อได้เปรียบอย่างยิ่งในตอนที่เขาจะสวมบทโจอี้    สเตแธมมีทักษะในการเปลี่ยนแปลงซีเควนซ์ต่อสู้ที่ซับซ้อนและทำให้มันดูเหมือนจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นพิเศษต่อซีเควนซ์แอ็คชั่นที่ถูกออกแบบมาทั้งห้าซีเควนซ์

อย่างที่ผู้อำนวยการสร้างกาย ฮีลีย์อธิบายว่า “…เจสันเป็นนักกีฬาที่เหลือเชื่อที่สุดครับ ซึ่งหมายความว่าเราสามารถถ่ายทำฉากแอ็คชั่นใหญ่ๆ ได้อย่างง่ายดายกับเขา ในแบบที่ตามประสบการณ์ที่ผมได้ทำงานร่วมกับนักแสดงคนอื่นๆ คุณจะต้องพยายามผลักดันให้พวกเขาถ่ายทำบางส่วนบางตอนของฉากต่อสู้หรือฉากไล่ล่า ซึ่งมันก็ต่างกับเจสันที่เข้ามาแสดงทั้งหมดด้วยตัวเอง เขาเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญที่สุดในกองถ่าย เขาก็แค่เดินเข้ามาและด้วยประสบการณ์ของเขา เขาก็ต่อติดและเรียนรู้ฉากแอ็กชันได้เร็วมากๆ แถมยังพัฒนามันขึ้นไปอีกในแต่ละเทคอีกด้วยครับ…”

Hummingbird ยังเป็นโอกาสให้สเตแธมได้ผลักดันตัวละครตัวนี้ไปเกินกว่าคนที่มีเปลือกนอกเป็นคนเข้มแข็งและขยายขอบเขตการแสดงของตัวเองออกไปอีก ด้วยฉากดรามาควบคู่ไปกับซีเควนซ์แอ็คชั่น ที่ทำให้เขาโด่งดัง อย่างที่ไนท์บอกว่า “…เจสันมีรัศมีบางอย่างที่ทำให้มันน่าเชื่อจริงๆ ว่าเขาเป็นตัวละครตัวนี้ ผมไปหาเขาในไมอามี่เพราะเขากำลังถ่ายทำที่นั่น และมันก็วิเศษสุดเพราะเขาชอบบทเรื่องนี้ เขากระหายที่จะได้แสดงหนังแบบนี้และผมก็กระตือรือร้นที่เราจะได้ร่วมงานกันซึ่งมันวิเศษสุดเลยครับ เขามุ่งมั่นให้กับการทำการค้นคว้า การพบคนเร่ร่อน การพบอดีตทหารหน่วยรบพิเศษและแสดงเป็นตัวละครตัวนี้อย่างสมบทบาท จนทุกอย่างส่งผลตามที่ปรากฏในหน้าจอครับ  ด้วยความพยายามสุดชีวิตที่จะหนีจากการถูกซ้อมและความกลัวตาย โจอี้จึงได้วิ่งหนีไปตามหลังคาบ้านในโคเวนท์ การ์เดน และเข้าไปซ่อนตัวในอพาร์ทเมนต์หลังหนึ่ง นี่เป็นจุดเปลี่ยนที่นำเขาไปสู่โลกที่แตกต่าง ทำให้เขาสามารถเริ่มต้นใหม่และเริ่มปะติดปะต่อชีวิตของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง…”

ตามที่ไนท์อธิบายว่า “…สิ่งนี้ที่เขาได้ทำ สิ่งต่างๆ ที่เขาทำลงไปก็ผ่านไปแล้ว และที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในท้องถนนก็เพราะเขาคิดว่าเขาสมควรจะอยู่ที่นั่น และเขาก็ไม่ขอให้ใครมาฟังเรื่องราวของเขาเพื่อพูดว่า ไม่เป็นไรนะ มันไม่ใช่ความผิดของคุณ แต่มันเป็นความผิดของเขา แล้วคุณจะทำยังไงต่อไปล่ะ? แรงจูงใจของโจอี้ในการทำอะไรก็ตามคืออะไรล่ะ? เขาก็แค่ดื่มเหล้าและนอนข้างถนน นั่นคือตอนแรกที่เราได้พบกับเขาและสิ่งที่เราพยายามจะทำกับตัวละครตัวนี้คือหาว่าเขาพบเหตุผลที่จะเปลี่ยนตัวเอง ที่จะทำสิ่งใหม่ๆ ที่จะก้าวต่อไปรึเปล่าน่ะครับ”

                โจอี้แต่งเนื้อแต่งตัวเสียใหม่ ตัดผมให้เรียบร้อย เลิกดื่มเหล้าเมายา เขาสำรวจเสื้อผ้าในอพาร์ทเมนต์และเปลี่ยนการแต่งตัวใหม่ และเขาก็ค่อยๆ เริ่มซื้อเสื้อผ้าของตัวเอง ซึ่งเขาก็ดูแลมันอย่างประณีตบรรจง รองเท้าเขาขัดเงาวับ เสื้อรีดเป็นกลีบ เสื้อโค้ทและหมวกที่ดูดี

                โจอี้เก็บเงินให้ได้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ จากการทำงานในไชน่าทาวน์ โดยเริ่มต้นจากการเป็นเด็กขนกระเป๋า และต่อมา เขาก็ได้ใช้ทักษะในการต่อสู้ของเขาทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกฎ ซึ่งมักจะต้องอาศัยพฤติกรรมรุนแรงอยู่บ่อยๆ เขาใช้เงินที่เขาหามาได้ไปกับการซื้ออาหารให้กับบรรดาคนเร่ร่อนและให้เงินกับอดีตคู่หูและลูกสาวตัวน้อยของเขา ในแง่หนึ่ง เขาอยากจะเป็นคนดี แม้จะเพียงชั่วครั้งคราวก็ตาม เขาไม่ได้ต้องการการไถ่บาปหรือการให้อภัยสำหรับสิ่งเลวร้ายทั้งหลายทั้งปวงที่เขามีส่วนร่วม เขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถและก็ไม่คู่ควรที่จะได้รับการให้อภัย…”

วิคกี้ แม็คคลัวร์ ผู้รับบท ดอว์น อดีตคู่หูของโจอี้ ตั้งข้อสังเกตถึงแรงจูงใจของเขาว่า “…โจอี้พยายามจะทำในสิ่งที่ถูกเนื่องด้วยข้อผิดพลาดทั้งหลายทั้งปวงและทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเผชิญ และเขาก็ออกไปหาเงินทั้งหมดนี้มาเพื่อลูกสาวของเขา ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกอะไรได้หลายอย่าง ที่ว่าลูกของคุณมีความหมายอย่างไรต่อคุณและผู้คนสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างไรบ้าง รวมถึงว่าคุณได้รับผลกระทบอย่างไรบ้างจากประสบการณ์ที่คุณได้พบเจอมาน่ะค่ะ”

อีกคนหนึ่งที่โจอี้ต้องหาตามหาและช่วยเหลือคืออิซาเบล หญิงสาวที่เขามีสัมพันธ์ด้วยในตอนที่เขาเป็นคนเร่ร่อน มันนำเขาไปสู่สถานสงเคราะห์คนเร่ร่อนที่เขาเคยไปเยือนมาก่อนเพราะเขาเชื่อว่า คริสติน่า แม่ชีชาวยุโรปตะวันออก ผู้ดูแลสถานที่ดังกล่าวจะช่วยเขาตามหาเธอได้ แม้โดยผิวเผินแล้วโจอี้และคริสติน่าจะไม่มีอะไรคล้ายกันเลย แต่พวกเขากลับเหมือนกันมากกว่าที่พวกเขาจะคาดถึงเสียอีก พวกเขาต่างก็เป็นคนนอก ที่ใช้ชีวิตอยู่บนชายขอบของสังคมวัน ด้วยเหตุผลส่วนตัว และแม้ว่าพวกเขาจะมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันมากๆ พวกเขาก็กลับผูกมิตรกันได้ ตัวละครที่แตกต่างกันทั้งสองนี้พยายามหาคำตอบในกันและกัน แต่มันก็จะไม่มีการไถ่บาปสำหรับพวกเขาทั้งคู่

ในแง่หนึ่ง การเป็นเทวทูตผู้แก้แค้นของเขาทำให้โจอี้กลายเป็นวีรบุรุษผู้น่าเศร้า อย่างที่เว็บสเตอร์บอกว่า “…ผมคิดว่าโจอี้ โจนส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแบบที่เจสัน สเตแธมถ่ายทอดเขาออกมา เป็นตัวละครตามแบบฉบับครับ ผมหมายถึงในแง่หนึ่ง เขาเป็นเหมือนตัวละครตามเรื่องเล่าขาน และผมก็คิดว่าสิ่งที่คุณมีและลูกเล่นแบบที่สตีเวนเผยออกมา คือการนำเสนอโจอี้ว่าเป็นคนไม่ดีที่ทำในสิ่งที่รุนแรงมากๆ แต่ผลที่ออกมาก็ดีเสมอ ดังนั้น ตัวโจอี้ก็เลยมีความคลุมเครือและความเป็นมนุษย์ ที่เราเห็นเล็ดรอดออกมาจากโฉมหน้าการเป็นชายผู้เข้มแข็ง และเราก็ตระหนักได้ว่าลึกลงไปแล้ว เขาเป็นคนอ่อนไหวและถูกทำร้ายมาก่อน และผมก็คิดว่าเขาก็เป็นเหมือนกับกระจกสะท้อนภาพเราทุกคน เขาทำหน้าที่เหมือนภาพสะท้อนพฤติกรรมของพวกเราเอง ไม่ว่าจะดีหรือร้ายครับ…”

คริสติน่าก็เหมือนกับโจอี้ เธอเป็นคนที่เดินทางมายังลอนดอนด้วยจุดประสงค์ของตัวเอง เธอเองก็ทุกข์ทรมานจากอดีตของเธอ ซึ่งเธอพยายามจะซ่อนเอาไว้ใต้โฉมหน้าที่สงบเงียบของการเป็นแม่ชีและการช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อถึงเวลาคัดเลือกนักแสดงสำหรับบทนี้ สิ่งจำเป็นคือการหานักแสดงที่สามารถใส่เอาความสมจริงให้กับบทบาทนี้ รวมถึงความรู้สึกซื่อสัตย์ จริงใจ ทั้งในอากัปกิริยาและการกระทำของเธอด้วย

อย่างที่ไนท์อธิบายว่า “…ผมอยากได้คนที่ตั้งแต่นาทีแรกที่คุณได้เห็นเธอ คุณจะรู้สึกเลยว่าเธอเป็นใคร ผมอยากให้คนๆ นั้นเป็นชาวยุโรปตะวันออกแท้ๆ แทนที่จะเป็นคนอื่นมาพูดด้วยสำเนียงยุโรปตะวันออก เราก็เลยใช้เวลานานในการพิจารณานักแสดงหญิงจากรัสเซีย ยูเครนและโปแลนด์ และผมก็เจอกับอากาต้า บูเซ็ค ผมรู้สึกว่าเธอน่าทึ่งมากจริงๆ เราก็เลยให้เธอบินมาลอนดอนและเธอก็ทดสอบการแสดงสองสามฉาก และจากนั้นมา ผมก็ไม่สงสัยเลยซักนิดว่า เธอนี่แหละคือคนที่จะรับบทคริสตินาครับ…”

อากาต้า บูเซ็คพูดถึงตัวละครของเธอว่า “…ในตอนเริ่มต้น เราอาจจะคิดว่าคริสตินาเป็นคนที่เข้มแข็งและมั่นใจในตัวเองมากๆ และรู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่และทำไปทำไม แต่ระหว่างเรื่อง เราก็ได้ค้นพบว่ามันไม่ได้ง่ายแบบนั้นเลย ในตัวเธอมีการต่อสู้บางอย่าง และเราก็ได้พบเธอในจังหวะที่ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไปสำหรับเธอ บางที ในช่วงสิบห้าหรือยี่สิบปีที่ผ่านมา เธอได้แต่หนีและพยายามทำตัวให้ยุ่งเพื่อที่จะไม่ต้องคิด และฉันก็คิดว่าตอนที่เราได้พบกับเธอคือตอนที่เธอหยุด ตอนที่เธอมีโอกาสได้นึกถึงอดีตเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่จะตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และตระหนักได้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของเธอน่ะค่ะ…”

สเตแธมและบูเซ็คไม่เคยพบกันมาก่อนที่พวกเขาจะได้รับเลือกให้แสดงใน Hummingbird แต่ความเคารพและความไว้วางใจซึ่งกันและกันที่พวกเขาพัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็วทำให้พวกเขาสามารถถ่ายทอดความผูกพันแน่นแฟ้นระหว่างตัวละครทั้งคู่บนหน้าจอได้ อย่างที่ฮีลีย์ให้ความเห็นว่า “…ผมชื่นชอบการได้ดูความสัมพันธ์ระหว่างเจสัน/อากาต้าและคริสตินา/โจอี้ก่อร่างสร้างตัวขึ้น ในหนังเรื่องนี้ ตัวละครทั้งคู่ได้ค้นพบว่าพวกเขามีอะไรเหมือนกันมากกว่าที่พวกเขาคิด และเจสันกับอากาต้าก็มาจากคนละด้านของโลกการแสดงและประสบการณ์ภาพยนตร์ แต่พวกเขาก็พบว่าพวกเขามีหลายสิ่งที่เหมือนกัน เหมือนกับตัวละครของพวกเขาเลยครับ…”

 

 

ฮัมมิ่งเบิร์ด…สัญลักษณ์การตีความของผู้กำกับ

นกฮัมมิ่งเบิร์ดตัวหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นระหว่างฝันร้ายของโจอี้ในอพาร์ทเมนต์ ความสำคัญของเรื่องนี้คือการที่นกฮัมมิ่งเบิร์ดเป็นคำที่ใช้เรียกประเภทของเครื่องบินสอดแนมไร้คนขับที่ถูกใช้ในอัฟกานิสถาน อย่างที่ไนท์ขยายความว่า “…ผมใส่นกฮัมมิ่งเบิร์ดลงไปในหนังเพื่อเป็นตัวแทนของดวงตาที่มองเห็นทุกอย่าง ที่เป็นประจักษ์พยานสำหรับการกระทำของเรา เหมือนเครื่องบินสอดแนมน่ะครับ ผมชอบไอเดียที่มันเป็นตัวแทนของสติสัมปชัญญะของเมืองและไอเดียที่ว่ามันเป็นเรื่องของการที่โจอี้เรียกตัวเองให้มารับผิดต่อสิ่งต่างๆ ที่เขาเคยทำมาในอดีต เขาทำในสิ่งที่ค่อนข้างเลวร้ายมาก่อน และมันก็เป็นความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเขา และในแง่หนึ่ง เหตุผลที่เขาตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายอย่างที่เป็นอยู่ ก็เพราะเขาถูกสังเกตในตอนที่เขาทำในสิ่งที่เขาทำ มันมีเรื่องเล่าขานกันในหมู่ทหารว่ามันมีเครื่องบินสอดแนมขนาดจิ๋วเท่าแมลงที่สามารถมองเห็นได้ทุกอย่าง และคุณคงจะจินตนาการได้ว่าเรื่องเล่าพวกนั้นมันเกิดขึ้นได้ยังไงและผมก็ชอบคอนเซ็ปต์ที่ว่า ในความคิดของบางคน ทุกสิ่งที่พวกเขาทำจะมีคนเห็น แต่ในความจริงแล้ว คนเดียวที่จะสังเกตทุกสิ่งที่คุณทำก็อยู่ในหัวของคุณเองนั่นแหละ ดังนั้น มันก็เป็นการที่โจอี้จะทำใจยอมรับกับสิ่งที่เขาทำลงไป ฮัมมิ่งเบิร์ดในความคิดของผมแล้วเป็นตัวแทนของการสังเกตตัวเองและการกระทำในอดีตของตัวเอง รวมถึงการตอบสนองของคุณต่อสิ่งเหล่านั้นด้วยครับ…”

 

บรรยากาศการถ่ายทำ… ลอนดอน-กลางคืน-กลางวัน-กล้อง

Hummingbird มีเรื่องราวส่วนใหญ่เกิดขึ้นตอนกลางคืนในลอนดอน ภายในโคเวนท์ การ์เดน, ไชน่าทาวน์และโซโห ส่วนใหญ่แล้ว การถ่ายทำเกิดขึ้นในโลเกชั่นจริงมากกว่าจะถูกจำลองขึ้นที่อื่น ซึ่งมันมีส่วนอย่างยิ่งในการช่วยสร้างบรรยากาศของฉากและช่วยในเรื่องการแสดงของนักแสดง

โจอี้และคริสติน่าได้พบกันที่ศูนย์แจกอาหารในปลายฤดูหนาว หลังจากตรุษจีนได้ไม่นาน และพวกเขาก็แยกย้ายกันไปคนละทางเมื่อฤดูร้อนสิ้นสุดลง พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ด้วยกันตอนกลางคืน และจากกันไปก่อนจะรุ่งสาง เรื่องราวส่วนใหญ่เกิดขึ้นภายใต้กำบังของความมืด โลกที่เป็นที่อยู่อาศัยของตัวละครชั่วร้าย ผู้ใช้ชีวิตอยู่ใต้เงามืด มันก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างลุคและบรรยากาศของฉากในช่วงกลางวัน ที่ซึ่งลอนดอนสดใส มีชีวิตชีวา และโลกที่โจอี้รู้สึกอึดอัดกับมันน้อยกว่า ลอนดอนเป็นตัวละครที่มีตัวตนเคียงข้างพวกเขา เป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล

ตามที่ฮีลีย์ขยายความว่า “…ตัวละครของเราใช้ชีวิตและซ่อนตัวในตอนกลางคืน ดังนั้น เราก็เลยถ่ายทำตอนกลางคืนเป็นส่วนใหญ่ ผมไม่เคยถ่ายฉากกลางคืนติดต่อกันสี่สัปดาห์แบบนี้เลย และมันก็เป็นตัวกำหนดลุ๊ค ความรู้สึกและบรรยากาศของหนังเรื่องนี้ด้วย เราได้ถ่ายทำลอนดอนตอนที่แทบไม่มีคนอยู่ และมันก็เป็นสิ่งที่คุณไม่ได้เห็นบ่อยนัก ซึ่งผมคิดว่าเราสามารถถ่ายทอดภาพนั้นออกมาได้ครับ…”

แม่น้ำเธมส์ก็เป็นส่วนหนึ่งของความมืดอันธการนี้ด้วยเช่นกัน ตามที่ไนท์กล่าวว่า “…แม่น้ำสายนี้ถูกพูดถึงในบทว่าอยู่ตรงนั้น      เพื่อพัดพาร่างของเด็กสาวอย่างอิซาเบลไปไกลๆ ผมชอบไอเดียที่ว่ามันเป็นเหมือนตัวขจัดความลับที่น่าหวาดสะพรึง ซึ่งไหลอยู่ระหว่างแสงสีในเมือง มันอาจจะมีอิทธิพลเลวร้ายในหนังก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น บนสะพานวอเตอร์ลู โจอี้ตัดสินใจซ้อมคนเก็บภาษีเพราะเขาจ้องลงไปในแม่น้ำ ส่วนเซนต์ปอลและสภาผู้แทน โบสถ์และรัฐก็อยู่กันคนละฝั่งครับ…”

ธีมที่ร้อยเรียงอยู่ตลอดในบทของไนท์ ทั้งการมองเห็นและการมองไม่เห็น กลางวันและกลางคืน ความมืดและแสงสว่าง ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในเรื่องลุคของภาพยนตร์เรื่องนี้ ซีเควนซ์เปิดเรื่องตอนกลางคืน ซึ่งรวมถึงฉากการหนีขึ้นหลังคาของโจอี้ มีชีวิตชีวาขึ้นมาด้วยฝีมือของไนท์และทีมงานมากประสบการณ์ของเขา เว็บสเตอร์อธิบายว่า “…ซีเควนซ์เปิดเรื่องเป็นอะไรที่เหนื่อยมากและต้องอาศัยเวลาถ่ายทำนาน มันมีการต่อสู้ที่ซับซ้อน ทุกอย่างเกิดขึ้นตอนกลางคืน และมันเกิดขึ้นบนหลังคา และมันก็ถูกถ่ายทำในโลเกชั่นต่างๆ มากมายในช่วงเวลาหลายวัน ซึ่งผมคิดว่ามันคุ้มค่าครับ มันเป็นซีเควนซ์ที่มีชีวิตชีวาทเดียว สตีฟเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ ดังนั้น หลายสิ่งหลายอย่างเลยเป็นเรื่องใหม่สำหรับเขา แต่เราก็ห้อมล้อมเขาด้วยทีมงานระดับโลกและคนที่รู้ในสิ่งที่พวกเขาทำจริงๆ ซึ่งก็รวมถึงคริส เมนเกส ผู้กำกับภาพของเรา, ไมเคิล คาร์ลิน ผู้ออกแบบงานสร้างและหลุยส์ สเติร์นสวอร์ด ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายของเรา คุณจะดีพอๆ กับทีมงานของคุณนั่นแหละครับ นั่นเป็นหนึ่งในสิ่งที่คุณต้องทำในฐานะผู้อำนวยการสร้าง คุณต้องเลือกทีมงานที่ดีพอๆ กับที่คุณเลือกนักแสดงที่ดี เพื่อก่อให้เกิดความสัมพันธ์ในการทำงานที่เอื้ออาทรต่อกันครับ…”

การเปลี่ยนแปลงตัวเองของโจอี้จากการใช้ชีวิตอยู่ในลังกระดาษบนท้องถนนไปใช้ชีวิตอยู่ในอพาร์ทเมนต์ในโคเวนท์ การ์เดน เป็นสองโลกที่แตกต่างกัน อย่างที่ผู้ออกแบบงานสร้าง ไมเคิล คาร์ลินบอกว่า “…เขาได้ไปลงเอยอยู่ในอพาร์ทเมนต์ของเกย์รสนิยมหรูคนหนึ่ง ที่มีของสวยๆ งามๆ มีรูปผู้ชายเปลือยทุกหนทุกแห่ง มีของประดับตกแต่งบ้านสวยๆ และมีเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ได้ เขาก็เลยสวมรอยเป็นผู้ชายคนนี้ซะเลย และนั่นก็คือสิ่งที่มีเสน่ห์จริงๆ เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ มันคือความขัดแย้งระหว่างโลกสองใบนี้ และผมก็คิดว่าเราจะผลักดันโลกแต่ละใบให้ไกลห่างจากกันให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งศูนย์แจกอาหาร ตรอกซอกซอย ไชนาทาวน์ ทุกที่จะมืดหม่นและมีแสงสีเล็กๆ วิบวับ ซึ่งจะตรงข้ามกับโทนสีเทาเรียบของแฟลทที่ดูดีมีระดับแห่งนี้ครับ…”

การทำงานตอนกลางคืนในโลเกชั่นจริงของลอนดอนหมายถึงทีมงานจะต้องคล่องแคล่วและฝีเท้าไวให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ซึ่งมันรวมถึงกล้องโปรโตไทป์อเล็กซา ซึ่งสามารถถ่ายทำในระดับแสงต่ำมากๆได้และสามารถแยกออกเป็นสองส่วนได้ ทำให้          มันสามารถวางตั้งบนบ่า และแทรกเข้าไปในพื้นที่แคบๆ ได้ และมันก็เล็กพอที่จะแบกมันวิ่งไปมาภายในพื้นที่จำกัด เช่นบันไดหนีไฟที่   โจอี้ปีนระหว่างที่เขาพยายามจะหนีจากบูซานิส ที่ซ้อมด้วย

ไนท์ทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้กำกับภาพเจ้าของสองรางวัลอคาเดมี่ อวอร์ด คริส เมนเกส เพื่อทำให้ได้ภาพที่ออกมาสะกดสายตามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แทนที่จะเป็นเทคนิคกระชากแบบที่มักจะใช้กันในภาพยนตร์ที่ถ่ายทำเวลากลางคืน พวกเขาใช้เวลาเดินไปรอบๆ เซ็นทรัลลอนดอน เพื่อมองสิ่งรอบตัวแบบใกล้ๆ และมองหาความงามที่ซ่อนอยู่ภายใน เพราะพวกเขาต้องการจะทำงานกับสิ่งที่ลอนดอนนำเสนอ ตั้งแต่เงาสะท้อนบนผิวน้ำ ไปจนถึงสถาปัตยกรรม ไปจนถึงโคมแดงของเทศกาลตรุษจีนด้วย

อย่างที่ไนท์อธิบายว่า “…สิ่งที่ผมตั้งใจจะทำคือการบอกว่า โอเค เราจะถ่ายทำในตรอกที่คนเร่ร่อนนอนอยู่ หรือมุมมืดของโซโห และวิธีง่ายๆ คือการทำให้ภาพดูดิบ หรืออะไรทำนองนั้น แต่สิ่งที่ทผมอยากทำคือทำให้มันสวย และการทำให้กล้องให้ภาพที่สวยสง่า และให้ทุกอย่างออกมาดูราวกับมันเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามน่าชม เพราะเมื่อคุณมีแหล่งกำเนิดแสงมากมายและมีแสงสีสันต่างๆ เป็นประกายวิบวับ แทนที่มันจะดูน่าเกลียดน่ากลัวแต่มันจะทำให้ภาพออกมานิ่งและสวยงาม ซึ่งผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่คริสอยากจะทำด้วยเหมือนกันครับ”

 

เกี่ยวกับสถานที่ถ่ายทำ

การถ่ายทำ Hummingbird เกิดขึ้นระหว่างฤดูใบไม้ผลิ ปี 2012 โดยการถ่ายทำส่วนใหญ่ในช่วง 8 สัปดาห์นั้นเกิดขึ้นในโลเกชั่นในเซ็นทรัล ลอนดอน รวมถึง 3 มิลส์ สตูดิโอส์ในอีสต์ ลอนดอน

โลเกชั่นในโคเวนท์ การ์เดนรวมถึงฉากที่ถ่ายทำในและรอบๆ เปียซซ่าแห่งโคเวนท์ การ์เด้นที่โด่งดังระดับโลก, รอยัล โอเปรา เฮาส์ ที่ซึ่งเป็นที่จัดการแสดงอำลาของบัลเลรินาสาว มาเรีย ซีลินสก้า ซึ่งคริสตินาเข้าร่วม, โบสถ์เซนต์ปอล ที่ตั้งศูนย์แจกอาหาร รวมถึงฉากที่ถ่ายทำภายในโบสถ์ด้วย และยังมีการแขวนโปสเตอร์ใบใหญ่ตรงเสาระเบียงขนาดใหญ่บนเปียซซา เพื่อโฆษณาการแสดงบัลเลต์อีกด้วย เพื่อจุดประสงค์ในการค้นคว้าข้อมูล ไนท์, สเตแธมและบูเซ็คได้ไปเยือนคอนเน็กชั่น แอท เซนต์ มาร์ติน อิน เดอะ ฟิลด์ ซึ่งเป็นมูลนิธิเพื่อคนเร่ร่อน  , โลเกชั่นในไชนาทาวน์รวมถึงถนนวาร์ดูร์, ถนนเจอร์ราร์ด, แดนซีย์ เพลซ รวมถึงร้านอาหารฮวงจุ้ย อินน์ และดัมพลิงส์ ลีเจนด์ด้วย ,  โลเกชั่นในโซโหได้แก่ ถนนโอลด์ คอมป์ตัน, ทิสเบรี คอร์ท รวมถึงแชฟท์เบรี อะเวนิวและเคมบริดจ์ เซอร์คัส , โลเกชั่นในอีสต์ ลอนดอนได้แก่ คานารี วอร์ฟ สำหรับปาร์ตี้ค็อกเทล ที่โจอี้เจอกับฟอร์เรสเตอร์, บริเวณไลม์เฮาส์ สำหรับฉากของดอว์นกับรูบี้

โลเกชั่นอื่นๆ ในลอนดอนได้แก่แกลเลอรีบนถนนคอร์ค ซึ่งเป็นฉากสำหรับงานนิทรรศการที่โจอี้เชิญคริสตินาไปเข้าร่วมด้วย, การพบกันระหว่างโจอี้และคริสตินาในตลาดเนื้อตอนกลางคืนถูกถ่ายทำที่ตลาดโบโรห์ที่เก่าแก่, ฉากบนหลังคาถ่ายทำบนหลังคาโรงแรมชาริง ครอส บนเดอะ สแตรนด์, บางฉากถูกถ่ายทำบนสะพานวอเตอร์ลูและสะพานควีนอลิซาเบธ, รีเจนท์ ปาร์คเป็นฉากให้กับการนัดพบกันช่วงกลางวันสำหรับโจอี้และคริสตินาที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนักและฉากโรงงานจีนถูกถ่ายทำที่แรม บรูว์เออรีในแวนด์เวิร์ธ, เซาธ์ ลอนดอน

ประวัตินักแสดง

Å   Jason Statham รับบท Joey Jones (โจอี้ โจนส์)        

                 เจสัน สเตแธม เป็นหนึ่งในนักดำน้ำระดับแนวหน้าของทีมชาติอังกฤษทีมงานถ่ายทำและช่างภาพได้ทาบทามให้เขามาเป็นนักแสดง และท้ายที่สุด เขาก็ได้พบกับผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง Lock Stock and Two Smoking Barrels (1998) หลังจากนั้น      สเตแธมก็ได้พบกับผู้กำกับกาย ริทชี ผู้มอบบทบาทแรกให้กับเขา

หลังจากนั้น เขาก็ได้ร่วมงานกับริทชีอีกครั้งใน Snatch (2000) ที่เขาประกบแบรด พิตต์และเบนิซิโอ เดล โทโร สเตแธมได้รับเลือกจากลุค เบซงให้รับบทแฟรงค์ มาร์ตินในภาพยนตร์เรื่อง The Transporter (2002) และเขาก็ได้รับบท ร็อบ หนุ่มรูปหล่อในภาพยนตร์รีเมกบล็อกบัสเตอร์ช่วงซัมเมอร์เรื่อง The Italian Job (2003) และบทฮีโรนักบู๊ผู้ขาดอะดรีนาลินไม่ได้ใน Crank (2006)

สเตแธมกลับมารับบทแฟรงค์ มาร์ตินอีกครั้งใน Transporter 2 (2006) และ Transporter 3 (2008) และยังได้แสดงในภาพยนตร์โดยโรเจอร์ โดนัลด์สันเรื่อง The Bank Job (2008) ที่สร้างจากเรื่องจริงอันโด่งดังของคดีปล้นธนาคารที่ถนนเบเกอร์ปี 1971 และในรีเมกโดยยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สเรื่อง Death Race (2008) หลังจากนั้น เขาก็ได้รับบทเชฟ เชลิออสอีกครั้งใน Crank 2: High Voltage (2009) และได้ร่วมงานกับเพื่อนดารานักบู๊ชื่อดังของโลกหลายคนในภาพยนตร์โดยซิลเวสเตอร์ สตอลโลนเรื่อง The Expendables (2010) ตามด้วยรีเมกเรื่อง The Mechanic (2011) ซึ่งเดิมเคยนำแสดงโดยชาร์ลส์ บรอสแนนในบทอาร์เธอร์ บิช็อป มือปืนอาชีพ สเตแธมได้รับบทนักสืบอังกฤษ แบรนท์ ซึ่งเคยเป็นบทของเคน บรูเอนมาก่อนในทริลเลอร์อาชญากรรมอังกฤษเรื่อง Blitz (2011) และแสดงใน Killer Elite (2011) ที่สร้างจากเรื่องจริง ที่เขียนโดยรานูล์ฟ ไฟน์   ในปี 2012 สเตแธมได้แสดงใน Safe ที่กำกับโดยโบแอซ ยาคินและอำนวยการสร้างโดยลอว์เรนซ์ เบนเดอร์, The Expendables 2 และภาพยนตร์โดยเทย์เลอร์ แฮ็คฟอร์ดเรื่อง Parker ประกบเจนนิเฟอร์ โลเปซ

 

Å   Agata Buzek (อากาต้า บูเซ็ค) รับบท  Cristina  (คริสติน่า) 

อากาต้า บูเซ็คได้เข้ารับการฝึกฝนที่เธียเตอร์ อคาเดมี ในกรุงวอร์ซอ นับตั้งแต่การเปิดตัวในภาพยนตร์เรื่อง Peter del Monte La Ballata Dei Lavavetri เธอก็ได้แสดงในภาพยนตร์ร่วมทุนสร้างหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์โดยฌอง-มาร์ค มูตูเรื่อง Moutout’s Libre Circulation, ภาพยนตร์โดยเบอร์จิท มอลเลอร์เรื่อง Valerie รวมถึงภาพยนตร์โดยผู้กำกับชื่อดังต่างๆ เช่น ภาพยนตร์โดยคริสทอฟ ซานุสซีเรื่อง The Hidden Treasure, ภาพยนตร์โดยอังเดร วัจดาเรื่อง The Revenge ที่ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโปลิช ฟิล์ม อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม, ภาพยนตร์โดยปีเตอร์ กรีนอเวย์เรื่อง Nightwatching และภาพยนตร์โดยมาร์ลีน กอร์ริสเรื่อง Within the Whirlwind

การแสดงของเธอในภาพยนตร์โดยบอริส แลนคอสเรื่อง Rewerse ซึ่งเป็นตัวแทนของประเทศโปแลนด์เข้าชิงชัยในเวทีอคาเดมี อวอร์ดปี 2010 สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ทำให้เธอได้รับรางวัลโปลิช ฟิล์ม อวอร์ด อีเกิล สาขาการแสดงนำยอดเยี่ยม, รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์โปลิชครั้งที่ 34 ในกาดิเนีย และได้รับการยกย่องให้เป็นดาราดาวรุ่งแห่งโปแลนด์ในปี 2010  นอกจากนี้ เธอยังได้มีส่วนร่วมในละครคลาสสิก โมเดิร์น อัลเทอร์เนทีฟรวมถึงการแสดงนอกเวทีหลายครั้ง และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิอาร์เทอเรีย ที่ผสมผสานโปรเจ็กต์ศิลปะ สังคมและการศึกษาเข้าด้วยกัน

 

 

Å   Vicky McClure  (วิคกี้ แม็คคลัวร์รับบท Dawn (ดอว์น) 

วิคกี้ แม็คคลัวร์ เป็นหนึ่งในนักแสดงดาวรุ่งที่มีอนาคตไกลที่สุดคนหนึ่งของอังกฤษ การแสดงของเธอในซีรีส์โดยเชน มีโดว์เรื่อง This Is England ’86 ทำให้เธอได้รับรางวัลบาฟตา อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากการแสดงในบทโลล

This IsEngland’88 ตอนต่อของดรามาดิบเถื่อนทางตอนเหนือเรื่องนี้ ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างล้นหลาม ทีมนักแสดงได้นำเสนอการแสดงที่ทรงพลังอีกครั้ง และทำให้เรื่องนี้ได้รับรางวัลบาฟตา อวอร์ดสาขามินิซีรีส์ยอดเยี่ยมในปี 2012 นอกจากนี้ เธอยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนักแสดงนำหญิงติดต่อกันเป็นปีที่สองอีกด้ว

เมื่อเร็วๆ นี้ เธอเพิ่งรับบทนำในดรามาเข้มข้นทางบีบีซี 2 เรื่อง Line of Duty และ True Love สำหรับเวิร์คกิ้ง ไทเทิล เทเลวิชันและบีบีซี ซึ่งกำกับโดยโดมินิค ซาเวจและอำนวยการสร้างโดยกาย ฮีลีย์ ร่วมแสดงโดย เดวิด เทนเนนท์และบิลลีย์ ไปเปอร์ พิสูจน์ให้เห็นว่าเธอเป็นนักแสดงมากความสามาถและมีพรสวรรค์สูงอีกด้วย

เมื่อเร็วๆ นี้ เธอเพิ่งเสร็จจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Svengali ซึ่งเป็นซีรีส์เว็บที่ประสบความสำเร็จ ที่อำนวยการสร้างโดยจอนนี โอเวน ภาพยนตร์ขนาดสั้นซีรีส์นี้มีกลุ่มแฟนคอยติดตามผลงานและรู้ท ฟิล์มส์ก็ได้สนับสนุนทุนสร้างให้มันเป็นภาพยนตร์เต็มรูปแบบ ซึ่งนำแสดงโดยเจ้าของรางวัลบาฟตา มาร์ติน ฟรีแมน และมีผู้รับบทคามีโอเป็นนักแสดงที่คุ้นหน้าคุ้นตาอย่างดี ซึ่งรวมถึงแม็กซีน พีค, บอย จอร์จ, แบรดลีย์ วิกกินส์และคาร์ล บารัต จากวงเดอะ ลิเบอร์ทีนส์  ในปี 2013 นอกจากการแสดงใน Hummingbird แล้ว แม็คคลัวร์ยังจะได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Convenience รวมถึงดรามาช่วงไพรม์ไทม์อย่าง Broadchurch สำหรับไอทีวี 1, Line of Duty สำหรับบีบีซี 2 และ This Is England ’90 อีกด้วย

 

Å   เบเนดิคท์ หว่อง (มิสเตอร์ชอย) 

ในปี 2003 เบเนดิคท์ หว่อง ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบริติช อินดีเพนเดนท์ ฟิล์ม อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากการแสดงของเขาในภาพยนตร์โดยสตีเฟน เฟรียส์เรื่อง Dirty Pretty Things จากบทภาพยนตร์ดั้งเดิมโดยสตีเวน ไนท์

ผลงานภาพยนตร์ของหว่องรวมถึงภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลมากมาย ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์โดยริดลีย์ สก็อตเรื่อง Prometheus, ภาพยนตร์โดยลุค เบซงเรื่อง The Lady, ภาพยนตร์โดยดันแคน โจนส์เรื่อง Moon, ภาพยนตร์โดยแดนนี บอยล์เรื่อง Sunshine, ภาพยนตร์โดยไมเคิล วินเทอร์บอททอมเรื่อง Tristram Shandy: A Cock and Bull Story และภาพยนตร์โดยโทนี สก็อตเรื่อง Spy Game

ล่าสุด เขาได้กลับมาร่วมงานกับริดลีย์ สก็อตอีกครั้งใน The Counselor ซึ่งถูกเขียนบทโดยคอร์แม็ค แม็คคาร์ธีย์ รวมถึงภาพยนตร์โดยเจฟฟ์ วัดโลว์เรื่อง Kick-Ass 2

ผลงานจอแก้วของเขารวมถึงคอเมดีคัลท์ทางบีบีซีเรื่อง 15 Storeys High รวมไปถึง Top Boy, The IT Crowd และ State ofPlayหลังจากนี้ เขาจะได้แสดงในดรามาทางแชนแนล 4 เรื่อง Run และได้รับเลือกให้แสดงในทริลเลอร์คอเมดีหกตอนโดยเจมส์ คอร์เดนและแมทธิว เบย์นตันเรื่อง The Wrong Mans ซึ่งเพื่อนร่วมแสดงจาก Gavin and Stacey ได้ร่วมเขียนบท

เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออฟเวสต์เอนด์ อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากการแสดงใน Hungry Ghosts ที่ออเรนจ์ ทรี เธียเตอร์และในปี 2011 เขาก็ได้รับบทลาเออร์เทสประกบไมเคิล ชีนในบทแฮมเล็ต ที่ยัง วิค

 

Å   David Bradley (เดวิด  แบรดลี่ย์) รับบท Billy (บิลลี่) 

Hummingbird เป็นการหวนคืนสู่อาชีพนักแสดงอีกครั้งของได แบรดลีย์ ได ผู้เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการแสดงที่ทำให้เขาได้รับรางวัลบาฟตาในบท บิลลี แคสเปอร์ในภาพยนตร์ที่โด่งดังของเคน โล้คเรื่อง Kes ภายในหนึ่งปีที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉาย เด็กหนุ่มวัย 17 ปีผู้นี้ก็ได้แสดงที่เนชันแนล เธียเตอร์ หนึ่งในสามซีซัน และได้ร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังมากมาย เช่น เซอร์แอนโธนี ฮ็อปกินส์, ดีเร็ค จาโคบี้, โจน โพลว์ไรท์, เซอร์จอห์น กีลกัด และ ฯลฯ

ผลงานตลอดระยะเวลา 40 ปีที่เขาเป็นนักแสดงนั้นรวมถึง Zulu Dawn, All Quiet on The Western Front, Absolution, The Refuge, For King and Country, The Flame Trees of Thika, Two People และ The World Cup (A Captain’s Tale)

ในบรรดาผลงานละครที่เขานำแสดงและร่วมแสดงมากมาย ซึ่งรวมถึง Billy Liar, Spring Awakening, Night Must Fall และ The Lion in Winter บทที่ทำให้เขาโด่งดังที่สุดคือบทอลัน สแตรงในละคร Equus ที่จัดแสดงทั่วโลก และทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในลอสแองเจลิสและแอฟริกาใต้ รวมถึงละครเรื่อง The Wound ด้วย

 

 

ประวัติผู้กำกับ

Å   Steven Knight (สตีเวน ไนท์ ) ผู้กำกับและมือเขียนบท 

ในปี 1988 สตีเวน ไนท์และไมค์ ไวท์ฮิล ได้เริ่มร่วมมือกันเขียนงานฟรีแลนซ์สำหรับจอแก้ว Who Wants To Be A Millionaire? ซึ่งร่วมสร้างโดยสตีฟและอำนวยการสร้างโดยเซลาดอร์ ได้รับรางวัลต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงรางวัลบาฟตา, เนชันแนล เทเลวิชัน อวอร์ด, อินดี อวอร์ด, บรอดคาสท์ อวอร์ด, นิวยอร์ก เฟสติวัล, ซิลเวอร์ โรส ออฟ มอนโทรซ์และควีนส์ อวอร์ด ฟอร์ เอ็นเตอร์ไพรซ์

Dirty Pretty Things บทภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา ที่กำกับโดยสตีเฟน เฟรียส์ เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เวนิสปี 2002 ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ชื่นชมล้นหลามและได้รับเลือกให้เป็นภาพยนตร์เปิดงานเทศกาลภาพยนตร์ลอนดอนในปีเดียวกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เข้าฉายในอังกฤษและอเมริกา และก็ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมในวงกว้าง มันได้รับรางวัลมากมายซึ่งรวมถึงสี่รางวัลบีฟา (บริติช อินดีเพนเดนท์ ฟิล์ม อวอร์ด), อีฟนิง สแตนดาร์ด บริติช ฟิล์ม อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, รางวัลฮิวแมนิทัส อวอร์ด, รางวัลเอ็ดการ์ อวอร์ดสาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, รางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอนดอนสาขามือเขียนบทชาวอังกฤษยอดเยี่ยม รวมถึงได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ดสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมอีกด้วย

ในปี 2007 บทภาพยนตร์อีกสองเรื่องของไนท์ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ นั่นคือ Amazing Grace ที่กำกับโดยไมเคิล แอ็พเท็ด ซึ่งเกี่ยวกับชีวิตของวิลเลียม วิลเบอร์ฟอร์ซ นักการเมืองชาวอังกฤษผู้ต่อต้านการค้าทาส และ Eastern Promises ที่กำกับโดยเดวิด โครเนนเบิร์ก นำแสดงโดยวิกโก้ มอร์เตนเซนและนาโอมิ วัตส์ และเป็นเรื่องเกี่ยวกับแวดวงอาชญากรรมของชาวรัสเซียในกรุงลอนดอน

บทละครเวทีเรื่องแรกของเขา The President of an Empty Room ที่กำกับโดยโฮเวิร์ด เดวีส์ เปิตดัวที่เนชันแนล เธียเตอร์ในกรุงลอนดอน ปี 2005

นอกเหนือจากนั้น เขายังได้ตีพิมพ์นิยายสี่เรื่อง ได้แก่ The Movie House,AlphabetCity, Out of the Blue และ The Last Words of Will Wolfkin ซึ่งเป็นนิยายสำหรับเด็กเรื่องแรกของเขา ในปี 2011 ด้วย

ไนท์กำลังพัฒนาโปรเจ็กต์หลายเรื่อง รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง Closed Circuit ซึ่งกำกับโดยจอห์น โครว์ลีย์และจะขึ้นจอเงินในปี 2013 นอกจากนี้ เขายังได้ทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างใน Peaky Blinders ให้กับบีบีซี ซึ่งเขาทำหน้าที่สร้างและเขียนบท และซีรีส์นี้ก็กำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำด้วย