NOAH – โนอาห์ มหาวิบัติวันล้างโลก 10 เมษายน 2557

NOAHเบื้องหลังงานสร้าง

คนดูคาดหวังได้เลยว่าจะพบทุกช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมของเรื่องราวของโนอาห์…ทั้งเรือ เหล่าสรรพสัตว์ เนฟีลิม สายรุ้งครั้งแรก นกพิราบ แต่หวังว่าสิ่งเหล่านี้จะถูกนำเสนอในรูปแบบใหม่ที่คาดไม่ถึง แทนที่จะย่ำรอยเดิมกับสิ่งที่เคยเห็นกันมาก่อน เราพิจารณาสิ่งที่ถูกเขียนเอาไว้ในคัมภีร์ปฐมกาล (Genesis) อย่างละเอียดถี่ถ้วน จากนั้นเราได้สร้างฉากขึ้นบนจอในแบบที่เรารู้สึกว่าปาฏิหาริย์เหล่านี้จะสามารถบังเกิดขึ้นได้

ดาร์เรน อะโรนอฟสกี้

NOAHจากเรื่องราวที่ให้แรงบันดาลใจที่ว่าด้วยเรื่องของความกล้าหาญ การเสียสละ ความหวัง และการไถ่บาป ดาร์เรน อะโรนอฟสกี้ (“Black Swan,” “The Wrestler,” “The Fountain”) ได้นำ “Noah” มาขึ้นจอภาพยนตร์ เจ้าของรางวัลออสการ์อย่าง รัสเซลล์ โครว์ รับบทเป็นชายผู้ถูกเลือกให้เป็นผู้ปฏิบัติภารกิจกู้ชีวิตครั้งสำคัญก่อนที่เหตุน้ำท่วมโลกจะทำลายโลกใบนี้ เรื่องราวนี้ไม่เคยถูกนำมาขึ้นจออย่างเต็มเรื่องราวในรูปแบบของภาพยนตร์เอพิคที่มีความชัดแจ้งมาก่อน เป็นการเชื้อเชิญคนดูให้สัมผัสปรากฏการณ์อันน่าตื่นตาผ่านสายตาและอารมณ์ของโนอาห์และครอบครัว ขณะที่พวกเขาเดินทางผ่านความหวาดกลัวและศรัทธา การทำลายล้างและชัยชนะ ความยากลำบากและความหวัง

งานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ได้นำพาทั้งทีมนักแสดงและทีมงานระดับโลกเดินไปบนเส้นทางที่คาดไม่ถึง เมื่อพวกเขามุ่งมั่นที่จะค้นคว้าเกี่ยวกับโลกของโนอาห์ ให้เกียรติกับเนื้อหาใจความ และก้าวขึ้นเรือที่เหมือนจริง ที่ถูกสร้างด้วยมือตามลักษณะจำเพาะตามรายละเอียดในไบเบิ้ล ในทุกแง่มุมของการแสดง ฉากแอ็กชั่น และงานสเปเชียลเอฟเฟ็กต์สดใหม่ของภาพยนตร์เรื่องนี้ เป้าหมายของทีมงานสร้างสรรค์ทีมนี้มีความชัดเจน นั่นก็คือการสร้างประสบการณ์ร่วมสมัยของ “Noah” ที่มีความฉับพลัน มีชีวิตชีวา และเป็นส่วนตัว ผลลัพธ์ก็คือการแสดงภาพของโนอาห์บนจอภาพยนตร์เป็นครั้งแรก ในฐานะของชายผู้ไม่ได้สมบูรณ์แบบ ผู้ซึ่งมีภารกิจที่ให้แรงบันดาลใจมหาศาล ผสานไปกับความเลวร้ายอย่างที่สุดของมนุษยชาติ ขณะที่ยังคงยืนหยัดในความมีศรัทธาของเรา

พาราเม้าต์ พิคเจอร์ส และรีเจนซี่ เอนเตอร์ไพรส์ ภูมิใจเสนอ ผลงานการสร้างของ โปรโตซัว พิคเจอร์ส เรื่อง “Noah” ซึ่งกำกับโดย ดาร์เรน อะโรนอฟสกี้ จากบทภาพยนตร์ที่เขียนโดย อะโรนอฟสกี้ และอารี แฮนเดล (“The Fountain”) ทีมผู้อำนวยการสร้าง ได้แก่ สก็อตต์ แฟรงกลิน (“Black Swan,” “The Wrestler”), แมรี่ พาเร้นท์ (“Pacific Rim”) และอาร์น่อน มิลแชน โดยมี อารี แฮนเดล และคริส บริกแฮม (“Inception,” “Shutter Island”) เป็นทีมผู้อำนวยการสร้างบริหาร

ที่เข้ามาร่วมแสดงกับ โครว์ (“Gladiator,” “A Beautiful Mind,” “Les Misérables”) ในทีมนักแสดง ก็คือ เจ้าของรางวัลออสการ์ เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ (“A Beautiful Mind,” “Requiem for a Dream”), เรย์ วินสโตน (“The Departed,” “Hugo”), เอ็มม่า วัตสัน (“Harry Potter and the Deathly Hallows,” “My Week With Marilyn”), โลแกน เลอร์แมน (“Percy Jackson & the Olympians”), ดักลาส บูธ (ผลงานทางทีวีเรื่อง “Great Expectations,” “Romeo and Juliet”), ดาโกต้า โกโย่ (“Thor”) และเจ้าของรางวัลออสการ์ แอนโธนี่ ฮอปกิ้นส์ (“The Silence of the Lambs”)

ทีมงานหลังกล้องประกอบไปด้วย ผู้กำกับภาพ แมทธิว ลิบาติค (“Black Swan,” “Iron Man”), โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ มาร์ก ฟรีดเบิร์ก (“The Amazing Spider-Man 2”, “Synecdoche, New York”),  ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ไมเคิล วิลกินสัน (“Man of Steel”, “American Hustle”) และผู้แต่งดนตรีประกอบ คลิ้นต์ แมนเซลล์ (“Black Swan,” “The Wrestler”)

 

โนอาห์ในโรงภาพยนตร์

NOAHเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลของโนอาห์และเรือลำยักษ์ที่เขาได้รับบัญชาให้สร้างขึ้น ก่อนโลกจะถูกน้ำท่วม ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ปฐมกาล (Book of Genesis) แค่เพียงไม่กี่หน้าเท่านั้น แต่การเดินทางสั้นๆ เหล่านั้นกลับส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งและยาวนากับคนหลายพันล้านคนทั่วโลก โดยก่อให้เกิดทั้งความล้ำลึกของความชั่วร้ายและความสูงส่งของความศรัทธา และหยัดยืนในความหวังของการไถ่บาปหลังเหตุหายนะ

อย่างไรก็ดี นับแต่จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ การบรรยายภาพของเรื่องราวรากฐานนี้บนจอภาพยนตร์ก็มักจะเป็นงานล้อเลียน ภาพยนตร์ตลก หรือภาพยนตร์การ์ตูน เป็นการสะท้อนถึงวัฒนธรรมร่วมสมัยที่เรือของโนอาห์มักจะพบเห็นบ่อยที่สุดในร้านขายของเด็กเล่น เรื่องราวนี้ถูกนำมาขึ้นจอภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในภาพยนตร์ปี 1928 เรื่อง “Noah’s Ark” ซึ่งเป็นการผสมรวมภาพน้ำท่วมโลกตามแบบไบเบิ้ล เข้ากับเรื่องราวดราม่ายุคสงครามโลกครั้งที่ 1 นับแต่นั้น ยังมีภาพยนตร์สั้นของดิสนีย์ ภาพยนตร์การ์ตูน และงานอีกหลากหลายในธีมที่เน้นอารมณ์ขัน แต่เรื่องราวของโนอาห์ยังไม่เคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์เอพิคอันน่าตื่นตาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งทำให้เรื่องราวในไม่กี่หน้าของคัมภีร์ไบเบิ้ลมีชีวิตขึ้นมา  และยังไม่เคยมีผู้กำกับคนใดที่ขุดลึกลงไปในแก่นของความเป็นมนุษย์มาก่อน

“มีหนังที่เป็นเวอร์ชั่นตลก เวอร์ชั่นการ์ตูน มีแม้กระทั่งเวอร์ชั่นบรอดเวย์ของ แดนนี่ เคย์ ซึ่งเป็นละครเพลงด้วย ดาร์เรน อะโรนอฟสกี้ ซึ่งเป็นทั้งผู้กำกับและร่วมเขียนบทให้กับภาพยนตร์เรื่อง “Noah” บอก ในเชิงประวัติศาสตร์ วิธีการนำเสนอมักจะเป็นไปในทิศทางของเรื่องสอนใจของชาวบ้าน เรื่องที่มีอารมณ์ขัน และเรื่องสำหรับเด็ก แต่ถ้าคุณลองพิจารณาถึงตำแหน่งของเรื่องนี้ในเจเนซิส มันมีมากกว่าภาพของสัตว์ที่เดินขึ้นเรือไปเป็นคู่ๆ  มันเป็นเรื่องของความชั่วร้ายของมนุษย์ถึงสิบรุ่น จนในที่สุดก็ส่งผลต่อพระเป็นเจ้า จนถึงจุดที่พระองค์อยากเริ่มต้นทุกอย่างใหม่หมด สำหรับผมแล้ว มันเป็นตอนจบของเรื่องราวเกี่ยวกับโลกเป็นครั้งแรก”

มันยังเป็นเรื่องราวที่เขารู้สึกว่าในที่สุดก็สามารถถูกบอกเล่าผ่านเทคนิคงานสร้างภาพยนตร์แห่งศตวรรษที่ 21 ได้ ขณะที่แสดงความเคารพต่อพลังที่ไม่สามารถลบล้างได้ของถ้อยคำในไบเบิ้ล อะโรนอฟสกี้กล่าวว่า ผมไม่ได้อยากจะเพิ่มความคิดซ้ำซากที่มีอยู่ก่อนแล้วจากวัฒนธรรมร่วมสมัยหรอกนะ ผมอยากให้โนอาห์เรื่องนี้ให้ความรู้สึกสดใหม่ ฉับพลัน และจริง

ความผูกพันที่อะโรนอฟสกี้มีต่อธีมต่างๆ ของโนอาห์ เริ่มต้นขึ้นตอนเขาอายุ 13 ปี ซึ่งในเวลานั้น เขากำลังเขียนบทกลอนเกี่ยวกับโนอาห์ ซึ่งชนะรางวัลที่โรงเรียน ต่อมา เมื่อเขาเริ่มต้นงานกำกับภาพยนตร์ เขาเริ่มจินตนาการว่าเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่นี้จะขึ้นจอภาพยนตร์ในยุคสมัยใหม่ได้อย่างไร เขารู้ดีว่ามันจะต้องเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เขาทำงานมา เป็นภาพยนตร์สุดทะเยอทะยานที่ต้องการทั้งความรักและความใส่ใจในรายละเอียดอย่างถึงที่สุด ขณะเดียวกัน เขารู้สึกสนใจในด้านที่เป็นส่วนตัวของเรื่องราวเอพิคนี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวของโนอาห์ เขาต้องการสำรวจความหวาดกลัวและความหวังแบบมนุษย์ของพวกเขา ความขัดแย้งของพวกเขา และค้นหาความหมาย ท่ามกลางเหตุการณ์พิเศษสุดนี้

“ในฐานะของเรื่องในพระคัมภีร์บทที่ 1 การจินตนาการว่าครอบครัวๆ หนึ่งจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรนั้น เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากสำหรับผม ผู้กำกับอะโรนอฟสกี้บอก

ความสนใจนั้นได้กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับกระบวนการเขียนที่นำพา อะโรนอฟสกี้และ อารี แฮนเดล ที่เป็นทั้งผู้ร่วมเขียนบทกับเขาและเป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารของภาพยนตร์เรื่องนี้ ดำดิ่งสู่ดินแดนที่ไม่รู้จัก เพราะเนื้อหาของเจเนซิสนั้นมีจำกัดมาก และไม่มีบทพูดใดๆ แถมยังมีการบ่งบอกถึงความรู้สึกที่โนอาห์มีต่อเรื่องน้ำท่วมน้อยมาก พวกเขาจึงต้องศึกษาแหล่งข้อมูลทั้งทางศาสนา ประวัติศาสตร์ และทางวิชาการเพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงยุคสมัยของโนอาห์ได้ดีขึ้น รวมถึงความหมายของการกระทำของเขา ถึงแม้พวกเขาไม่ได้มุ่งเป้าไปที่การเขียนบทแบบประโยคต่อประโยค แต่เน้นไปที่การสร้างเรื่องราวเข้มข้นกับให้สิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นธีมสำคัญของเรื่องราวของโนอาห์ และสำรวจคำถามต่างๆ ที่การบรรยายเรื่องในไบเบิ้ลได้นำเสนอเอาไว้

 

การนำเสนอเรื่องของ โนอาห์

NOAHอะโรนอฟสกี้เป็นผู้กำกับที่มักสนใจเรื่องราวที่ส่งอิทธิพลที่สุด และมีวิธีการเล่าเรื่องที่หาญกล้าที่สุด จากการสืบเสาะแสวงหาของนักคณิตศาสตร์ในภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา “π” จนถึงการค้นหาความปรองดองที่หวานปนขมใน “The Wrestler” จนถึงโลกของการเต้นบัลเล่ย์ที่แสนจริงจังในภาพยนตร์ทริลเลอร์เรื่อง “Black Swan” เขามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำเสนอภาพได้แปลกใหม่ พอๆ กับความยินดีของเขาที่จะขุดลึกเข้าไปในเรื่องราวที่ทรงพลัง อย่างเช่นเรื่องของความตาย ความรัก และความหมายของความศักดิ์สิทธิ์

แฮนเดลบอกว่า อะโรนอฟสกี้ยังเป็นผู้กำกับเพียงคนเดียวที่เขาจินตนาการได้ว่าจะสามารถรับมือกับความเสี่ยงทางภาพ ในการนำคนดูเข้าไปยังโลกโบราณกาลที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายและการมีอยู่ของการหยั่งรู้ ดาร์เรนเป็นผู้กำกับที่เหมาะสมอย่างมาก เพราะความท้าทายทางภาพของ ‘Noah’ นั้นมันน่าอัศจรรย์อย่างมาก แต่คุณยังต้องการคนที่สามารถผสมผสานความยิ่งใหญ่ทางภาพเข้ากับความจริงจังทางอารมณ์ และดาร์เรนก็มีคุณสมบัติที่ผสมผสานกันแบบนั้นได้อย่างโดดเด่นมาก แฮนเดลให้ความเห็น

เพราะระลึกถึงฝีมือในการสร้างภาพของ อะโรนอฟสกี้ บทภาพยนตร์เรื่องนี้จึงถูกเขียนขึ้นแบบไม่มียั้ง ทั้งในเรื่องขนาดของงาน  ฉากแอ็กชั่น หรือสิ่งที่คาดไม่ถึง “เราอยากนำความยิ่งใหญ่ อลังการที่เหมาะกับเรื่อง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก” แฮนเดลอธิบาย “แต่ภายในนั้น ยังต้องสร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนด้วยองค์ประกอบหลายอย่างที่ท้าทายความคาดหวังของพวกเขา”

“ตัวอย่างเช่น” แฮนเดลอธิบายต่อ “ในเจเนซิส โนอาห์ได้รับคำบัญชาให้สร้างเรือ และนำสัตว์แต่ละชนิดขึ้นไปบนเรืออย่างละคู่ ไม่มีคำบรรยายว่าเขาจัดการงานนี้อย่างไร แต่ดาร์เรนได้คิดวิธีที่กลายเป็นภาพอันน่าตื่นเต้นและมีอารมณ์เข้มข้นให้กับโนอาห์ในการจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้สำหรับเรือของเขา และเพื่อค้นหาและรวบรวมตัวแทนของสัตว์ทุกชนิดบนโลกนี้ ทางออกเหล่านี้ไม่ได้ปรากฏอยู่ในไบเบิ้ล ถึงแม้จะไม่มีคำค้านใดๆ แต่เรารู้สึกว่ามันมีคุณสมบัติที่เหมาะกับจิตวิญญาณของเรื่องนี้มาก”

ขณะเดียวกัน อะโรนอฟสกี้บอกว่าเขาสนใจที่จะนำเสนอสิ่งที่มากไปกว่าความยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์เอพิค สิ่งที่เราทำก็คือการเริ่มต้นด้วยข้อความในเจเนซิสจริงๆ จากนั้นก็ขยายเรื่องออกไปให้เป็นเรื่องดราม่าเกี่ยวกับครอบครัว

“มีคำอธิบายน้อยมากจริงๆ เกี่ยวกับแง่มุมต่างๆ ในเรื่องราวของโนอาห์ โนอาห์ไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำจนกระทั่งเขาได้ลงจากเรือ” แฮนเดลกล่าว “ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวละครเหล่านี้คิดและพูด จึงเปิดกว้างมาก แต่ถ้าคุณลองพิจารณาในข้อความเหล่านั้นให้ดีๆ มันจะมีคำบอกใบ้อยู่ พิจารณาว่าโนอาห์กินเหล้าเมามายหลังจากที่เขามาถึงโลกใหม่ นี่คือสิ่งที่ไม่ได้อธิบายเอาไว้ในเจเนซิส แต่สำหรับเรา มันเหมือนเป็นการทำความเข้าใจต่อบุคลิกของโนอาห์ในแบบที่เราอยากสำรวจ และพยายามทำความเข้าใจ เขาต้องเผชิญกับความยากลำบากสักแค่ไหน ถึงแม้หลังจากที่เขาทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว  มันก็ยังทำให้เขาถึงกับต้องหันไปดื่มเหล้า เราจะประนีประนอมการอธิบายเกี่ยวกับตัว โนอาห์ ที่เป็นชายผู้เที่ยงธรรม ผู้ดื่มเหล้าเมามายและเปลื้องผ้าอย่างไร และยังคำสาปส่ง ต่อลูกหลานของเขาให้ต้องเป็นทาสไปชั่วนิรันดร์ด้วย”

“หรือพิจารณาว่า” แฮนเดลกล่าวต่อ “ส่วนที่เจ็บปวดที่สุดของเรื่องราวในเจเนซิส ก็คือ พระเป็นเจ้าผู้สร้างโลกตัดสินใจว่าพระองค์จะต้องทำลายสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้นมา ควรจะมีเด็กๆ อยู่ในหมู่คนที่จมน้ำตายในเหตุน้ำท่วมโลกนี้ด้วยไหม มีสัตว์ไร้เดียงสามากมายที่มากเกินกว่าสัตว์ที่ได้รับเลือกแต่ละคู่ไหม ถ้าเป็นเช่นนั้น เหตุน้ำท่วมนี้ก็คือการกวาดล้างโลกจนสะอาด แม้จะต้องสูญเสีย เป็นสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดให้กับพระเป็นเจ้าผู้รักสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้น แล้วเราจะเพิ่มระดับความเข้มข้นของความเจ็บปวดในระดับของมนุษย์ที่เราทุกคนเข้าใจได้ขึ้นมาอย่างไร ภารกิจยิ่งใหญ่ที่สุดของเราก็คือ การหาว่าจะสำรวจคำถามเหล่านี้ออกมาในแบบที่จับใจได้อย่างไร ในขณะที่ยังต้องยึดมั่นกับความจำเพาะเจาะจงของเจเนซิสด้วย”

โดยหัวใจของบทภาพยนตร์ของพวกเขา ก็คือความแน่วแน่ของโนอาห์ และความพยายามมานะบากบั่นแบบมนุษย์ปุถุชนของเขา ในการเผชิญหน้ากับสิ่งที่ดูแล้วน่าจะเป็นภารกิจที่น่าหวั่นเกรง เมื่อพระเป็นเจ้าเตือนเขาถึงหายนะที่จะมาถึง และบัญชาให้เขาช่วยชีวิตสรรพสัตว์ โนอาห์ลงมือทำด้วยศรัทธาอย่างไม่มีข้อสงสัย และปราศจากความไม่เชื่ออย่างที่หลายคนคาดคิด

“ในภาพยนตร์มากมายหลายเรื่องในยุคนี้ ถ้าตัวละครพูดว่าพวกเขาเห็นนิมิต หรือได้ยินเสียง ผู้คนรอบๆ ตัวอาจสงสัยไปก่อนว่าเขาสติไม่ดี แต่ดาร์เรนกับผมรู้สึกว่านั่นคือวิธีการคิดแบบคนสมัยใหม่” แฮนเดลอธิบาย “โนอาห์มีชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่ปู่ของเขายังคงมีชีวิตอยู่ในขณะที่อดัมยังมีชีวิตอยู่ และอดัมก็เคยเดินไปกับพระเจ้า ดังนั้นโนอาห์จึงไม่มีปัญหากับการเชื่อในสิ่งที่พระเป็นเจ้าบอกเขา แต่คำถามที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นสำหรับโนอาห์ ก็คือ 1) คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าคุณเข้าใจในสิ่งที่ได้รับบัญชามาอย่างถ่องแท้ และ 2) คุณจะกระทำได้สำเร็จหรือไม่”

การจินตนาการโลกของโนอาห์ขึ้นมา ซึ่งในไบเบิ้ลกล่าวถึงว่าเป็นยุคที่เต็มไปด้วยบาปและความสับสนอลหม่าน และอยู่ระหว่างการล่มสลายของมนุษย์และการมาถึงของน้ำท่วมโลก ก็คือภารกิจที่ลึกซึ้งแล้ว มีการกล่าวอ้างถึงไบเบิ้ลเกี่ยวกับยุคแห่งความชั่วร้ายโหดเหี้ยม และ “ยักษ์ใหญ่ในแผ่นดิน” แต่การระบุเจาะจงลงไปนั้นมีจำกัด

“เรารู้หลายอย่างเกี่ยวกับอียิปต์ เรารู้หลายอย่างเกี่ยวกับจูเดียโบราณ แต่มีเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกยุคก่อนน้ำท่วมน้อยมาก” อะโรนอฟสกี้กล่าว “เราตัดสินใจที่จะไม่ทิ้งมันไป แต่เป็นการสรุปว่านี่คือโลกที่แตกต่างไปจากโลกของเรา”

นอกจากเจเนซิสแล้ว อะโรนอฟสกี้และแฮนเดลยังพิจารณาข้อความจากม้วนหนังสือเดดซี (The Dead Sea Scrolls), พระคัมภีร์เอโนค (The Book of Enoch) และ The Book of Jubilees รวมถึงการวิเคราะห์ทั้งเชิงประวัติศาสตร์และสมัยใหม่โดยนักศาสนศาสตร์ และนักประวัติศาสตร์ แต่พวกเขาสำนึกอยู่เสมอว่าพวกเขาต้องสร้างก้าวกระโดดอันหาญกล้าจากการค้นคว้านั้น เพื่อนำเสนอภาพโลกของโนอาห์บนจอในแบบที่สามารถสร้างความประทับใจให้กับคนดูจากทุกความเป็นมาได้ ความเสี่ยงนั้นมีอย่างชัดเจน แต่ที่เห็นได้ชัดเจนเช่นกันก็คือก็คือความทุ่มเทของพวกเขาที่จะนำพาผู้คนให้เข้าใกล้แรงบันดาลใจของเรื่องราวนี้ให้มากขึ้น

แฮนเดลสรุปว่า “เมื่อเราตั้งเป้าที่จะบอกเล่าเรื่องราวของโนอาห์ เรารู้ดีว่ามันต้องเป็นงานที่น่าเกรงขามมาก เพราะเรื่องนี้มีความหมายในหลายระดับต่อผู้คนมากมาย แต่เราก็กระโดดเข้าใส่โอกาสที่จะสร้างมันด้วยเหตุผลมากมายแบบเดียวกัน เพราะมันเป็นเรื่องที่ทรงพลังอย่างมาก ซึ่งหมายถึงบางสิ่งที่ลึกซึ้งและเป็นรากฐานสำคัญ”

อะโรนอฟสกี้กล่าวเสริม “ผมคิดว่ามันคงจะน่าตื่นเต้นสำหรับผู้คนที่ได้ระลึกว่าเรื่องราวเหล่านี้มันน่าทึ่งขนาดไหน ผมจึงมุ่งมั่นตั้งใจที่จะสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ให้เข้าถึงได้ทั้งผู้ที่ศรัทธาและไม่ศรัทธา”

สำหรับผู้อำนวยการสร้าง สก็อตต์ แฟรงกลิน ผู้เคยทำงานกับอะโรนอฟสกี้ในภาพยนตร์ทุกเรื่องของเขา การผสมผสานธีมที่ไร้กาลเวลาของโนอาห์ เข้ากับธรรมชาติที่ชอบผจญภัยของสไตล์ของอะโรนอฟสกี้ ได้ทำให้เกิดความเป็นไปได้ของภาพยนตร์ที่จะสร้างความตื่นเต้นทางด้านเทคนิค แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้บรรลุผลอย่างลึกซึ้งที่สุด

“ภาพยนตร์เรื่องนี้มีหลากหลายด้านนะ” แฟรงกลินกล่าว “มันมุ่งเป้าไปที่การสร้างความสมจริงให้กับเรื่องราวที่เรารู้จักดีอยู่แล้ว แต่เป็นการใส่รายละเอียดไปพร้อมกับเรื่องราวที่เต็มไปด้วยจินตนาการ และยังมีองค์ประกอบด้านวิชวลเอฟเฟ็กต์ที่ยิ่งใหญ่ แต่ผมคิดว่าหัวใจและแก่นแท้ของภาพยนตร์เรื่องนี้คือมุมมองที่ไม่เหมือนใครที่ดาร์เรนมีต่อเรื่องราวของโนอาห์ในฐานะเรื่องดราม่าเกี่ยวกับครอบครัว เขานำความรักของเขาใส่ลงในเรื่องนี้”

ผู้อำนวยการสร้าง แมรี่ พาเร้นท์ ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ ได้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ของ กีลเลอร์โม่ เดล โทโร่ เรื่อง “Pacific Rim” รู้สึกตื่นเต้นมากพอๆ กัน กับวิธีการนำเสนอของอะโรนอฟสกี้ “ดาร์เรนมีบางสิ่งบางอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงหัวใจของเรื่องราวในไบเบิ้ล แต่ขณะเดียวกัน ก็ยอมให้ตัวเขาเองเป็นนักเล่าเรื่องสมัยใหม่อย่างมาก” พาเร้นท์ตั้งข้อสังเกต “ในภาษาภาพของภาพยนตร์ คุณจะได้เห็นสัญลักษณ์ร่วมสมัยมากมาย แต่ผลลัพธ์ก็คืองานที่คลาสสิกและยิ่งใหญ่ เขาได้นำการแสดง ระดับของงานสร้าง และการผจญภัยแอ็กชั่นแบบบริสุทธิ์ที่จะนำพาคุณเข้าไปยังโลกใบนี้”

เธอกล่าวต่อไปว่า “หนึ่งในหลายๆ สิ่งที่ทำให้ดาร์เรนเป็นคนทำหนังที่ยอดเยี่ยม ก็คือ ความสามารถของเขาที่จะผลักดันคุณไปถึงขีดจำกัด เพื่อพาคุณไปให้ถึงที่สุด และในกรณีนี้ ก็คือการพาคุณเข้าไปในสถานการณ์ที่ยากลำบากของโนอาห์ ขณะเดียวกัน ดาร์เรนก็เล่าเรื่องราวที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจอย่างมาก ปกติสิ่งเหล่านั้นไม่สามารถมารวมอยู่ด้วยกันได้”

 

การแสดงเป็น โนอาห์

NOAHเมื่อทางทีมผู้สร้างเริ่มพูดคุยกันถึงเรื่องที่ว่าใครที่จะสามารถแบกประคองดำเนินเรื่องราวของ “Noah” ได้ ชื่อหนึ่งที่ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก็คือ รัสเซลล์ โครว์ โครว์ที่คว้ารางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่อง “Gladiator” มักมองหาบทที่จะใส่ความเป็นมนุษย์ปุถุชนลงไปในตัวละครที่ดูยิ่งใหญ่ แต่การแสดงเป็น โนอาห์ ถือเป็นภารกิจสุดโต่งมาก แม้จะวัดโดยมาตรฐานของเขา หลายส่วนอาจเป็นเพราะโนอาห์ไม่เคยได้ถูกพบเห็นบนจอภาพยนตร์ในฐานะคนจริงๆ ที่มีหลากหลายด้าน และไม่สมบูรณ์แบบ เป็นผู้ที่พระเจ้าเลือกให้หยัดยืนอยู่ภายใต้ภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ นั่นก็คือการทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดอยู่รอดได้

อะโรนอฟสกี้กล่าวว่า “รัสเซลล์ทำให้เราสนใจติดตามได้เพราะเขามักจะเล่นได้จริงเสมอ และดูน่าเชื่อด้วย ไม่ว่าจะยังไง คุณไม่เคยตั้งคำถามเลยว่ารัสเซลล์เชื่อในสิ่งที่เขากำลังพูดออกมาหรือเปล่า และแน่นอน ความเป็นไปได้ที่จะได้ทำงานกับคนที่มีความสามารถมากขนาดนั้น มีพลังมากขนาดนั้น เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมากสำหรับผม เพื่อจะได้เห็นสิ่งที่เราสามารถสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยกันได้”

อารี แฮนเดล รู้สึกพอใจอย่างมากที่ได้นักแสดงชายที่สามารถก้าวเข้าสู่ภายในของบทบาทนี้ได้ “เราต้องการคนที่ลักษณะตามแบบเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ในไบเบิ้ล เป็นผู้ที่มีแรงดึงดูดแบบนั้น” แฮนเดลกล่าว “รัสเซลล์คือคนที่คุณเชื่อว่าจะสามารถกระทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่และไม่น่าจะเป็นไปได้ โดยไม่บ่นเลยสักคำ คุณไม่เคยสงสัยในความสามารถของเขา หรือความแข็งแกร่งของเขา แต่ในสายตาของเขา คุณมองเห็นถึงความเมตตาที่เป็นพื้นฐาน”

เพื่อช่วยในการตัดสินใจของโครว์ อะโรนอฟสกี้ให้คำสัญญากับโครว์ว่า เขาจะไม่มีวันถ่ายหนังเรื่องนี้ออกมาในแบบที่ดูซ้ำซาก โดยมียีราฟสองตัวโผล่ออกมาด้านหลังศีรษะของโนอาห์อย่างแน่นอน แต่เมื่อเริ่มทำการค้นคว้า โครว์พบว่าความพยายามจะเข้าให้ถึงภายในใจของโนอาห์จากมุมมองสมัยนั้น เป็นเรื่องน่าทึ่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด “คุณเริ่มต้นด้วยความคิดที่ผู้คนคิดกันเกี่ยวกับโนอาห์ แต่เมื่อคุณเริ่มที่จะเจาะลึกว่าโลกในยุคสมัยของเขาเป็นเช่นไร มันน่าสนใจมากเลยครับ”

ความท้าทายสูงสุดสำหรับโครว์ก็คือ การหาว่าชายคนหนึ่งจะรับมืออย่างไรทั้งทางด้านอารมณ์และศีลธรรม กับคำบัญชาที่เร่งด่วนแต่คลุมเครือ ของพระเจ้าที่สั่งให้เขาลงมือกระทำ “โนอาห์เริ่มต้นด้วยการมองภารกิจที่เขาต้องเผชิญเป็นเสมือนการอนุมาน เพราะเขาไม่ได้มีข้อมูลตรงมากนัก” โครว์อธิบาย “สิ่งที่เขาเข้าใจก็คือเขาจำต้องดูแลสัตว์ทั้งหมดนี้ แต่เขาไม่มีข้อมูลที่จะตอบคำถามของมนุษย์ได้ ดังนั้น จึงกลายเป็นหน้าที่เขาที่จะคิดหาหนทางเอาเอง หนึ่งในข้อดีเกี่ยวกับตัวเขาก็คือ ผมไม่คิดว่าเขาจะพบว่ามีเกียรติใดๆ อยู่ในงานของเขา อันที่จริงเขามองว่ามันเป็นงานที่แย่ที่สุดที่เขาเคยได้รับจากพระเจ้า แต่เขาจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อทำงานนี้ให้สำเร็จ”

การได้ทำงานกับอะโรนอฟสกี้คือสิ่งที่ล่อหลอกให้โครว์สนใจได้มากที่สุด “ผมรู้สึกว่าทุกวันที่เราทำงาน เราต้องลงเอยด้วยการได้สร้างผลงานที่สุดยอดเสมอ” โครว์บอก “เขาจริงจังมากเพราะเขาอยากให้หลายสิ่งหลายอย่างถูกทำออกมาให้เสร็จ แต่นั่นคือข้อดี เพราะคุณรู้ว่าเขามักจะมองหาบางสิ่งบางอย่างอยู่เสมอ และนี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง เขาไม่เคยหยุดกำกับเลย แม้ในค่ำคืนที่ยาวนานที่สุด หนาวที่สุด ลำบากที่สุด เขาไม่เคยหยุดพูดถึงสิ่งที่คุณกำลังผลักดันไปข้างหน้า ซึ่งผมว่ามันช่วยอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงได้สร้างภาพยนตร์อย่างที่เขาสร้างออกมา เขามักจะพาผู้คนไปยังที่ต่างๆ และสัมผัสประสบการณ์ที่ไม่ใช่ประสบการณ์ทั่วๆ ไป และหวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงจะทำเช่นนั้นเหมือนกัน”

ที่มาร่วมแสดงเคียงข้าง โครว์ ในบท ภรรยาของโนอาห์ ก็คือ เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ นักแสดงหญิงผู้เคยคว้ารางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่อง “A Beautiful Mind” ซึ่งเธอได้ร่วมแสดงกับโครว์ คอนเนลลี่ยังได้รับคำชมมากมายจากการร่วมงานกับอะโรนอฟสกี้ ในภาพยนตร์เรื่อง “Requiem For a Dream”

ในคัมภีร์ไบเบิ้ล ภรรยาของโนอาห์ไม่มีชื่อ แต่อะโรนอฟสกี้ และแฮนเดล อยากนำเสนอประสบการณ์ของเธอให้ลึกซึ้งมากขึ้นไปอีกในภาพยนตร์เรื่องนี้ พวกเขาจึงตั้งชื่อให้เธอในแบบยิวว่า “นาอาเมห์” “จากเจเนซิสนั้น เราไม่เคยรู้เลยว่าภรรยาของโนอาห์ทำหรือคิดอย่างไร แต่เป็นเรื่องสำคัญกับเรามากที่เธอจะต้องมีส่วนสำคัญกับเหตุการณ์นี้” แฮนเดลอธิบาย เราเขียนบทให้เธอเป็นผู้หญิงที่พยายามประคับประคองครอบครัวของเธอเอาไว้ แม้เมื่อพวกเขาอยู่ภายใต้ความตึงเครียดอย่างที่สุดต่อสิ่งที่พวกเขาต้องการจะกระทำในโลกนี้ เจนนิเฟอร์ทำให้นาอาเมห์มีความเข้มแข็งทางด้านศีลธรรม แม้ขณะที่เธอกำลังช่วยให้โนอาห์กระทำภารกิจตามเสียงบัญชา เธอก็ยังยึดมั่นสิ่งที่ถูกต้อง และต่อเรื่องที่ว่าพวกเรามนุษย์ทั้งหลายควรจะได้รับความเมตตาหรือไม่”

คอนเนลลี่กล่าวว่าเธอตื่นเต้นมากที่ได้กลับมาร่วมงานกับอะโรนอฟสกี้อีกครั้ง “สำหรับฉัน มันน่าทึ่งมากที่ได้เห็นเขากำกับภาพยนตร์ที่มีความยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เป็นผลงานที่ถือว่าแตกต่างอย่างมากกับภาพยนตร์ที่เราเคยร่วมงานกันก่อนหน้านี้” คอนเนลลี่กล่าว “นี่คือเรื่องราวที่ดาร์เรนอยากเล่ามานานมากแล้ว สำหรับฉันจึงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่ได้เห็นเขาทำให้มันมีชีวิตขึ้นมา ในฐานะของผู้กำกับ เขามีความคิดสร้างสรรค์ในทางภาพ แต่ขณะเดียวกัน เขาก็มุ่งเน้นไปที่การแสดง และมีความอ่อนไหวต่อวิธีการทำงานของนักแสดงอย่างมาก”

เนื่องจากมีข้อมูลเกี่ยวกับนาอาเมห์น้อยมาก คอนเนลลี่จึงต้องทำการค้นคว้าส่วนตัว เมื่อเธอพยายามศึกษาถึงชีวิตที่เต็มไปด้วยความลึกลับของผู้หญิงในยุคต้นประวัติศาสตร์ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่สมจริง “เจเนซิสไม่ได้พูดถึงตัวละครของฉันมากนัก แต่ดาร์เรนได้เขียนบทให้เธอเป็นภรรยาผู้ภักดี เป็นแม่ผู้อุทิศตน ผู้มีความแข็งแกร่งทั้งทางด้านอารมณ์และทางคุณธรรม ฉันอยากรู้อยากเห็นอย่างมากเกี่ยวกับสิ่งที่เธอเสียสละเพื่อครอบครัว ฉันนึกถึงสิ่งที่นักโบราณคดีบอก สิ่งที่ไบเบิ้ลบอกเอาไว้ และด้วยการผสมผสานทั้งหมดนั้น เธอจึงกลายเป็นคนขยันหมั่นเพียรอย่างมาก เธอเป็นหญิงที่มีความสามารถทั้งทางด้านอารมณ์และร่างกาย”

เธอยังได้พบแรงบันดาลใจในคติพจน์ 31 ซึ่งพูดถึงภรรยาผู้ทรงคุณธรรม “ผู้มีคุณค่าเกินกว่าอัญมณี” และเป็นผู้ที่ “ทำตัวเองให้แข็งแกร่ง” แต่ก็ “เอื้อมมือไปหาความยากไร้” คอนเนลลี่ให้ความเห็นว่า “ฉันคิดว่านาอาเมห์ได้รวบรวมลักษณะที่คติพจน์ 31 ได้พูดถึงเอาไว้ทั้งหมด ไม่ใช่ในรูปแบบที่เธอคอยให้การสนับสนุนโนอาห์เท่านั้น แต่ยังด้วยความแข็งแกร่งของเธอ ภูมิปัญญา และความถ่อมเนื้อถ่อมตนของเธอ ฉันว่าเธอเป็นตัวละครที่โดดเด่นในแง่นั้น”

สำหรับโครว์ การได้กลับมาร่วมงานกับคอนเนลลี่ คือสิ่งที่นำมาซึ่งความลึกซึ้งในความผูกพันระหว่างสามีภรรยา ระหว่างโนอาห์และนาอาเมห์ “ผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเจนนิเฟอร์เต็มไปด้วยรายละเอียดและซับซ้อนแค่ไหน เพราะสิ่งที่เราเคยประสบพบเจอด้วยกันมาก่อน” โครว์บอก “เราไม่เคยได้เจอกันอีกเลยตั้งแต่แสดงหนัง ‘Beautiful Mind’ ด้วยกัน แต่บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับประสบการณ์ก่อนหน้านั้นทำให้เรามีจุดเริ่มต้นที่จะค้นหาความผูกพันเชื่อมโยงกันในแบบที่ลึกซึ้งมาก”

อะโรนอฟสกี้รู้สึกพอใจที่คอนเนลลี่ได้ใส่ความคิดมากมายลงไปในประสบการณ์ของนาอาเมห์ “เจนนิเฟอร์คือหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดที่ผมเลือกมาในภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะเธอสามารถที่จะขยายตัวละครของเธอออกไป และทำให้เรื่องนี้เต็มไปด้วยรายละเอียดมากขึ้น”

ทีมนักแสดงสมทบของ“Noah”

 NOAHที่มาร่วมทีมนักแสดงของ “Noah” ก็คือกลุ่มนักแสดงทั้งที่เป็นวัยเก๋าระดับคว้ารางวัล และนักแสดงรุ่นใหม่กำลังมาแรง ผู้นำทั้งอารมณ์และความเป็นมนุษย์ใส่ลงไปในความน่าตื่นตาที่แสนจับใจนี้ ในบท เมธูเซลาห์ ที่มีการกล่าวถึงในไบเบิ้ลว่าเป็นผู้ที่เชื่อมโยงอดัมกับโนอาห์ และยังเป็นชายผู้มีอายุยืนที่สุดในยุคสมัยของเขา ทางทีมผู้สร้างเลือกนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ แอนโธนี่ ฮอปกิ้นส์

“เรามองเมธูเซลาห์ว่าเป็นผู้คอยให้คำชี้แนะกับโนอาห์ ดังนั้นเราจึงต้องการคนที่มีความสุขุม และน่าไว้วางใจ แต่ก็ต้องมีความซุกซนอยู่ในตัว” แฮนเดลอธิบาย “แต่เขาก็เป็นมากกว่านั้น มีตำนานของยิวที่บอกว่าเมธูเซลาห์มีดาบที่จารึกชื่อมากมายของพระเป็นเจ้า เพราะเขาเคยสังหารปีศาจมา 10,000 ตน เราต้องการให้เมธูเซลาห์ของเรามีพลังมากแบบนั้น”

อะโรนอฟสกี้กล่าวเสริมว่า “การเลือกคนที่จะมาแสดงเป็นเมธูเซลาห์แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะคุณต้องหาคนที่สามารถเล่นเป็นคนแก่ที่สุดในโลกในแบบที่น่าสนใจได้ ฉะนั้นเมื่อ โทนี่ ฮอปกิ้นส์ เดินเข้ามา พวกเราทุกคนจึงตื่นเต้นกันมาก เขาสามารถทำให้ตัวละครตัวนี้ยืนติดดินได้เพราะเขาเป็นนักแสดงที่สุดยอดมาก”

คนที่มารับบท ทูบอล-คาอิน ศัตรูของโนอาห์ และยังเป็นลูกหลานของคาอิน ผู้สังหารเอเบล ก็คือ เรย์ วินสโตน นักแสดงชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีจากบทบาทในภาพยนตร์ของ มาร์ติน สกอร์เซซี่ เรื่อง “The Departed” และ “Hugo” ถึงแม้จะมีการกล่าวถึง ทูบอล-คาอิน ในหนังสือเจเนซิส แต่เขาไม่ได้ถูกรวมอยู่ในส่วนเรื่องราวของโนอาห์ แต่อะโรนอฟสกี้และแฮนเดลได้นำเขามาขึ้นจอด้วยเหตุผลพิเศษ “เขาผู้นี้คือชายที่เป็นลูกหลานของคาอิน ฆาตกรรายแรกของโลก และตัวเขาเองก็เป็นผู้หล่ออาวุธขึ้นในคัมภีร์ไบเบิ้ล” แฮนเดลอธิบาย “ดูเหมือนเขาเป็นคนที่เหมาะที่สุดที่จะทำหน้าที่เป็นผู้นำของลูกหลานของคาอิน ซึ่งเป็นตัวแทนของความชั่วร้ายและการคอรัปชั่นของมนุษย์”

วินสโตนคือตัวเลือกแรกมาตั้งแต่เริ่มต้น “เราต้องการคนที่คุณเชื่อได้ว่าสามารถเล่นงานเตะก้น รัสเซลล์ โครว์ ได้” อะโรนอฟสกี้กล่าวอย่างอารมณ์ดี “เขาเป็นชายตัวใหญ่ ทรหด ที่สูสีกับรัสเซลล์ พวกเขามีการหยัดยืนเผชิญหน้ากันที่ยิ่งใหญ่มาก”

ในการแสดงของเขา วินสโตนมองว่า ทูบอล-คาอิน คือชายที่มีความรู้ แต่มีข้อบกพร่อง และเขามีความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตรอด ไม่ว่าต้องทำเช่นไร “ผมมอง ทูบอล-คาอิน ว่าไม่ใช่คนเลว แต่เป็นมนุษย์ปุถุชนอย่างมาก” วินสโตน บอก “เขามีมุมมองของตัวเองที่แข็งแกร่งมาก”

วินสโตนกล่าวต่อไปว่า “ผมคิดว่าเขาทรมานนะ เพราะพระเจ้าไม่ยอมพูดกับเขา เขาเหมือนเด็กที่ถูกทิ้ง มีความอิจฉาริษยาเกิดขึ้นมากมายระหว่างเขากับโนอาห์ และยังมีความเศร้า ผมว่าเขาคือคนที่มาจากยุคเริ่มต้นที่นักรบต้องต่อสู้เพื่อที่ดิน ต้องต่อสู้เพื่อเหมืองแร่ ต้องต่อสู้เพื่อเนื้อสัตว์ และเขาก็มาถึงจุดที่เขาสงสัยว่า  ‘มันทำอะไรกับชีวิตของฉัน’”

แมรี่ พาเร้นท์ รู้สึกประทับใจในความซับซ้อนของวินสโตน “ทูบอล-คาอินคือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าทำไมพระเป็นเจ้าถึงเกิดข้อกังขาว่ามนุษย์จะเดินหน้าไปทางไหน มีฉากใหญ่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เขาเริ่มเปรียบเทียบตัวเองกับพระเจ้า และกลายเป็นความอวดดี แต่ขณะเดียวกัน วินสโตนก็นำความอ่อนแอมาสู่ตัวละครตัวนี้ จนคุณรู้สึกเห็นใจ ทูบอล-คาอิน คุณมองเห็นจากมุมมองของเขาว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ก็สมเหตุผล ขณะที่โนอาห์เคารพในทุกอย่างที่พระเจ้าสร้าง ทูบอล-คาอินกลับมองทุกอย่างเป็นสิ่งที่เขาต้องได้”

ลูกชายของโนอาห์ ได้แก่ เชม, ฮาม และจาเฟธ ผู้จะเติมเต็มให้กับโลกใหม่ รับบทแสดงโดยสามนักแสดงดาวรุ่งที่กำลังมาแรง โลแกน เลอร์แมน  ซึ่งได้รับคำชมในภาพยนตร์เรื่อง “Percy Jackson: The Lightning Thief” และ “The Perks of Being a Wallflower” รับบทเป็น ฮาม, ขณะที่นักแสดงหนุ่มรูปหล่อชาวอังกฤษ ขวัญใจสาวๆ ดักลาส บูธ ผู้เคยได้รับคำชมอย่างท่วมท้นจากการรับบทเป็น ปิ๊ป ในซีรีส์ของบีบีซี เรื่อง “Great Expectations” รับบทเป็น เชม และผู้ที่มารับบทเป็น จาเฟธ ก็คือ นักแสดงหน้าใหม่ ลีโอ คาร์โรลล์

ขณะที่ไบเบิ้ลไม่ได้บ่งบอกอายุที่แน่นอนของลูกชายของโนอาห์ แต่เชื่อว่าพวกเขาน่าจะมีอายุราวๆ 100 ปี “ในยุคสมัยที่มนุษย์มีอายุได้ถึง 900 ปี คนอายุ 100 ปีควรมีหน้าตาดูเป็นเช่นไร หรือถ้าอายุสัก 500 ปีล่ะ โนอาห์มีลูกตอนอายุ  500 ปี เขาสร้างเรือตอนอายุ 600 ปี และตายตอนอายุ 950 ปี” อะโรนอฟสกี้อธิบาย “ดังนั้นในเรื่องของเรา เมื่อ โนอาห์ สร้างเรืออยู่ เขาควรมีหน้าตาอยู่ในวัยขนาดไหน หรือผมควรจะมีหน้าตาเป็นยังไงตอนที่เราอายุ 500 ปี หรือเขาควรดูเหมือนคนที่อยู่มา 5 ใน 9 ส่วนของชีวิตแล้ว หรือถ้าจะให้บอก ก็คงเป็นผู้ชายวัยกลางคนหรือเปล่า และลูกๆ ของโนอาห์ ที่เพิ่งเกิดมาได้ 1 ใน 10 ของวงจรชีวิตมนุษย์ พวกเขาควรจะมีหน้าตาประมาณไหน สิ่งที่สำคัญก็คือ พวกเขาต้องยังดูเด็กเมื่อเทียบกับพ่อของเขา ยังคงต้องเรียนรู้ความเป็นชายจากหัวหน้าครอบครัว เราอยากให้คนดูรู้สึกเช่นนั้น”

ขณะที่โอกาสของการเป็นมนุษย์กลุ่มเดียวที่รอดชีวิตจากน้ำท่วมโลก เป็นเรื่องทำใจยากสำหรับโนอาห์และนาอาเมห์ มันยิ่งทำใจได้ยากยิ่งขึ้นอีกสำหรับลูกชายคนกลางของพวกเขาอย่าง ฮาม ที่จะยอมรับได้ “มันเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับในทุกวัย ที่คุณอยู่ท่ามกลางคนหยิบมือเดียวที่รอดจากหายนะทำลายมนุษยชาติ” รัสเซลล์ โครว์ อธิบาย “แต่เมื่อคุณพูดถึงชายหนุ่มที่เพิ่งจะเริ่มต้นชีวิต ผู้รู้สึกว่าพวกเขายังไม่เคยได้สัมผัสประสบการณ์อย่างที่พ่อแม่เคยเจอมา คุณก็ต้องมีช่วงเวลาที่คิดกบฎบ้าง”

และฮามก็กำลังมีช่วงเวลาคิดกบฏนั้น แต่เลอร์แมนมองตัวละครของเขาว่ามีแรงกระตุ้นจากความหวัง “โดยเทคนิคแล้ว เขาเป็นลูกที่ร้ายกาจมาก เพราะเขาตั้งคำถามในสิ่งที่พ่อบอก” เลอร์แมนอธิบาย “แต่ผมคิดว่าเขาเป็นเพียงเด็กที่มองหาคนที่เขาจะรักได้เท่านั้น”

เพื่อหาคนที่จะมาแสดงเป็นลูกชายคนเล็กของโนอาห์ นั่นก็คือ จาเฟธในวัย 10 ปี ทางทีมผู้สร้างเปิดออดิชั่นนักแสดงทั่วอเมริกา ในที่สุด การออดิชั่นนำไปสู่การค้นพบตัว ลีโอ คาร์โรลล์ ในชิคาโก้ “มีเด็กไม่มากนักหรอกที่คุณจะหาพบได้ โดยเป็นคนที่สามารถเข้ากับครอบครัวที่มี รัสเซลล์ โครว์ และเจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ เป็นพ่อแม่ได้” สก็อตต์ แฟรงกลิน กล่าว “แต่ลีโอมีความสามารถโดยธรรมชาติ และยังมีฝีมือในการแสดงอีกด้วย เขาทำให้รัสเซลล์ถึงกับร้อง ว้าว ในครั้งแรกที่พวกเขาอยู่หน้ากล้องด้วยกัน”

บูธอธิบายว่า เชม คือลูกชายที่รู้หน้าที่ที่สุดของโนอาห์ “เชมคือลูกชายที่ดีของพ่อตลอดแทบทั้งเรื่อง จนกระทั่งเมื่อถึงวินาทีสำคัญช่วงหนึ่ง” บูธกล่าว

แม้แต่สำหรับเชมแล้ว อนาคตที่พ่อของเขานำพาพวกเขาให้ต้องไปเผชิญ ก็ยังน่ากลัวอยู่ดี และบูธพยายามจินตนาการว่ามันจะเป็นเช่นไรเมื่อไปอยู่ในสถานะนั้นจริงๆ “ลองจินตนาการว่าถ้าคุณรู้ดีว่าคุณจะเป็นครอบครัวสุดท้ายบนโลกใบนี้ และคนอื่นๆ จะต้องตายกันหมดดูซิ” บูธกล่าว “มันเป็นเรื่องใหญ่มากเลยนะ และผมก็ชอบที่ดาร์เรนนำเสนอมันออกมาในรูปแบบที่เป็นส่วนตัวแบบนี้”

อารี แฮนเดล อธิบายต่อไปว่า “ไบเบิ้ลบอกเอาไว้ว่า โนอาห์ ลูกชายของเขา และภรรยาของลูกชาย ขึ้นไปบนเรือ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่องนี้ แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นในแบบที่น่าประหลาดใจและคาดไม่ถึง ในตอนจบของภาพยนตร์เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่า มีลูกชายสามคน ภรรยาสามคน และทุกคนอยู่บนเรือ แต่เราใช้รูปแบบที่ภรรยาเหล่านั้นก้าวเข้ามา และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเรื่องนั้น เป็นเสมือนหนทางที่ช่วยเพิ่มเรื่องราวอันเข้มข้นขึ้นให้กับคำถามที่ว่า ไม่ว่ามนุษย์จะดีหรือชั่วร้าย พวกเขาสมควรได้รับความเป็นธรรมหรือเมตตา ควรจะถูกกวาดล้างทำลายหรือควรจะถูกไว้ชีวิต คำถามเหล่านี้คือหัวใจของเรื่องราวของโนอาห์

ที่เข้ามาอยู่ในครอบครัวของโนอาห์ด้วยอีกคน ก็คือ อิล่า เด็กสาวลูกกำพร้าที่โนอาห์รับเลี้ยงเอาไว้หลังจากพบเธอถูกทิ้งให้นอนรอความตายอยู่ในค่ายผู้อพยพ กลายเป็นความผูกพันที่พิเศษระหว่างพวกเขาเมื่อเธอเติบโตเป็นหญิงสาวเต็มตัว ผู้รับบทนี้ก็คือ เอ็มม่า วัตสัน ผู้เป็นที่รู้จักดีในบท เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ จากภาพยนตร์ชุด “Harry Potter” ที่ได้รับความนิยม และเธอเริ่มรับบทที่โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นในภาพยนตร์อย่าง “My Week with Marilyn” และ “The Perks of Being a Wallflower”

“สำหรับอิล่า เรามองหาคนที่มีความไร้เดียงสาของเด็กหญิง แต่ขณะเดียวกันก็สามารถสร้างความประหลาดใจให้กับพวกเราด้วยความแข็งแกร่งแบบผู้ใหญ่ เอ็มม่านำลักษณะเช่นนั้นมาให้พวกเราได้จริงๆ” แฮนเดลกล่าว

“อิล่าคือตัวกระตุ้นของเรื่องนี้” พาเร้นท์กล่าวเสริม “เมื่อเธอเติบโตขึ้น มีเรื่องราวความรักกับเชม แต่ผลกระทบที่เธอมีต่อโนอาห์ และความศรัทธาของเขาให้อารมณ์เข้มข้นอย่างมาก”

วัตสันบอกว่าบทนี้พาเธอเข้าไปสัมผัสประสบการณ์ที่เป็นเรื่องใหม่สำหรับเธออย่างมาก “ฉันคิดเยอะมากกับเรื่องที่ว่ามันมีความหมายอย่างไรกับการเป็นผู้หญิงที่สามารถมีครอบครัวได้ และฉันคิดเยอะมากเกี่ยวกับชีวิตที่ทำให้อิล่าเป็นคนอย่างที่เธอเป็น การมีชีวิตอยู่อย่างยากจน และต้องเห็นเรื่องที่ชวนหดหู่ทั้งหลาย ฉันคิดว่ามันทำให้อิล่ารู้สึกสนิทกับโนอาห์ ผู้ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ และนำเธอมาอยู่ในครอบครัวของเขา เติมไฟให้กับความปรารถนาของเธอที่จะมีครอบครัวของเธอเอง ในภาพยนตร์เรื่องนี้ จะมีความรู้สึกของคนหลายรุ่น ความรู้สึกถึงครอบครัว และหลายสิ่งที่ถูกส่งตกทอดกันมา ซึ่งน่าสนใจอย่างมาก”

สำหรับวัตสัน วิธีการนำเสนอ โนอาห์ ของอะโรนอฟสกี้ น่าประหลาดใจ แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ประทับใจได้ เธอสรุปว่า “ฉันคิดว่าเมื่อคนส่วนใหญ่คิดถึงเรื่องของโนอาห์ พวกเขาแค่คิดถึงภาพสัตว์ที่เดินกันเป็นคู่ๆ แต่เรื่องที่เราเล่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ของครอบครัวนี้ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างโนอาห์ ภรรยาของเขา กับลูกๆ ดังนั้น ถึงมันจะเป็นภาพยนตร์เอพิคที่น่าทึ่งและมีขนาดงานสร้างใหญ่โต แต่มันก็มีความเป็นเรื่องใกล้ตัวและนุ่มนวลอย่างมาก”

งานสร้างเรือยักษ์

นับแต่เริ่มต้น ดาร์เรน อะโรนอฟสกี้ ได้ตัดสินใจเรื่องสำคัญ นั่นก็คือ เขาจะสร้างตั้งแต่ภาพร่างเรือจริงๆ โดยปรับให้เข้ากับวิธีการวัดที่เหมือนจริงในสิ่งที่โนอาห์ได้เขียนขึ้นมาก่อนจะลงมือสร้าง เขารู้ดีว่าเรือที่สร้างจากภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิคนั้น น่าจะเป็นงานง่ายกว่าเยอะ แต่อะโรนอฟสกี้รู้สึกว่ามันไม่มีทางทำให้คนดูรู้สึกตื่นเต้นกับการสัมผัสประสบการณ์ว่างานของโนอาห์นั้นยิ่งใหญ่แค่ไหนและเรือจะต้องดูโดดเด่นแค่ไหนในสายตาของชาวเมือง และข้อโต้แย้งมีอันตรายแค่ไหน แม้ว่าโนอาห์จะไม่เคยรวนเรกับความทุ่มเทของเขาก็ตาม

เรือที่น่าทึ่งลำนี้ที่เห็นกันในภาพยนตร์เรื่อง “Noah” อาจจะสร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนมากมายที่เคยเห็นเรือลำนี้ในรูปลักษณ์ของเรือทั่วๆ ไป อย่างไรก็ดี การค้นคว้าของอะโรนอฟสกี้นำเขาไปสู่อีกทิศทางหนึ่ง “ไอเดียของเราก็คือ การย้อนกลับไปถึงสิ่งที่มีการพูดถึงในไบเบิ้ล ซึ่งอธิบายถึงเรือเอาไว้ว่าเป็นกล่องสี่เหลี่ยม” อะโรนอฟสกี้อธิบาย เรื่องราวในเจเนซิสให้ข้อมูลจำเพาะในเรื่องความกว้าวยาวของเรือ นี่คือหนึ่งในไม่กี่จุดที่ได้บอกทิศทางเอาไว้ อะโรนอฟสกี้ปรับมันให้ใกล้เคียงกับในคัมภีร์ โดยใช้มันเป็นเหมือนพิมพ์เขียวสำหรับเรือที่เราได้เห็นในภาพยนตร์เรื่องนี้ “เรือที่เราได้เห็นตลอดหลายร้อยปีมานี้ จะเป็นเรือธรรมดา แต่อันที่จริงแล้ว เรือโนอาห์ไม่มีกระดูกงูเรือ เพราะมันไม่ต้องร่องไปไกล แค่ต้องรอดน้ำท่วมให้ได้ ดังนั้นเราจึงเปิดไบเบิ้ล และเราก็สร้างมันตามขนาดจริงๆ ที่ถูกอธิบายเอาไว้ ซึ่งมีขนาดใหญ่น่าประทับใจมาก”

เป็นเวลาหลายศตวรรษ มีการค้นหาซากที่เหลือของเรือลำนี้ในเทือกเขาระหว่างตุรกีและอาร์เมเนีย การสร้างเรือที่มีส่วนคล้ายกับเรือลำจริงทั้งให้ความรู้ และยังสร้างบรรยากาศที่ยากจะเลียนแบบได้ให้กับทั้งทีมนักแสดงและทีมงาน “ทีมนักแสดงสามารถที่จะจับกำแพงและป่ายปีนได้จริง” อะโรนอฟสกี้บอก “พวกเราทุกคนได้เรียนรู้เยอะมากจากการได้เห็นว่าเรือใหญ่ลำนี้อาจถูกสร้างขึ้นมาจริงๆ อย่างไร”

เพื่อออกแบบและสร้างเรือของโนอาห์ อะโรนอฟสกี้ได้ร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับโปรดักชั่น ดีไซเนอร์ มาร์ก ฟรีดเบิร์ก ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ได้รับรางวัลเอ็มมี่ จากผลงานของ HBO เรื่อง “Mildred Pierce” ฟรีดเบิร์กเริ่มต้นกระบวนการทำงานที่นานมากกว่าหนึ่งปีก่อนเริ่มต้นการถ่ายทำ โดยอย่างแรกมุ่งเน้นไปที่สัดส่วนก่อน “ในเจเนซิส ขนาดของเรือถูกบรรยายไว้ว่าสูง 30 ศอก กว้าง 50 ศอก และยาว 300 ศอก” ฟรีดเบิร์กอธิบาย “แต่มันมีทั้งหน่วยวัดศอกแบบอียิปต์และแบบเวนิส ดังนั้นเราจึงต้องเจาะลึกลงไปในประวัติศาสตร์เพื่อจะพยายามคิดเรื่องนี้ให้ออก”

ฟรีดเบิร์กระลึกอยู่เสมอว่าโนอาห์ไม่ได้มีเวลามากมายเพื่อจะสร้างสิ่งสวยงามไปอีกนาน เขาต้องการสิ่งที่จะต้องตอบสนองต่องานนี้ได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่างานนี้จะเป็นงานศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม “การสร้างเรือลำนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยความสิ้นหวัง” ฟรีดเบิร์กตั้งข้อสังเกต “ดังนั้นมันจึงไม่ใช่งานประดิษฐ์ ไม่ใช่เรือที่ดูสวยงาม มันคือวัตถุที่ตอบสนองต่อหน้าที่ เป็นเรือที่ทำให้สัตว์ยังคงลอยอยู่เหนือน้ำได้ขณะที่โลกเต็มไปด้วยน้ำ มันไม่ได้ต้องการหางเสือ เพราะคุณจะไปไหนได้ล่ะถ้าโลกมีแต่น้ำเต็มไปหมด”

ขณะที่หน้าที่การทำงานคือสิ่งสำคัญ อะโรนอฟสกี้และฟรีดเบิร์กยังได้รับแรงบันดาลใจจากงานศิลปะ โดยเฉพาะจินตนาการถึงหายนะของศิลปินชาวเยอรมัน อันเซลม์ คีเฟอร์ เจ้าของผลงานภาพและประติมากรรมที่เป็นแนวซิมโบลิสต์ เกิดมาจากวัสดุอย่างฟาง ขี้เถ้าและเกลือ “คีเฟอร์เคยพูดกับผมว่าเพราะผลงานของเขาเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสิ้นหวัง เกี่ยวกับความงาม และความโหดร้าย” ฟรีดเบิร์กเล่า

เมื่อได้แรงบันดาลใจจากคีเฟอร์ ฟรีดเบิร์กกล่าวต่อไปว่า “ดาร์เรนกับผมรู้สึกว่างานสร้างเรือลำนี้จะต้องเป็นงานหยาบและทำด้วยมือ ไม้จะไม่ได้ผ่านการเลื่อย แต่เป็นการทำให้หัก และถูกมัดติดกันด้วยสายหนัง ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้เรือลำนี้มีพลังชีวิต เป็นความรู้สึกว่าชะตากรรมกำลังใกล้เข้ามา วัตถุชิ้นนี้คือผลที่เกิดจากการทำงานอย่างรวดเร็ว เพื่อทำสิ่งที่พวกเขาจะสร้างให้มันรอดน้ำท่วมไปได้”

แค่การค้นหาวัสดุที่เหมาะสมก็ถือเป็นความท้าทายแล้ว ในไบเบิ้ล โนอาห์ได้รับคำสั่งให้ใช้ไม้โกเฟอร์ ซึ่งเป็นไม้พันธุ์ลึกลับที่คนยุคใหม่ไม่รู้จัก “เราไม่สามารถหาได้ในลองไอส์แลนด์” ฟรีดเบิร์กหัวเราะ “แต่สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดก็คือเรือลำนี้จะต้องดูเหมือนสร้างมาจากป่าที่งานสร้างเรือดำเนินอยู่ ดังนั้นเราจึงใช้โครงเหล็ก พื้นไม้ จากนั้นก็สร้างซุงท่อนใหญ่ที่จะใช้สร้างเรือ โดยทำจากโฟม”

เมื่องานออกแบบเสร็จสิ้น การก่อสร้างเริ่มต้นขึ้นที่ Planting Fields Arboretum State Park ในออยสเตอร์เบย์, ลองไอสแลนด์ ในทุ่งหญ้าที่ปกติถูกใช้ในการจัดงานอีเว้นท์ ทีมงานได้สร้างเรือขึ้นโดยใช้เวลานานถึงห้าเดือน ทีมงานหลายร้อยคนของฟรีดเบิร์กได้สร้างเรือขนาด 170 ฟุต หรือหนึ่งในสามของเรือโนอาห์ ขณะที่ส่วนที่เหลือเป็นงานของทีมวิชวลเอฟเฟ็กต์เมื่อถึงเวลาทำงานโพสต์โปรดักชั่น ขณะเดียวกัน เรือลำที่สองถูกสร้างขึ้นภายใน มาร์ซี่ อาร์โมรี่ ในบรูกลิน ซึ่งแต่เดิมเป็นโรงเก็บอาวุธยุทโธปกรณ์ของทางการ ที่นี่เป็นสถานที่สร้างฉากภายในเรือ

 

ระหว่างสร้าง ฟรีดเบิร์กตื่นเต้นอย่างมากที่ได้ดึงตัวศิลปินอีกสองคนที่มีอิทธิพลอย่างมากต่องานออกแบบเรือของโนอาห์ นั่นก็คือพี่น้องสตาร์น ซึ่งเป็นปฏิมากรชาวนิวยอร์กที่สร้าง “บิ๊ก แบมบู” โครงสร้างที่มีความซับซ้อนที่ทำขึ้นจากเสาไม้ไผ่จำนวนหลายพันต้น ซึ่งตั้งอยู่ที่ดาดฟ้าของพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิส แต่เริ่มเดิมที ฟรีดเบิร์กโทรศัพท์ไปหาพวกเขาเพื่อถามว่าพวกเขารู้จักผู้เชี่ยวชาญในการทำงานกับไม้ไผ่เพื่อสร้างโครงนั่งร้านของเรือไหม

“แล้วพวกเขาก็ขออาสาเอง” ฟรีดเบิร์กเล่า “ดั๊กกับไมก์ สตาร์ทก็เลยออกมาและสร้างโครงนั่งร้านไม้ไผ่ขนาดสูง 5 ชั้นขึ้นมา มันช่วยเพิ่มความสร้างสรรค์ให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ และยังเป็นแนวคิดที่ยอดเยี่ยมสำหรับคุณสมบัติของเรือลำนี้”

ภายในเรือถูกวางโครงสร้างไว้สามระดับ ตามที่เจเนซิสได้เขียนเอาไว้ “ชั้นล่างสุดคือส่วนของสัตว์เลือดอุ่นที่สูงที่สุด อย่างเช่นช้าง ยีราฟ และสัตว์ตัวใหญ่ๆ ขณะที่สัตว์เลื้อยคลานและแมลงจะอยู่ในชั้นกลาง ซึ่งมีความสูงแค่ 8 ฟุต และชั้นบนสุดก็คือชั้นของนกที่สูง 12 ฟุต และเป็นส่วนที่ครอบครัวของโนอาห์อาศัยอยู่กับนกทั้งหมด” ฟรีดเบิร์กอธิบาย

แทนที่จะสร้างแต่ละชั้นภายในเรือเคียงข้างกัน อย่างที่ปกติมักจะทำกันในโรงถ่าย อะโรนอฟสกี้กลับให้สร้างทับกันแบบเหมือนจริง เพื่อเพิ่มความเคลื่อนไหวของภาพ “มันทำให้เราสามารถเชื่อมต่อแต่ละชั้นในเรื่องของภาพได้ ดังนั้นคุณจึงสามารถเห็นได้ขณะที่ตัวละครเดินขึ้นลงผ่านชั้นต่างๆ” ฟรีดเบิร์กอธิบาย

ต่อมา ผู้กำกับภาพ แมทธิว ลิบาติค ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์จาก “Black Swan” เป็นผู้ใช้ประโยชน์จากโครงสร้างสามชั้นนี้มากที่สุด โดยมีอยู่บ่อยครั้งที่กล้องของเขาจะต้องเคลื่อนผ่านเรือไปพร้อมกับตัวละคร

การจัดแสงให้กับภายในเรือคือความลังเลใจอีกอย่างสำหรับทีมผู้สร้าง เพราะเจเนซิสได้เอ่ยเอาไว้ว่าเรือลำยักษ์ทั้งลำนี้มีหน้าต่างแค่บานเดียวเท่านั้น หลังจากถกเถียงพูดคุยกันแล้ว พวกเขาได้ตัดสินใจที่จะสร้างเตาขนาดใหญ่ขึ้นตรงกลางเรือ “เตาได้กลายมาเป็นแหล่งกำเนิดแสงหลักในระยะเวลา 40 วัน 40 คืนที่ไม่มีการเปิดออกไปสู่โลกภายนอกเลย” ฟรีดเบิร์กกล่าว “ดังนั้นเตานี้จึงให้แสงกับเรา ทำให้ตัวละครของเราได้ความร้อน และทำให้เราสามารถที่จะตัดส่วนตรงกลางของเรือได้ ดังนั้นเราจึงรู้สึกได้ถึงขนาดใหญ่ของเรือ”

เมื่อทีมนักแสดงและทีมงานได้เห็นสิ่งที่ มาร์ก ฟรีดเบิร์ก สร้างขึ้นครั้งแรก พวกเขาถึงกับอ้าปากค้าง “ผมไม่สนหรอกว่าพวกเขาจะเคยสร้างหนังเป็นร้อยๆ เรื่องมาก่อน แต่รับรองคนไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้แน่ ขนาดและความยิ่งใหญ่ของมัน และความมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครของมันแทบทำให้ช็อคเลย” แฮนเดลเล่า

อะโรนอฟสกี้กล่าวเสริมว่า “รายละเอียดภายในมันยิ่งเหลือเชื่อ เพราะเราสร้างสามชั้นของเรือลำนี้ มันเป็นฉากขนาดใหญ่ที่สุดที่มีการสร้างขึ้นในนิวยอร์ก เพราะสมัยนี้หนังไม่สร้างอะไรแบบนี้กันอีกแล้ว ดังนั้นมันจึงดูน่าตื่นเต้นมาก”

เหล่านักแสดงรู้สึกเกรงขาม และเหมือนหลุดไปในโลกของโนอาห์จริงๆ “ครั้งแรกที่ผมได้เห็นเรือของโนอาห์ มันคือประสบการณ์ มาร์กสร้างผลงานที่น่าทึ่งมาก” รัสเซลล์ โครว์บอก

ดักลาส บูธกล่าวเสริมว่า “สำหรับเราแล้ว การมีฉากมหัศจรรย์อย่างนี้มันน่าทึ่งมาก ดาร์เรนอยากให้มันดูดิบ และเราก็รู้สึกได้ เราได้กลิ่นมัน ทุกอย่างจริงไปหมด”

สัตว์บนเรือของโนอาห์

 ขณะที่เรือถูกสร้างขึ้นจริงๆ แต่บรรดาสัตว์ที่เดินขึ้นเรือเพื่ออพยพเอาชีวิตรอดนั้นเป็นส่วนผสมระหว่างงานดิจิตอลกับการปั้นสัตว์จำลองขึ้นมา ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้คนดูรู้สึกถึงภาพของสัตว์จำนวนหลายพันที่เดินขึ้นเรือไป “เมื่อคุณทำงานกับสัตว์ที่มีชีวิตจริงๆ คุณจะถูกกำจัดประเภทสัตว์ที่เอามาใช้ได้ และมันก็เป็นความรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวงในการดูแลพวกมัน” อะโรนอฟสกี้อธิบาย “ผมไม่ได้อยากให้เรือลำนี้ดูเหมือนสวนสัตว์สมัยใหม่ การสร้างสัตว์ด้วยดิจิตอลทำให้เรามีอิสรภาพในการแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของอาณาจักรสัตว์โลกได้มากขึ้น”

การสร้างสัตว์เริ่มต้นด้วยผลงานของศิลปินสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ เม้คอัพ ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์อย่าง เอเดรียน โมร็อท ผู้ทำให้โรงถ่ายเต็มไปด้วยหุ่นจำลองของสัตว์ต่างๆ ทั้งสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และนก ซึ่งต่อมาจะเคลื่อนไหวได้ด้วยเทคนิคการสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์ “เอเดรียนสร้างผลงานที่เป็นปรากฏการณ์ด้วยการสร้างสัตว์เหล่านี้ขึ้นมา” แมรี่ พาเร้นท์บอก “พวกมันดูเหมือนสามารถมีชีวิตขึ้นมาได้ทุกวินาที”

เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่รู้สึกประทับใจมากเมื่อเธอได้เห็นสัตว์บนเรือที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นหมาดๆ “มันน่าประทับใจมากพอๆ กับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติที่ฉันเคยไปดูมาเลย” เธอบอก

ขณะเดียวกัน เบน สโนว์ สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ จากบริษัทอินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ เมจิค (“Iron Man,” “King Kong”) เป็นผู้นำทีมงานที่ใช้เวลาหลายเดือนในการใช้พลังคอมพิวเตอร์เพื่อสร้างสัตว์ ทีมงานของสโนว์ได้ร่วมงานกับอะโรนอฟสกี้เพื่อนำเสนอสัตว์หลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งรวมถึงสัตว์ที่ปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปแล้ว “การสร้างสัตว์ทุกชนิด และมีหลายชนิดที่โดดเด่นมากซึ่งมีชีวิตอยู่ในยุคสมัยก่อนน้ำจะท่วม ทำให้เราต้องยกระดับเกมส์การทำงานของเราขึ้นไปอีก” สโนว์บอก

เมื่อพวกสัตว์ขึ้นมาอยู่บนเรือแล้ว พวกมันจะถูกทำให้อยู่ในสภาพหลับด้วยการใช้สมุนไพรพิเศษ เพื่อให้พวกมันอยู่ได้อย่างปลอดภัยตลอดการเดินทางอันยาวนาน “ปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการมีสัตว์เหล่านี้ทุกตัวมาอยู่ในพื้นที่เดียวกันถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก” อารี แฮนเดลบอก “แต่คนมากมายคิดถึงเรื่องนี้นานหลายปี และมีแนวคิดที่ว่าสัตว์ต่างๆ ถูกทำให้อยู่ในสภาพหลับเพื่อป้องกันสิงโตไม่ให้กินลูกแกะ เราทำให้มันคืบหน้าไปอีก ดังนั้นเมื่อพวกสัตว์ขึ้นไปอยู่บนเรือ พวกมันจะอยู่ในสภาพนอนหลับ จนกว่าจะถึงเวลาที่พวกมันจะออกมาอยู่ในโลกใหม่ได้”

เทพตกสวรรค์

 NOAHทีมงานของสโนว์ยังต้องเป็นผู้สร้างพวกว็อทเชอร์ขึ้นมาด้วยดิจิตอล จินตนาการสุดสร้างสรรค์ที่อะโรนอฟสกี้มีต่อเนฟิลิมที่ยิ่งใหญ่ ได้พูดถึงคานานในเจเนซิส “การออกแบบพวกว็อทเชอร์ถือเป็นความท้าทายอย่างใหญ่หลวง” สโนว์ให้ความเห็นเอาไว้ “และเราได้ตัวดีไซเนอร์แถวหน้าของวงการมาทำงานนี้ ตั้งแต่ แอรอน แม็คไบรด์ ที่ไอแอลเอ็ม จนถึงแอรอน ซิมม์ส ที่อยู่ในแอลเอ ในตอนแรก แซม เมสเซอร์ ซึ่งเป็นช่างปั้นชาวนิวยอร์ก ก็ช่วยทำให้เราได้แนวคิดพื้นฐานว่าพวกมันจะกลายไปเป็นอะไร”

อะโรนอฟสกี้กล่าวเสริมว่า “เนฟิลิมคือเทพเจ้าตกสวรรค์ที่มีการพูดถึงในไบเบิ้ลถึงหนึ่งย่อหน้า เราสร้างพวกเขาขึ้นมาเป็นพวกว็อทเชอร์ ซึ่งให้เสียงโดย แฟรงก์ แลงเจลล่า, มาร์ก มาร์โกลิส และนิค โนลเต้ พวกเขาคือสิ่งมีชีวิตสุดมหัศจรรย์ที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน”

ถึงแม้เหล่าสรรพสัตว์และพวกว็อทเชอร์จะช่วยเพิ่มองค์ประกอบด้านจินตนาการให้กับ “Noah” สโนว์กล่าวว่า สิ่งที่อะโรนอฟสกี้เน้นย้ำก็คือ ความสมจริงอย่างที่สุด เพื่อดึงคนดูให้เข้าสู่โลกของโนอาห์ราวกับมันมีชีวิตจริงๆ ที่นี่และตรงนี้

“ผมคิดว่าหนึ่งในการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมมากในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือการถ่ายทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ออกมาเหมือนจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” เขาตั้งข้อสังเกต “เมื่อคุณมีระดับความสมจริงขนาดนั้นแล้ว มันก็จะทำให้คุณมีรากฐานที่มั่นคง จนคุณสามารถที่จะใส่งานวิชวลเอฟเฟ็กต์เข้าไปได้ ด้วยวิธีนี้ ภาพจึงมีความน่าตื่นตา แต่ก็ไม่บดบังตัวเนื้อเรื่องไป ทุกอย่างมีไว้เพื่อสนับสนุนพลังหลัก นั่นก็คือเรื่องของโนอาห์และครอบครัวของเขา”

 

“Noah” ในไอซ์แลนด์

 

การหาโลเกชั่นเพื่อถ่ายทำภาพโลกก่อนน้ำท่วม อาจถือเป็นความท้าทาย แต่ในตอนแรก ดาร์เรน อะโรนอฟสกี้ บังเอิญไปพบสถานที่ที่เหมาะมากในระหว่างที่เขาเดินทางไปเที่ยวพักผ่อนในไอซ์แลนด์ ถึงแม้ไอซ์แลนด์อาจดูเป็นสถานที่สุดท้ายที่จะมีคนคิดถึงเมื่อพูดถึงเรื่องเอพิคในไบเบิ้ล แต่มันคือความจริงที่ว่าสภาพภูมิประเทศของที่นั่นให้ความรู้สึกใหม่และเต็มไปด้วยชีวิต ซึ่งทำให้อะโรนอฟสกี้รู้สึกสนใจ “เมื่อผมขับรถไปรอบๆ ผมคิดว่า ว้าว นี่ช่างเป็นภูมิประเทศที่เหมาะมากสำหรับ ‘Noah’ มันมีความรู้สึกเหมือนโลกในยุคโบราณ เพราะคุณสามารถมองเห็นความร้อนและไอน้ำผุดขึ้นมาจากพื้นได้” อะโรนอฟสกี้เล่า

สก็อตต์ แฟรงกลินเองก็หลงใหลในสภาพภูมิประเทศของไอซ์แลนด์เช่นกัน “เราไม่อยากใช้ลักษณะของเม็ดทรายสีเหลืองแบบเรื่องเอพิคยุคเก่า เราต้องการงานที่แตกต่าง” แฟรงกลินกล่าว “ไอซ์แลนด์มีสภาพภูมิประเทศที่งดงามจนมหัศจรรย์ มืด และแห้งแล้งที่เกิดจากลาวา แต่คุณสามารถที่จะขับรถไป 20 นาที และพบกับหุบเขาที่น่าทึ่งที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้และน้ำตก ซึ่งสามารถเป็นสวนอีเดนได้ เราไปลาดตระเวนดูในอีกหลายที่ แต่ไม่มีที่ใดที่ให้ผลดีได้เท่านี้เลย”

ในไอซ์แลนด์ มาร์ก ฟรีดเบิร์ก ช่วยนำชีวิตมาสู่สังคมมนุษย์ที่เต็มไปด้วยบาป จนนำไปสู่การถูกทำลาย “‘Noah’ ของเราเกิดขึ้นในที่ซึ่งสังคมต่างๆ กำลังล้มเหลว ผู้คนเที่ยวปล้นสะดมเพื่อเอาชีวิตรอด และบาปก็คือการไม่ต่อสู้กับอีกฝ่าย แต่เป็นการต่อสู้กับพระเป็นเจ้า” เขาอธิบายถึงแนวคิด

ไอเดียนี้ได้นำไปสู่การออกแบบค่ายที่เต็มไปด้วยความสับสนอลหม่านของ ทูบอล-คาอิน ที่อยู่เหนือจุดที่ โนอาห์ กำลังสร้างเรือ “ทูบอล-คาอินได้ข่าวเรื่องชายผู้นี้กำลังสร้างป้อมปราการขนาดใหญ่ จากนั้นเขาก็รู้แล้วว่ามันคืออะไร” ฟรีดเบิร์กอธิบาย “ผู้ติดตามเขาเริ่มไหลหลั่งมาจากทั่วโลก เมื่อพวกเขาได้ยินว่าโลกกำลังถึงกาลอวสาน ค่ายของเขาเกิดขึ้นจากซากปรักหักพังของเมืองที่ถูกทำลาย พวกเขาใช้ป้ายเก่าๆ มาสร้างเป็นเต้นท์”

ขณะถ่ายทำอยู่ในภูมิประเทศตามธรรมชาติของไอซ์แลนด์ อะโรนอฟสกี้ได้ประสานการทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้กำกับภาพ แมทธิว ลิบาติค พวกเขาใช้เทคโนโลยีล่าสุด รวมถึงการใช้กล้องสปายเดอร์แคม และกล้องเคเบิ้ลแคม เพื่อจับภาพอันยิ่งใหญ่แต่ยังคงให้ความรู้สึกใกล้ชิด และใช้กล้องแบบมือถือเพื่อพาคนดูเข้าไปใกล้มากขึ้น ฉากแอ็กชั่นที่จริงจังที่สุดหลายฉากเกี่ยวข้องกับทหารและผู้อพยพจำนวนหลายร้อยคนที่วิ่งหนีไปที่เรือเพื่อเอาชีวิตรอด “ฉากต่อสู้ในเวลากลางคืนเหล่านี้มันตึงเครียดมาก” สก็อตต์ แฟรงกลินกล่าว “พวกตัวประกอบที่เราคัดเลือกไว้ในนิวยอร์กก็สุดยอดมาก และทีมสตั๊นต์ก็ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมมาก”

 

 

การสร้างเม็ดฝน

 

            ขณะที่โนอาห์สร้างเรือใกล้เสร็จ ท้องฟ้าเริ่มดำมืด ประตูน้ำถูกเปิดออก และฝนที่ตกหนักที่สุดเท่าที่โลกเคยสัมผัสมา ตกลงใส่แผ่นดินโลกนาน 40 วัน 40 คืน งานสร้างสภาพอากาศที่ไม่เคยพบมาก่อนในแบบที่จะต้องให้ความรู้สึกสมจริงและทรงพลังที่สุดสำหรับคนดู ตกเป็นหน้าที่ของ สเปเชียล เอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ เบิร์ต ดัลตัน เจ้าของรางวัลออสการ์จาก “The Curious Case of Benjamin Button”

“เราต้องการฝนที่มีจำนวนมหาศาลตามแบบไบเบิ้ล” ดัลตันกล่าว “ดาร์เรนต้องการให้มันยิ่งใหญ่กว่าทุกอย่างที่เคยมีมา ดังนั้น เราจึงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อทำให้สำเร็จ เราทำการทดลองให้เขาดู แล้วเขาก็พูดว่า ‘มันยังหนักไม่พอ’ แล้วเราก็ทำการทดลองอีก เขาก็ยังคงพูดว่า ‘ต้องหนักกว่านี้’ เขาอยากให้มันหนักเสียจนผู้คนยากที่จะมองเห็นหรือพูดได้ และเราก็ทำได้สำเร็จจริงๆ”

งานเริ่มต้นด้วยการฝังระบบท่อน้ำไว้ใต้ทุ่งที่อาร์บอรีทั่ม ที่ซึ่งเป็นสถานที่สร้างเรือ “การจะหาน้ำมาใช้ได้ขนาดนั้น เราต้องใช้ปั้มใหญ่ถึงสองตัวที่ตั้งอยู่ด้านหลังเรือ โดยมีแท้งก์น้ำขนาด 22,000 แกลลอนจำนวน 5 แท้งก์ ที่คอยส่งน้ำเข้าปั้ม จากตรงขอบรอบๆ ลำเรือไปจนถึงรอบทุ่งหญ้าแห่งนั้นเราได้วางท่อ 12 นิ้วที่ยาวถึง  3000 ฟุต นั่นคือท่อส่งน้ำที่ใหญ่มากกว่าที่คุณใช้ฝังตามถนนไปยังบ้านคุณอีกนะ” ดัลตันบอก

ท่อเมนยังส่งน้ำไปยังเครน ซึ่งแต่ละอันจะมีน้ำหนักถึง 300 ตันที่ช่วยประคองท่อน้ำฝนจำนวน 6 ท่อที่สั่งทำเป็นพิเศษ โดยแต่ละอันมีความยาว 100 ฟุต และกว้าง 50 ฟุต โดยมีหัวฉีดน้ำขนาดแตกต่างกันไป “เราสามารถควบคุมหัวฉีดแต่ละตัวผ่านทางไอแพ็ดได้” ดัลตันอธิบาย “เราสามารถปล่อยน้ำฝนเม็ดใหญ่ น้ำฝนเม็ดเล็ก ละอองฝน โดยอิงจากหัวฉีด และเมื่อปล่อยน้ำทั้งสามเครนให้ทำงาน จะมีฝนตกมากถึง 5,000 แกลลอนต่อนาที หรือเป็นสามเท่าของฉากฝนตกทั่วไป ผมคงจะบอกว่ามันคือการทำลายสถิติในเรื่องของความหนาแน่นเลยทีเดียว”  (น้ำยังถูกนำมารีไซเคิลใช้ใหม่ เพื่อไม่ให้เสียน้ำไปเปล่าๆ)

ขณะเดียวกัน ผู้กำกับภาพ ลิบาติค ยังมองหาวิธีที่จะเก็บภาพของเหล่านั้นท่ามกลางฤดูร้อนของนิวยอร์กที่แสนสดใส รวมถึงมีการถ่ายทำในเวลากลางคืนด้วย “แต่คุณจะถ่ายกลางคืนให้ออกมาเหมือนมันมีเมฆหนาปกคลุมได้อย่างไร แม็ตตี้คิดไอเดียเจ๋งๆ ขึ้นมา” ดัลตันเล่า “เพราะพวกเราสร้างโครงสร้างขนาดใหญ่สำหรับสร้างเม็ดฝน เขาก็เลยคิดไอเดียด้วยการทำแสงภายในลูกโป่งฮีเลี่ยม เพื่อที่ว่ามันจะส่งแสงนุ่มๆ ออกมาเหมือนในวันที่มีเมฆฝน”

ในไม่ช้า การจู่โจมของฝนได้นำไปสู่เหตุน้ำทะเลท่วมขนาดใหญ่ ซึ่งกลายมาเป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับวิชวลเอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ เบน สโนว์ “ดาร์เรนต้องการสิ่งที่ไม่เหมือนใครจริงๆ” สโนว์ให้ความเห็นไว้ “เราจึงพิจารณาภาพวาดน้ำท่วมโลกคลาสสิกมากมาย และมีผลงานที่ให้แรงบันดาลใจอย่างมาก แต่ไอเดียของเราก็คือการไม่ทำซ้ำกับสิ่งที่คุณเคยเห็นมาก่อน เราอยากให้น้ำท่วมเป็นมากกว่ากำแพงน้ำที่พุ่งตรงมาหาคุณ และผลที่ได้ก็น่าตื่นเต้นมาก”

 

การแต่งกายให้โนอาห์

 

เพื่อให้ “Noah” มีชีวิตชีวามากขึ้น ดาร์เรน อะโรนอฟสกี้ได้ทำงานกับผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ไมเคิล วิลกินสัน ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในปีนี้จากภาพยนตร์เรื่อง “American Hustle” เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่แปลกใหม่แต่ได้บรรยากาศให้กับเสื้อผ้ายุคโบราณของภาพยนตร์เรื่องนี้ “มีการพูดคุยกันถึงเรื่องเสื้อผ้าเยอะมาก” วิลกินสันเล่า “เราพิจารณาวัฒนธรรมโบราณ แต่เราก็มองดูพวกเสื้อผ้ากลางแจ้งสมัยใหม่ที่มีความไฮเทคด้วย และเมื่อคุณผสมอิทธิพลของสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกัน มันให้ผลลัพธ์เป็นงานที่โดดเด่นอย่างมาก”

เพื่อให้ความรู้สึกถึงรายละเอียดของภาพยนตร์เรื่องนี้ วิลกินสันและทีมงานของเขาพยายามค้นหาเนื้อผ้าที่เหมาะสม “เราศึกษาเรื่องไฟเบอร์ที่ทำตามแบบโบราณ และผ้าทอตามบ้าน แต่เรายังทำงานกับศิลปินสิ่งทอน่าทึ่งหลายคนเพื่อสร้างเนื้อผ้าชนิดใหม่ขึ้นมา” วิลกินสันอธิบาย

สำหรับโนอาห์ วิลกินสันต้องการภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเขาเปลี่ยนจากการเป็นพ่อวัยหนุ่ม ไว้ผมยาว ไปเป็นชายที่โกนศีรษะเพื่อให้เหมาะกับผู้มีภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ ต่อมา โนอาห์สวมใส่เสื้อผ้าที่หนาหนักขึ้นเพื่อป้องกันตัวเองจากสภาพอากาศเย็นชื้นภายในเรือ และเมื่อภารกิจของเขาสำเร็จลงแล้ว เขาก็เริ่มแต่งกายในสภาพที่ยับยู่ยี่มากขึ้น “เสื้อผ้าของเขาอยู่ในสภาพที่เก่ามากแล้วในตอนนั้น ผมก็ยาวจนไม่เป็นทรง” วิลกินสันอธิบาย

ทูบอล-คาอิน แตกต่างจากโนอาห์ เขาสวมใส่เสื้อที่ทำจากหนังและเกราะโลหะ อาวุธจะอยู่ในตำแหน่งที่เขาเอื้อมหยิบได้เสมอ “เขาเป็นนักรบที่น่าเกรงขามและดุดัน ดังนั้นเขาจึงมีเสื้อคลุมยาว และเกราะ เนื้อผ้าก็จะแตกต่างไปจากของโนอาห์และครอบครัว” วิลกินสันบอก

วินสโตนใช้เวลาหลายชั่วโมงบนเก้าอี้แต่งหน้าในแต่ะวัน โดยต้องทำงานกับ เอเดรียน โมร็อท ผู้แต่งแผลเป็นจากการทำศึกให้กับทูบอล-คาอิน และเส้นผมที่ยาวเกือบจะถึงพื้น ที่เพิ่มเข้ามาในภาพลักษณ์ที่ดูดุดันของทูบอล-คาอิน ก็คือสีเหลืองสดที่ปลายผมยาวของเขา “มันเป็นสีของกำมะถันที่บ่งบอกถึง โซฮาร์ เชื้อเพลิงที่พวกเขาใช้สำหรับจุดไฟ” วิลกินสันอธิบาย

ขณะที่โนอาห์และครอบครัวใส่เสื้อผ้าสีเอิร์ธโทน วิลกินสันได้เพิ่มสีม่วงและเนื้อผ้าที่นุ่มมือกว่าให้กับเสื้อผ้าของนาอาเมห์ ซึ่งเป็นการทำตามคำบรรยายถึงภรรยาสีม่วงใน  Proverbs 31 “สำหรับนาอาเมห์ เราใช้ไหมจีนที่ถูกรวมเข้ากับเนื้อผ้าแบบอื่นๆ จากนั้นก็ทำให้มันเก่า จนให้เนื้อผ้าแบบธรรมชาติที่ดูสวยงาม” วิลกินสันอธิบาย

ความท้าทายของแผนกเสื้อผ้ามากเกินกว่าการจัดหาเสื้อผ้าให้นักแสดงหลักเท่านั้น “เรามีตัวประกอบอีก 400 คนที่เราต้องคิดเสื้อผ้าให้ เราต้องทำเสื้อผ้าให้พวกเขาแต่ละคนจากภาพร่าง” วิลกินสันบอก “เสื้อจำนวนหนึ่งถูกทำขึ้นในนิวยอร์ก และอีกจำนวนหนึ่งถูกทำขึ้นในโมร็อคโค ที่ซึ่งเราต้องสั่งทำรองเท้าและรองเท้าบู้ตจำนวน 400 คู่ มันเป็นงานใหญ่มากๆ”

คำว่า “งานใหญ่มาก” อาจเป็นบทสรุปของงานสร้างทั้งหมด แต่ยังมีความงดงามที่เรียบง่ายแฝงอยู่ภายใต้ความหมายทั้งหมด นักร้อง/ นักแต่งเพลง แพ็ตตี้ สมิธ ผู้ทำเพลงแนวลัลลาบายให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ เล่าถึงวันพิเศษวันหนึ่งเมื่อเธอเดินทางไปเยือนกองถ่ายในไอซ์แลนด์เพื่อหาแรงบันดาลใจ จู่ๆ ทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างน่าตื่นตะลึง

“ฉันยืนอยู่ที่นั่น ในค่าย แล้วฝนก็ตกมาสักพักแล้ว จากนั้นพระอาทิตย์ก็ส่องแสง ฉันคิดว่า  ‘โอ้ คงจะสวยมากถ้าเกิดมีรุ้งจริงๆ’” เธอเล่า พร้อมกับนึกภึงสายรุ้งที่เกิดขึ้นในเจเนซิส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ถึงพันธกิจที่มิอาจทำลายได้ระหว่างโนอาห์และพระเจ้า “แล้วจู่ๆ ตอนที่ฉันยืนอยู่ที่นั่น ก็เกิดรุ้งขึ้นมาจริงๆ ฉันรู้สึกว่ามีคนมาแตะฉันที่บ่า พอฉันหันกลับไป เขาคือรัสเซลล์ โครว์ ฉันคิดว่านี่เป็นสัญญาณอันงดงามว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะต้องเป็นภาพยนตร์ที่ทรงพลังอย่างมาก”

 

ประวัตินักแสดง

รัสเซลล์ โครว์ (RUSSELL CROWE) รับบท โนอาห์

รัสเซลล์ โครว์คือนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงที่เก่งที่สุดในยุคนี้ บทบาทการแสดงที่ได้รับการยกย่องของโครว์ รวมถึงการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 3 ปีติดต่อกัน จากภาพยนตร์ดราม่าปี 1999 ที่ได้รับคำชมเรื่อง “The Insider”; ภาพยนตร์รางวัลออสการ์ปี 2000 เรื่อง “Gladiator” ซึ่งโครว์ได้ออสการ์กลับบ้านไปครอง และภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปี 2001 เรื่อง “A Beautiful Mind”

นอกจากรางวัลออสการ์แล้ว การรับบท แม็กซิมัส ของโครว์ ในภาพยนตร์ของ ริดลี่ย์ สก็อตต์ เรื่อง Gladiator” ยังทำให้เขาได้รับรางวัลดารานำชายยอดเยี่ยมจากอีกหลายสมาคมนักวิจารณ์ เขายังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ รางวัลบัฟต้า และรางวัลจากสมาคมนักแสดง

หนึ่งปีก่อนหน้านั้น โครว์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ครั้งแรกจากบท เจฟฟรีย์ ไวแกนด์ ในภาพยนตร์ดราม่าของ ไมเคิล มานน์ ที่สร้างจากเรื่องจริง อย่างเรื่อง “The Insider”

การรับบทเป็น จอห์น ฟอร์บส์ แนช จูเนียร์ เจ้าของรางวัลโนเบล ในภาพยนตร์ของ รอน ฮาวเวิร์ด เรื่อง “A Beautiful Mind” ทำให้โครว์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งที่ 3 รวมถึงรางวัลอื่นๆ และเมื่อเขากลับมาร่วมงานกับ ฮาวเวิร์ด ในปี 2005 โครว์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ และรางวัลจากสมาคมนักแสดง และได้รับรางวัลจากสถาบันภาพยนตร์ออสเตรเลียน (AFI) จากการรับบทเป็น จิม แบร็ดด็อก ในภาพยนตร์เรื่อง “Cinderella Man”

เมื่อเร็วๆ นี้ โครว์รับบทเป็น จอร์เอล พ่อของซูเปอร์แมน ในภาพยนตร์ของ แซ็ค สไนเดอร์ เรื่อง “Man of Steel”; รับบทเป็นผู้ตรวจการ ฮาเวิร์ต ในภาพยนตร์เพลงของ ทอม ฮูเปอร์ เรื่อง “Les Miserables” และรับบทเป็น ผู้พันฮอสเท็ตเลอร์ ในภาพยนตร์ของ อัลเลน ฮิวจ์ส เรื่อง “Broken City” ปัจจุบัน เขาอยู่ระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์ที่เป็นผลงานการกำกับเรื่องแรกของเขา เรื่อง “The Water Diviner” ซึ่งเขานำแสดงเองด้วย

โครว์เกิดในนิวซีแลนด์ แต่ไปเติบโตในออสเตรเลีย เขาเริ่มประเดิมงานแสดงภาพยนตร์อเมริกันเรื่องแรก ในปี 1995 ในภาพยนตร์ของ แซม ไรมี่ เรื่อง “The Quick and the Dead” เขาได้รับคำชมอย่างท่วมท้นจากบทบาทในภาพยนตร์ดราม่าอาชญากรรมของ เคอร์ติส แฮนสัน เรื่อง “L.A. Confidential” ผลงานภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ของเขา ได้แก่  “Mystery, Alaska,” “Heaven’s Burning,” “Virtuosity,” “The Sum of Us,” “For the Moment,” “Love in Limbo,” “The Silver Brumby,” “The Efficiency Expert” และ “Prisoners of the Sun”

เขาแสดงนำในภาพยนตร์มากมายหลากหลายแนว อาทิเช่น ภาพยนตร์ที่ ริดลี่ย์ สก็อตต์ เป็นผู้กำกับ เรื่อง “A Good Year,” “American Gangster,” “Body of Lies” และ “Robin Hood” นอกจากนี้ เขายังสาดงนำในภาพยนตร์ของ ปีเตอร์ เวียร์ เรื่อง “Master and Commander: The Far Side of the World” ซึ่งทำให้โครว์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ; ภาพยนตร์ของ เทย์เลอร์ แฮ็คฟอร์ด เรื่อง “Proof of Life”; “3:10 to Yuma” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ คริสเตียน เบล; ภาพยนตร์ของ เควิน แม็คโดนัลด์ เรื่อง “State of Play” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ เบน อัฟเฟล็ค; ภาพยนตรของ พอล แฮ็กกิส เรื่อง “The Next Three Days” และภาพยนตร์ของ รีซ่า เรื่อง “The Man with the Iron Fists”

 

เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ (JENNIFER CONNELLY) รับบท นาอาเมห์

นักแสดงหญิงเจ้าของรางวัลออสการ์ เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ ยังคงแสดงฝีมือในการแสดงในบทบาทที่หลากหลายในทุกโปรเจ็กต์ใหม่ที่เธอรับแสดง

เจนนิเฟอร์แสดงนำในภาพยนตร์เรื่องใหม่ของ คลอเดีย โลซ่า เรื่อง “Aloft” ซึ่งเปิดตัวฉายไปในเดือนกุมภาพันธ์ ที่งานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลิเนล เธอได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากการรับบทเป็น นาน่า เอฟรอน ภาพยนตร์เรื่องนี้จะจัดจำหน่ายโดย โซนี่ คลาสสิก พิคเจอร์ส

เมื่อเร็วๆ นี้ คอนเนลลี่เพิ่งเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “Shelter” ซึ่งเขียนบทและกำกับโดย พอล เบ็ตตานี่ย์ และเธอร่วมแสดงกับ แอนโธนี่ แม็คคี

ภาพยนตร์เรื่องแรกของ คอนเนลลี่ คือ ภาพยนตร์ของ เซอร์จิโอ ลีโอเน่ เรื่อง “Once Upon A Time in America” ในปี 1984 ถึงแม้ว่าบทบาทที่แจ้งเกิดให้กับเธอ คือบท “ซาร่าห์” ในภาพยนตร์เรื่อง “Labyrinth” ซึ่งเธอประกบบทแสดงกับ เดวิด โบวี่ ในปี 1986 เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Independent Spirit Award จากบทคนติดยาในภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมของ ดาร์เรน อะโรนอฟสกี้ เรื่อง “Requiem for a Dream” ในปี 2000 เธอยังได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ, รางวัลบัฟต้า, รางวัล AFI, รางวัลจากสมาคม Broadcast Critics และรางวัลออสการ์ จากภาพยนตร์ของ รอน ฮาวเวิร์ด เรื่อง “A Beautiful Mind” (2001) ซึ่งเธอประกบบทกับ รัสเซลล์ โครว์

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของคอนเนลลี่ ได้แก่ ภาพยนตร์ของ ดาริโอ อาร์เจนโต้ เรื่อง “Phenomena” (1985); ภาพยนตร์ของ เดนนิส ฮ็อปเปอร์ เรื่อง “The Hot Spot” (1990); ภาพยนตร์ของ โจ จอห์นสตัน เรื่อง “The Rocketeer” (1991) ซึ่งเธอร่วมแสดงกับ บิลลี่ แคมป์เบลล์, อลัน อาร์กิ้น และทิโมธี่ ดัลตัน; ภาพยนตร์ของ จอห์น ซิงเกินตัน เรื่อง “Higher Learning” (1995); ภาพยนตร์ของ ลี ทามาโฮรี่ เรื่อง “Mulholland Falls” (1996) ซึ่งเธอร่วมแสดงกับ นิค โนลเต้ และเมลานี่ กริฟฟิธ; ภาพยนตร์ของ อเล็กซ์ โปรยาส เรื่อง “Dark City” (1998) ที่เธอร่วมแสดงกับ รูฟัส ซีเวลล์, วิลเลี่ยม เฮิร์ต และคีเฟอร์ ซุทเธอร์แลนด์; ภาพยนตร์ของ คีธ คอร์ดอน เรื่อง “Waking the Dead” (2000) ที่เธอร่วมแสดงกับ บิลลี่ ครูดัพ; ภาพยนตร์ของ เอ๊ด แฮร์ริส เรื่อง “Pollock” (2000) ซึ่งเธอร่วมแสดงกับ เอ๊ด แฮร์ริส, มาร์เซีย เกย์ ฮาร์เด้น และทอม โบเวอร์; ภาพยนตร์ของ อัง ลี เรื่อง “Hulk” (2003) ซึ่งเธอประกบบทกับ เอริค บาน่า; ภาพยนตร์ของ วาดิม เพอเรลแมน เรื่อง “House of Sand and Fog” (2003) ซึ่งเธอร่วมแสดงกับ เบน คิงสลี่ย์; ภาพยนตร์ของ วอลเตอร์ ซอลล์ส เรื่อง “Dark Water” (2005) ซึ่งเธอประกบบทกับ จอห์น ซี รีลลี่ย์; ภาพยนตร์ของ ท็อดด์ ฟิลด์ เรื่อง “Little Children” (2006) ซึ่งเธอร่วมแสดงกับ เคท วินสเลต และแพทริค วิลสัน; ภาพยนตร์ของ เอ๊ดเวิร์ด ซวิค เรื่อง “Blood Diamond” ซึ่งเธอร่วมแสดงกับ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ และจิมอนด์ ฮอนชู; ภาพยนตร์ของ เทอร์รี่ จอร์จ เรื่อง “Reservation Road” (2007) ที่เธอร่วมแสดงกับ ฮาคิน ฟีนิกซ์ และแอล แฟนนิ่ง; ภาพยนตร์ของ สก็อตต์ เดอร์ริคสัน เรื่อง “The Day the Earth Stood Still” (2008) ซึ่งเธอร่วมแสดงกับ คีอานู รีฟส์; ภาพยนตร์ของ เคน วาพิส เรื่อง “He’s Just Not That Into You” (2009) ที่เธอร่วมแสดงกับ เจนนิเฟอร์ อนิสตัน, มอร์แกน ลิลี่, สการ์เล็ตต์  โจแฮนส์สัน, แบร็ดลี่ย์ คูเปอร์, เบน อัฟเฟล็ค และจัสติน ลอง; ภาพยนตร์ของ จอน เอมีลส์ เรื่อง “Creation” (2009) ซึ่งเธอประกบบทกับ พอล เบ็ตตานี่ย์; ภาพยนตร์ของ ดัสติน แลนซ์ แบล็ค เรื่อง “Virginia” (2010) ที่เธอร่วมแสดงกับ เอ๊ด แฮร์ริส, แคร์รี่ เพรสตัน และแฮร์ริสัน กิลเบิร์ตสัน; ภาพยนตร์ของ รอน ฮาวเวิร์ด เรื่อง “The Dilemma” (2011) ที่เธอร่วมแสดงกับ วินซ์ วอห์น, เควิน เจมส์ และไวโนน่า ไรเดอร์, ภาพยนตร์เรื่อง “Stuck in Love” ที่เธอร่วมแสดงกับ เกร็ก คินเนียร์ และภาพยนตร์ของ อากิว่า โกลด์สแมน เรื่อง “Winter’s Tale”

 

เรย์ วินสโตน (RAY WINSTONE) รับบท ทูบอล-คาอิน

เรย์ วินสโตน นักแสดงชายชาวอังกฤษจะแสดงนำในภาพยนตร์แอ็กชั่นทริลเลอร์เรื่องใหม่เรื่อง “The Gunman” ที่กำกับโดย ปิแอร์ โมเรล และสร้างจากนิยายของ ฌอน-แพทริค แมนเช็ตต์ ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดย ฌอน เพนน์, ฮาเวียร์ บาร์เด็ม, ไอดริส เอลบา และมาร์ก ไรแลนซ์

เรย์ วินสโตนเกิดในแฮ็คนี่ย์ ทางตะวันออกของลอนดอน เขาเริ่มต้นชกมวยตอนอายุ 12 ปี เคยเป็นแชมเปี้ยนมวยระดับโรงเรียนประจำลอนดอนถึงสามสมัย เขาเรียนการแสดงที่ Corona School ก่อนที่ อลัน คลาร์ก จะเลือกเขาให้มาร่วมแสดงในผลงานเรื่อง “Scum” ทำให้เขาเริ่มมีชื่อเสียงและมีผลงานทั้งซีรีย์ทางทีวีและภาพยนตร์มากมาย ก่อนที่จะได้รับบทที่ถือว่าดีที่สุดบทหนึ่งในชีวิตนักแสดงของเขา ด้วยการประกบบทกับ เบน คิงสลี่ย์ ในเรื่อง “Sexy Beast”

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ “Cold Mountain”, “King Arthur”, “The Proposition”, ภาพยนตร์รางวัลออสการ์ เรื่อง “The Departed” ซึ่งกำกับโดย มาร์ติน สกอร์เซซี่, ภาพยนตร์ของ แอนโธนี่ มิงเกลล่า เรื่อง “Breaking and Entering”, รับบทนำในภาพยนตร์ของ โรเบิร์ต เซเมคคิส เรื่อง “Beowulf” และภาพยนตร์ของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก เรื่อง “Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull” และเมื่อไม่นานมานี้เขาได้ประกบบทกับ ชาร์ลิซ เธียรอน ในภาพยนตร์เรื่อง “Snow White and The Hunstman” และร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “The Sweeney”

 

เอ็มม่า วัตสัน (EMMA WATSON) รับบท อิล่า

เอ็มม่า วัตสัน ยังคงสร้างผลงานการแสดงอันน่าประทับใจ ที่แสดงให้เห็นถึงฝีมือในฐานะนักแสดง หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจการแสดงภาพยนตร์ชุด “Harry Potter”

ในปี 2011 คนดูได้เห็น เอ็มม่า ในภาพยนตร์ของ ไซม่อน เคอร์ติส เรื่อง “My Week With Marilyn” ซึ่งเธอร่วมแสดงกับทีมนักแสดงระดับเข้าชิงออสการ์ อย่าง มิเชลล์ วิลเลี่ยมส์ ผู้รับบทเป็น มาริลิน มอนโร และเคนเนธ บรานาห์ ผู้รับบทเป็นเซอร์ลอว์เรนซ์ โอลิเวียร์

ปีที่แล้ว เอ็มม่าร่วมแสดงในภาพยนตร์ของ สตีเฟ่น ชโบสกี้ เรื่อง “The Perks of Being a Wallflower” โดยเธอนำแสดงร่วมกับ โลแกน เลอร์แมน และอีซร่า มิลเลอร์

เมื่อซัมเมอร์ที่แล้ว เอ็มม่าแสดงนำในภาพยนตร์ของ โซเฟีย ค็อปโปล่า เรื่อง “The Bling Ring” โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงจากเหตุการณ์จริง เรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่นที่หลงใหลในแฟชั่นและความมีชื่อเสียง และพวกเขาเข้าปล้นบ้านของคนดังในลอสแองเจลิส เอ็มม่ายังร่วมแสดงในบทรับเชิญ โดยรับบทเป็นตัวเธอเองในภาพยนตร์ตลกของ เซ็ธ โรเก้น เรื่อง “This Is The End”

วัตสันมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีจากการรับบทเป็น เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ ในภาพยนตร์ “Harry Potter” ที่มีถึง 8 ตอนด้วยกัน การแสดงของเธอในภาพยนตร์ภาคแรก  “Harry Potter and the Sorcerer’s Stone” ทำให้เธอคว้ารางวัล Young Artist Award for Best Leading Young Actress

 

เซอร์แอนโธนี่ ฮ็อปกิ้นส์ (SIR ANTHONY HOPKINS) รับท เมธูเซลาห์

เซอร์แอนโธนี่ ฮ็อปกิ้นส์คือนักแสดงชาวเวลช์ที่มีผลงานมากมายทั้งทางด้านภาพยนตร์ ละครเวที และทีวี โดยในปี 1968 เขาได้แจ้งเกิดในภาพยนตร์เรื่อง “The Lion in Winter” ซึ่งเขาแสดงเป็นพระเจ้าริชาร์ดที่ 1

ฮ็อปกิ้นส์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงที่เก่งกาจที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นที่รู้จักดีจากการรับบทเป็น ฮันนิบาล เล็คเตอร์ ในภาพยนตร์เรื่อง “The Silence of the Lambs” (1991) ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลออสการ์ ดารานำชายยอดเยี่ยม และเขายังรับบทเดียวกันนี้ในภาพยนตร์ภาคต่อ “Hannibal” และ “Red Dragon” ต่อมา เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในสาขาเดียวกันนี้จากภาพยนตร์เรื่อง “The Remains of the Day” (1993) และ “Nixon” (1995) และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในสาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง “Amistad” (1998) เขายังได้รับรางวัลบัฟต้า ดารานำชายยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง “The Remains of the Day” ผลงานภาพยนตร์ที่น่าประทับใจเรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ “The Mask of Zorro,” “The Bounty,” “Meet Joe Black,” “The Elephant Man,” “Magic,” “84 Charing Cross Road,” “Bram Stoker’s Dracula,” “Legends of the Fall,” “The World’s Fastest Indian,” “Instinct,” “The Rite,” “Hitchcock” และ “Fracture” เมื่อไม่นานมานี้ เขารับบทนำในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ที่โกยเงินไปทั่วโลกอย่าง “Thor” และ “Thor: The Dark World”

 

โลแกน เลอร์แมน (LOGAN LERMAN) รับบท ฮาม

โลแกน เลอร์แมน เติบโตมาในวงการบันเทิง โดยมีผลงานอันน่าประทับใจมากมาย เขากล้ารับบทที่ท้าทายความสามารถ และก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักแสดงรุ่นใหม่ที่มีคนต้องการตัวมากที่สุดในฮอลลีวู้ด ทั้งในวงการภาพยนตร์อินดี้และภาพยนตร์สังกัดสตูดิโอ

เมื่อเร็วๆ นี้ เลอร์แมนเพิ่งจะปิดกล้องภาพยนตร์ดราม่าเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เขียนบทและกำกับโดย เดวิด อาเยอร์ ซึ่งเลอร์แมนจะได้ร่วมแสดงกับ แบร็ด พิตต์, ไชอา ลาบัฟ, จอน เบิร์นธัล และไมเคิล พีน่า ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเปิดตัวฉายในอเมริกาโดยโซนี่ พิคเจอร์ส ในวันที่ 14 พฤศจิกายน ปี  2014

ในปี 2012 เลอร์แมนแสดงนำในภาพยนตร์อินดี้ แนวดราม่า เรื่อง “The Perks of Being a Wallflower” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ เอ็มม่า วัตสัน, พอล รัดด์ และอีซร่า มิลเลอร์ เขาได้รับคำชมอย่างมากจากการรับบทเป็น ชาร์ลี เด็กหนุ่มวัย 15 ปีขี้อายที่ต้องรับมือกับเรื่องความรัก มิตรภาพ การสูญเสีย และหัวใจอันแหลกสลาย

เลอร์แมนเริ่มต้นงานแสดงด้วยการรับบทเป็นลูกชายคนสุดท้อง ในภาพยนตร์ดราม่าสงครามของ โรแลนด์ เอ็มเมอริช เรื่อง “The Patriot” โดยเขาได้ร่วมแสดงกับ เมล กิ๊บสัน ในปีเดียวกันนั้น เขารับบทเป็นตัวละครของ กิ๊บสัน ในวัยเด็ก ในภาพยนตร์ตลกโรแมนติคของ แนนซี่ เมเยอร์ส เรื่อง “What Women Want” ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ “Percy Jackson: Sea of Monsters”; “Stuck In Love”; “The Three Musketeers; ” ภาพยนตร์ของ คริส โคลัมบัส เรื่อง “Percy Jackson & the Olympians: The Lightning Thief”; “The Butterfly Effect; “Hoot;” ภาพยนตร์ของ โจล ชูมัคเกอร์ เรื่อง “The Number 23;” ภาพยนตร์ของ เพนนี มาร์แชลล์ เรื่อง “Riding in Cars with Boys”; ภาพยนตร์ของ เจมส์ แมนโกลด์ เรื่อง “3:10 to Yuma”; “Meet Bill”; ภาพยนตร์ของ ริชาร์ด ลอนเครน เรื่อง “My One and Only” และภาพยนตร์ของ มาร์ก เนเวลดีน และ ไบรอัน เทย์เลอร์ เรื่อง “Gamer”

 

ดักลาส บูธ (DOUGLAS BOOTH) รับบท เชม

ดักลาส บู เกิดในลอนดอน ปี 1992 เขาเริ่มงานแสดงตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนอายุ 13 ปี เขาได้กลายมาเป็นสมาชิกของ National Youth Theatre and Junior Guildhall (Guildhall School of Music and Drama) ก่อนได้รับเลือกให้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ของ จูเลี่ยน เฟลโลว์ส เรื่อง “From Time to Time” ติดตามมาด้วยการรับบทนำในภาพยนตร์เรื่องยาว “The Pillars of the Earth” ที่มี ริดลี่ย์ สก็อตต์ เป็นผู้อำนวยการสร้าง

เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา เขาร่วมแสดงกับ เดมี่ มัวร์ และไมลี่ย์ ไซรัส ในภาพยนตร์เรื่อง “LOL” และเมื่อเร็วๆ นี้ เขารับบทนำในภาพยนตร์ของ คาร์โล คาร์ไล เรื่อง “Romeo and Juliet” ซึ่งดัดแปลงบทมาจากบทละครเลื่องชื่อของ วิลเลี่ยม เช็คสเปียร์ บูธรับทเป็น โรมิโอ และไฮลี่ สไตน์เฟลด์ รับบทเป็น จูเลียต

เขายังเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์แอ็กชั่น/ ไซไฟ เรื่อง “Jupiter Ascending” ซึ่งอำนวยการสร้างและกำกับโดยพี่น้องวาชอว์สกี้ โดยเขาร่วมแสดงกับ มิล่า คูนิส และแชนนิ่ง ทาทั่ม

ล่าสุดนี้ ดักลาสเพิ่งจะปิดกล้องภาพยนตร์เรื่อง “Posh” ซึ่งกำกับโดย ลอน เชอร์ฟิก (“An Education,” “One Day”) ซึ่งสร้างจากบทละครของ ลอร่า เวด

 

 

ประวัติทีมผู้สร้าง

 

ดาร์เรน อะโรนอฟสกี้ (DARREN ARONOFSKY) ผู้กำกับ

ดาร์เรน อะโรนอฟสกี้ ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ เกิดและเติบโตในบรูกลิน, นิวยอร์ก ผลงานภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ของเขาเรื่อง “Black Swan” ทำให้ นาตาลี พอร์ตแมน ได้รับรางวัลออสการ์ ดารานำหญิงยอดเยี่ยม และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอื่นๆ อีก 4 รางวัล รวมถึงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และยังกวาดรายได้จากทั่วโลกไปมากถึง $328 ล้านดอลล่าร์

ก่อนหน้า “Black Swan” อะโรนอฟสกี้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “The Wrestler” ซึ่งไปเปิดตัวฉายรอบปฐมทัศน์ที่งานเทศกาลภาพยนตร์เมืองเวนิส และคว้ารางวัลสิงโตทองคำมาได้ กลายเป็นภาพยนตร์อเมริกันเรื่องที่ 3 ที่สามารถคว้ารางวัลใหญ่นี้มาครองได้ หนึ่งวันต่อมา ฟ็อกซ์ เซิร์ชไลท์ ได้ซื้อลิขสิทธิ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้หลังจากการฉายรอบกาล่าที่งานเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโต้ “The Wrestler” คว้ารางวัล Independent Spirit Award สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และ มิคกี้ รู้ก และมาริสา โทเม่ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ขณะที่รางวัลลูกโลกทองคำได้มอบรางวัลให้กับรู้ก และ บรูซ สปริงส์ทีน คว้ารางวัลได้จากเพลงประกอบยอดเยี่ยม

อะโรนอฟสกี้ยังเขียนบทและกำกับภาพยนตร์เรื่อง “The Fountain” ที่นำแสดงโดย ฮิวจ์ แจ็คแมนและเรเชล ไวสซ์

ในปี 2000 อะโรนอฟสกี้ได้เปิดตัวฉายภาพยนตร์เรื่อง “Requiem for a Dream” ที่งานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ โดย เอเลน เบอร์สติน ดารานำของภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลออสการ์

ภาพยนตร์เรื่องแรกของ อะโรนอฟสกี้ เรื่อง “π” คว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม ได้จากงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ประจำปี 1998 และได้รับรางวัล Independent Spirit Award สาขาบทภาพยนตร์ชิ้นแรกยอดเยี่ยม

 

สก็อตต์ แฟรงกลิน (SCOTT FRANKLIN) – ผู้อำนวยการสร้าง

สก็อตต์ แฟรงกลิน เกิดและเติบโตในนิวยอร์ก ที่ซึ่งเขาได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในแวดวงคนทำหนังนิวยอร์กซิตี้ เขาเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่อง “Black Swan”

แฟรงกลินคือผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์ของ ดาร์เรน อะโรนอฟสกี้ เรื่อง “Black Swan” ที่นำแสดงโดย นาตาลี พอร์ตแมน, วินเซนต์ แคสเซล, มิล่า คูนิส, บาร์บาร่า เฮอร์ชี่ และไวโนน่า ไรเดอร์

ก่อนหน้านั้น แฟรงกลินทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ของ อะโรนอฟสกี้ เรื่อง “The Wrestler” ซึ่งนำแสดงโดย มิคกี้ รู้ก, มาริสา โทเม่ และอีแวน เรเชล วู้ด

แฟรงกลินยังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับผลงานการกำกับของ มาดอนน่า เรื่อง “W.E.” ซึ่งเปิดตัวฉายรอบปฐมทัศน์ที่งานเทศกาลภาพยนตร์เมืองเวนิสประจำปี 2011 และทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ใหม่เรื่อง “2 Days in New York” ซึ่งกำกับโดย จูลี่ เดลพี และนำแสดงโดย เดลพี และคริส ร็อค ผลงานภาพยนตร์ของ แฟรงกลิน เรื่อง “Hounddog” ซึ่งนำแสดงโดย ดาโกต้า แฟนนิ่ง, โรบิน ไรท์-เพนน์ และเดวิด มอร์ส เปิดตัวฉาบรอบปฐมทัศน์ที่งานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ประจำปี 2007

            ก่อนหน้านั้น แฟรงกลินทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างร่วมให้กับภาพยนตร์ของ อะโรนอฟสกี้ เรื่อง “Requiem for a Dream” ซึ่งเปิดตัวฉายรอบปฐมทัศน์ที่งานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 1999 Cannes Film Festival ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลมากมาย รวมถึง เอลเลน เบอร์สติน ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ และรางวัลออสการ์

แฟรงกลินยังทำหน้าที่เป็นแอสโซซิเอท โปรดิวเซอร์ให้กับภาพยนตร์เรื่องแรกของ อะโรนอฟสกี้ เรื่อง “π” ซึ่งเปิดตัวฉายรอบปฐมทัศน์ที่งานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี  1998 และคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมมาครองได้

 

แมรี่ พาเร้นท์ (MARY PARENT) – ผู้อำนวยการสร้าง

แมรี่ พาเร้นท์คือผู้ก่อตั้งและเป็นซีอีโอของ ดิสรัปชั่น เอนเตอร์เทนเม้นต์ ซึ่งตั้งอยู่ที่พาราเม้าต์มาตั้งแต่เดือนเมษายน 2011

นับแต่ก่อตั้งบริษัทดิสรัปชั่น เอนเตอร์เทนเม้นต์มาไม่ถึงสองปี พาเร้นท์ได้ผลิตภาพยนตร์ที่หลากหลายและประสบความสำเร็จมากมายอาทิเช่น ภาพยนตร์ไซไฟผจญภัยของ กีลเลอร์โม่ เดล โทโร่ เรื่อง “Pacific Rim” ซึ่งเปิดตัวฉายไปในช่วงซัมเมอร์ ปี  2013; ภาพยนตร์สัตว์ประหลาด 3-D เรื่อง “Godzilla” ซึ่งกำกับโดย แกเร็ธ เอ๊ดเวิร์ด และมีกำหนดเปิดตัวฉายในวันที่ 14 พฤษภาคม ปี 2014 และภาคต่อของ “SpongeBob SquarePants”

ในเดือนมีนาคม ปี 2008 พาเร้นท์เคยดำรงตำแหน่งซีอีโอ และประธานฝ่ายภาพยนตร์ที่เอ็มจีเอ็ม และยูไนเต็ด อาร์ติสต์ส เธอได้ว่าจ้างทีมผู้บริหารระดับแถวหน้า และได้ผลิตภาพยนตร์ให้กับเอ็มจีเอ็มมากมายหลายเรื่อง อาทิเช่น ภาพยนตร์ เจมส์ บอนด์ ตอนใหม่, ภาพยนตร์เรื่อง “The Hobbit,” ภาพยนตร์ที่เป็นการรีบู้ท ภาพยนตร์เรื่อง “Robocop,” “The Cabin in the Woods,” “Hot Tub Time Machine,” “Zookeeper” และ “Red Dawn”

 

อารี แฮนเดล (ARI HANDEL) – ผู้ร่วมเขียนบท/ ผู้อำนวยการสร้างบริหาร

อารี แฮนเดล ได้รับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ในปี 2000 วันหนึ่ง เขากับเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันที่ฮาร์วาร์ด ดาร์เรน อะโรนอฟสกี้ เดินเล่นไปด้วยกันในย่านอีสต์วิลเลจ และพูดคุยกันถึงเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ และบังเกิดไอเดียที่กลายมาเป็นภาพยนตร์เรื่อง “The Fountain” นับแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็เริ่มทำงานในวงการภาพยนตร์

แฮนเดลเป็นประธานของ โปรโตซัว พิคเจอร์ส ตั้งแต่ปี 2003 เขาร่วมเขียนบทให้กับเรื่อง “The Fountain” เขายังเป็นผู้อำนวยการสร้างร่วมให้กับภาพยนตร์เรื่อง “The Wrestler” และเป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง “Black Swan”

 

แมทธิว ลิบาติค (MATTHEW LIBATIQUE, ASC) – ผู้กำกับภาพ

 แมทธิว ลิบาติค ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว มีผลงานที่โดดเด่นตลอดระยะเวลาสองทศวรรษที่ผ่านมา เขาเริ่มต้นด้วยการเป็นผู้กำกับภาพให้กับมิวสิควิดีโอ แต่ในไม่ช้า เขาก็หันมาจับงานด้านภาพยนตร์

“Noah” ถือเป็นความร่วมมือเป็นครั้งที่ 6 กับผู้กำกับ ดาร์เรน อะโรนอฟสกี้ โดยเขาเป็นผู้กำกับภาพให้กับภาพยนตร์เรื่องแรกของอะโรนอฟสกี้ เรื่อง “π” ที่ถ่ายออกมาเป็นภาพขาวดำ 16 มม. “π” คว้ารางวัลกำกับยอดเยี่ยมที่งานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์และลิบาติคเองยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Independent Spirit Award

15 ปีต่อมา ลิบาติคได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ASC Award และรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่อง “Black Swan” ซึ่งกำกับโดย ดาร์เรน อะโรนอฟสกี้

ผลงานความร่วมมือระหว่างลิบาติคกับอะโรนอฟสกี้ ยังรวมถึง “Requiem for a Dream” ซึ่งทำให้ลิบาติคได้รับรางวัล Independent Spirit Award สาขากำกับภาพยอดเยี่ยม และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอื่นๆ อีกหลายเวที เขายังทำหน้าที่เป็นผู้กำกับภาพให้กับภาพยนตร์ของ อะโรนอฟสกี้ เรื่อง “The Fountain”

ลิบาติคยังทำงานกับผู้กำกับอีกหลายคน อาทิเช่น สไปก์ ลี ซึ่งเขาถ่ายภาพให้กับภาพยนตร์เรื่อง “Miracle at St. Anna,” “She Hate Me” และ “Inside Man”; ได้ร่วมงานกับ โจล ชูมัคเกอร์ ที่ร่วมงานกันในเรื่อง “Tigerland” และ “Phone Booth” และร่วมงานกับ จอน แฟฟโรว์ ในภาพยนตร์เรื่อง “Iron Man,” “Iron Man 2” และ “Cowboys and Aliens”

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของลิบาติค ได้แก่ “Gothika” ผลงานของ แมทธิว แคสโซวิตซ์; “Abandon” ผลงานภาพยนตร์ของ สตีเฟ่น กาแกน; “Everything is Illuminated” ผลงานภาพยนตร์ของ ลีฟ ชไรเบอร์; “My Own Love Song” ผลงานภาพยนตร์ของโอลิวิเย่ ดาแฮน และ “Ruby Sparks” ผลงานของผู้กำกับ โจนาธาน เดย์ตัน และวาเลอรี่ ฟาริส

 

มาร์ก ฟรีดเบิร์ก (MARK FRIEDBERG) – โปรดักชั่น ดีไซเนอร์

มาร์ก ฟรีดเบิร์ก เริ่มต้นงานด้วยการเป็นโปรดักชั่นดีไซเนอร์ให้กับภาพยนตร์ทุนสร้างต่ำในช่วงมีการเคลื่อนไหวของภาพยนตร์อินดี้ ต้นยุค 90

ผลงานก่อนหน้านี้ของฟรีดเบิร์กคือภาพยนตร์ฟอร์มเล็กๆ แต่ได้รับคำชม อย่างเช่น ภาพยนตร์ของ อเล็กซานเดร ร็อคเวลล์ เรื่อง “In the Soup” และภาพยนตร์ของ แม็กกี้ กรีนวัลด์ เรื่อง “The Ballad of Little Joe” ภาพยนตร์เหล่านี้ได้รับความสนใจอย่างมาก ทำให้ฟรีดเบิร์ดได้ร่วมงานกับผู้กำกับมากหน้าหลายตา ตั้งแต่ เมล บรู้กส์ (“The Producers” 2005) และ แกร์รี่ มาร์แชลล์ (“Runaway Bride,” “New Year’s Eve”) จนถึงผู้กำกับอินดี้อย่าง มิร่า แนร์ (“The Perez Family,” “Kama Sutra: A Tale of Love”), อัง ลี  (“The Ice Storm,” “Ride with the Devil”), ท็อดด์ เฮย์เนส (“Far From Heaven”), จิม จาร์มุสช์ (“Coffee and Cigarettes,” “Broken Flowers”), เวส แอนเดอร์สัน (“The Life Aquatic with Steve Zissou,” “The Darjeeling Limited”), จูลี่ เทย์มอร์ (“Across the Universe”) และชาร์ลี คัฟแมน (“Synedoche, New York”)

ผลงานเมื่อเร็วๆ นี้ของเขา ได้แก่ ภาพยนตร์ของ จูลี่ เทย์มอร์ เรื่อง “The Tempest” ที่ถ่ายทำกัน ณ โลเกชั่น ในฮาวาย และที่โรงถ่ายในบรูกลิน; ภาพยนตร์ของ โจดี้ ฟอสเตอร์ เรื่อง “The Beaver” ที่ฟอสเตอร์ร่วมแสดงกับ เมล กิ๊บสัน และภาพยนตร์ตลกโรแมนติค เรื่อง “Morning Glory” ที่นำแสดงโดย แฮร์ริสัน ฟอร์ด, ไดแอน คีตัน และเรเชล แม็คอดัมส์ และกำกับโดย โรเจอร์ มิเชลล์

 

ไมเคิล วิลกินสัน (MICHAEL WILKINSON) – ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย

ไมเคิล วิลกินสันสำเร็จการศึกษาด้านการออกแบบจาก National Institute of the Dramatic Arts ในเมืองเกิดอย่างซิดนี่ย์ ประเทศออสเตรเลีย

ผลงานการออกแบบเสื้อผ้าของวิลกินสัน ได้แก่ ภาพยนตร์ของ แซ็ค สไนเดอร์ เรื่อง “Man of Steel” และ “300” และตอนสุดท้ายของภาพยนตร์ชุด “Twilight Saga: Breaking Dawn: Part II” และภาพยนตร์แอ็กชั่น โลกอนาคตของ โจ โคซินสกี้ เรื่อง “Tron Legacy” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลจากสมาคมผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายและรางวัล Saturn Award ก่อนหน้านี้ วิลกินสันเคยได้รับรางวัล Saturn Award จากงานออกแบบเสื้อผ้าให้กับภาพยนตร์ของสไนเดอร์ เรื่อง “Watchmen” และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล CDG Award จากภาพยนตร์รวมดาราเรื่อง “Babel”

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ ภาพยนตร์แอ็กชั่นแฟนตาซีเรื่อง “Sucker Punch,” ภาพยนตร์ดราม่าเกี่ยวกับสงครามกลางเมือง เรื่อง “Jonah Hex,” ภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่อง “Terminator Salvation” และภาพยนตร์คัลท์สุดฮิตเรื่อง “Garden State,” “American Splendor” และ “Party Monster”

ในระยะแรกที่เข้าวงการ วิลกินสันเคยทำงานเป็นผู้ช่วยออกแบบให้กับภาพยนตร์ของ บาซ เลอห์รแมนน์ เรื่อง “Moulin Rouge” และ “Romeo + Juliet” และภาพยนตร์ของพี่น้อง วาชอว์สกี้ เรื่อง “The Matrix:  Reloaded”

 

แอนดรูว์ ไวสบลูม (ANDREW WEISBLUM, ACE) – ผู้ลำดับภาพ

ก่อนหน้านี้ แอนดรูว์ ไวสบลูม เคยร่วมงานกับ ดาร์เรน อะโรนอฟสกี้ มาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง “Black Swan” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย และเขายังได้ร่วมงานกับอะโรนอฟสกี้ ในภาพยนตร์เรื่อง “The Wrestler” และทำงานตัดตัดด้านวิชวลเอฟเฟ็กต์ให้กับภาพยนตร์เรื่อง “The Fountain”

เมื่อเร็วๆ นี้ ไวสบลูมลำดับภาพให้กับภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมเรื่อง “Moonrise Kingdom” ผลงานของ เวส แอนเดอร์สัน ก่อนหน้านั้น เขาเคยร่วมงานกับแอนเดอร์สันมาแล้ว โดยทำหน้าที่ดูแลงานลำดับภาพให้กับภาพยนตร์เรื่อง “Fantastic Mr. Fox” และทำหน้าที่เป็นผู้ลำดับภาพให้กับภาพยนตร์เรื่อง “The Darjeeling Limited”

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของไวสบลูม ในตำแหน่งผู้ลำดับภาพ ได้แก่ ภาพยนตร์ของ ซัล แบ็ทแมนกลิจ เรื่อง “The East”; ภาพยนตร์ของ เจสัน ไรต์แมน เรื่อง “Young Adult”; ภาพยนตร์ของ โซอี้ แคสซาเว็ตส์ เรื่อง “Broken English”; ภาพยนตร์ของ เอมี่ ฮ็อบบี้ เรื่อง “Coney Island Baby”; ภาพยนตร์ของ เนวิล ดเว็ก เรื่อง “Undermind”