การโคจรมาพบกันของสองสุดยอดมือกีตาร์ระดับโลกที่คอดนตรีห้ามพลาด “DUO SWING TOMMY EMMANUEL & MARTIN TAYLOR LIVE IN BANGKOK”

โอเวอร์ไดฟ์และสิงห์ คอร์ปอเรชั่น จับมือกันแต่ละครั้งสร้างอะไรที่ “ไม่ธรรมดา” จริงๆ  และล่าสุดก็จับมือกันร่วมปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์  เมื่อสองสุดยอดมือกีตาร์ในแนว “เล่นคนเดียว” ที่ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนก็ประมาณ “เดี่ยวไมโครโฟน” อะไรแบบนั้น TOMMY EMMANUEL และ MARTIN TAYLOR  สองสุดยอดมือกีตาร์ในแนว “เล่นคนเดียว” ที่มีทั้งเอกลักษณ์  ลีลา สไตล์ของตัวเอง และสามารถครอบครองพื้นที่เป็นเจ้าของ “เวที” เพียงหนึ่งเดียวแบบเอาคนดูซะอยู่หมัดทุกครั้งและทุกรอบที่เปิดการแสดง  ทันทีที่ทั้งสองสุดยอดมือกีตาร์หันมาจับมือร่วมกันแชร์ความเป็นหนึ่งบนเวทีเดียวกันเพื่อสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญที่คนรักดนตรีไม่ควรพลาดหรือกระพริบตา ใน  DUO SWING   TOMMY EMMANUEL & MARTIN TAYLOR  LIVE IN BANGKOK”  โอเวอร์ไดฟ์และสิงห์ คอร์ปอเรชั่น  ก็ไม่พลาดเช่นกันที่จะอิมพอร์ทคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์เข้ามากำนัลแด่แฟนๆ ชาวไทย

Tommy Emmanuel (ทอมมี่ เอ็มแมนวลเอล) มือกีตาร์ชาวออสเตรเลียมากฝีมือในแนวฟิงเกอร์สไตล์ที่วางบทบาทตัวเองไว้กับหลากหลายแนวทางดนตรี  ไม่ว่าจะเป็น Country, Bluegrass, Pop, Jazz, Blues, Gospel, Classic, Flamenco หรือแม้แต่ Aborigine  เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Grammy มาแล้วสองครั้ง และ Best Acoustic Guitarist จากนิตยสารกีตาร์เพลเยอร์ และอีกหลายรางวัล   ด้วยลมหายใจในแวดวงดนตรีอาชีพกว่าห้าทศวรรษ  และการฝากฝีไม้ลายมือไว้ในผลงานของหลากหลายศิลปิน  อาทิ  Air Supply, Men at Work, Dragon    สำทับด้วยผลงานสตูดิโออัลบั้มอีกกว่ายี่สิบชุด  นั้นมีเหตุผลมากพอที่จะสร้างแฟนเพลงที่ติดตามผลงานอย่างเหนียวแน่นทั่วโลกหลายแสนคน    ในขณะที่  Martin Taylor มือกีตาร์ นักประพันธ์เพลงเจ้าของผลงานสตูดิโออัลบั้มกว่ายี่สิบสี่ชุด  พร้อมรางวัลจากหลายเวที เช่น Multi-Award Best Acoustic Guitarist, BBC Radio 2 “Heart Of Jazz” Award  และอีกมากมาย   แถมยังได้รับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์จาก University of The West of Scotland ในปี 1999 และในปี 2002 ก็ได้รับแต่งตั้งเป็น MBE “For Services To Jazz Music” ในรายชื่อเชิดชูเกียรติงานพระราชสมภพสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบ็ธที่สอง   และด้วยสไตล์การเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้คนดูรู้สึกทึ่งกับการโซโล่เดี่ยวของเขาจนแฟนเพลงทั่วโลกยกให้เป็นหนึ่งเดียวในฐานะยอดนักกีตาร์แนว jazz  ในสไตล์ “เล่นคนเดียว” ที่เจ๋งที่สุดของโลก    และในเมื่อสองสุดยอดมือกีตาร์ระดับโลกที่มากับการันตีระดับสูงขนาดนี้จับมือกันเพื่อเปิดโชว์อะไรสักอย่าง  ไม่ว่าคนรักดนตรีที่ยืนยันว่าตัวเองอยู่ในฐานะของคอเพลงขั้น “ฮาร์ดคอร์” มีหรือที่จะหาเหตุผลอะไรในการพลาดคอนเสิร์ตครั้งนี้ได้

พบกับ  “DUO SWING   TOMMY EMMANUEL & MARTIN TAYLOR  LIVE IN BANGKOK”  October 28th 2013  สองยอดนักอคูสติคกีตาร์ของโลก บนเวทีเดียวกัน  จันทร์ที่  28  ตุลาคมนี้  ณ  เอ็มเธียเตอร์  บัตรราคา  3000, 2000 และ 1000 บาท เริ่มแสดง  2  ทุ่มตรง  พิเศษส่วนลด 10 เปอร์เซ็นต์เมื่อจองในระหว่างวันที่  31  สิงหาคม – 15 กันยายน  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  Prart Music Group (PMG) 02-203-0423-5  www.prartmusic.com  www.facebook.com/pmgthai

 

TOMMY EMMANUEL

Tommy Emmanuel (ทอมมี่ เอ็มแมนวลเอล) มือกีตาร์ซึ่งเคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Grammy มาแล้วสองครั้ง เป็นหนึ่งในนักดนตรีชาวออสเตรเลียที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด โดย Tommy ซึ่งเล่นดนตรีอาชีพมากว่าห้าทศวรรษนั้นมีแฟนเพลงที่ติดตามผลงานอย่างเหนียวแน่นทั่วโลกหลายแสนคน

พรสวรรค์และชีวิตของ Tommy นั้นถือเป็นเรื่องเล่าที่คุ้นเคยกันดีในประเทศออสเตรเลีย โดย Tommy ซึ่งเกิดในครอบครัวดนตรีนั้นได้รับกีตาร์ตัวแรกตอนอายุ 4 ขวบ และได้กับการฝึกสอนจากแม่ของเขา เขาเรียนรู้การเล่นกีตาร์อย่างรวดเร็วโดยใช้หูฟัง และเขาไม่เคยอ่านโน้ตดนตรีเลย Tommy ทำงานเป็นนักดนตรีอาชีพตอนอายุ 6 ขวบกับวงดนตรีของครอบครัว (ซึ่งมีหลากหลายชื่อไม่ว่าจะเป็น The Emmanuel Quartet, The Midget Surfaries และ The Trailblazers) ซึ่งตอนที่เขาอายุ 10 ปี เขาก็ได้เดินสายเล่นทั่วประเทศออสเตรเลียแล้ว

ในช่วงยุค 70 Tommy เป็นนักดนตรีที่เป็นต้องการตัวอย่างสูงทั้งในฐานะนักดนตรีห้องอัดและสมาชิกวง เขาได้เล่นในงานของ Air Supply, Men at Work และศิลปิน วงดนตรีชื่อดังอีกมากมาย รวมไปถึงเพลงและจิงเกิ้ลโฆษณานับพันชิ้น งานส่วนหนึ่งที่สร้างชื่อให้กับเขามากที่สุดก็คือ เพลงซิงเกิ้ลยอดนิยมของ Air Supply อย่าง “Lost in Love” “All Out of Love” “Every Woman in the World” และ “Now and Forever” ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน Tommy ก็กลายเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในมือกีตาร์รุ่นใหม่ที่มีฝีมือเยี่ยมที่สุดในประเทศออสเตรเลีย เขาได้ร่วมวง Dragon ในปี 1985 ซึ่งทางวงถือเป็นหนึ่งในวงร็อคสัญชาติออสเตรเลียที่โด่งดังมากที่สุดในทศวรรษนั้น และ Tommy ได้ร่วมอัดเสียงในงานชุด Dreams of Ordinary Men อัลบั้มที่ทำยอดขายระดับแพลททินั้มของทางวง แต่สิ่งที่ทำให้ Tommy เป็นที่รู้จักกันมากที่สุด ก็คือ อาชีพศิลปินเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จของเขา

ในที่สุด Tommy ก็ได้พบและเล่นกับ Chet Atkins (เช็ท แอ็ทกิ้นส์) ฮีโร่ของเขาที่เมือง Nashville รัฐ Tennessee ในช่วงยุค 80 และนับตั้งแต่วินาทีสุดมหัศจรรย์นั้น Atkins ก็ให้การช่วยเหลือ Tommy มาโดยตลอด เราจะเห็นอิทธิพลของ Chet ในทุกแง่มุมดนตรีของ Tommy ไม่ว่าจะเป็นปรัชญาส่วนตัว ความแม่นยำด้านเทคนิคการเล่น การอิมโพรไวส์แบบเชี่ยวชาญ และแนวดนตรีหลากหลายแนวในระดับที่ไม่ธรรมดา (ดนตรีที่ Tommy เล่นไม่ได้มีแค่ country และ bluegrass เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง pop, jazz, blues, gospel หรือแม้แต่ classic, flamenco และดนตรีแนว Aborigine) Tommy พูดถึง Chet ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจของตัวเขาด้วยความรักและชื่นชมแบบลูกชาย และความฝันที่จะได้อัดเสียงกับ Chet Atkins ของเขาก็เป็นจริงในปี 1996 โดยทั้งสองได้ร่วมกันอัดเสียงงานชุด The Day The Finger Pickers Took Over The World ซึ่งทำให้ Tommy ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Grammy เป็นครั้งแรก

Chet ให้เกียรติ Tommy ซึ่งสร้างสรรค์ผลงานดนตรีกับกีตาร์ ด้วยการเรียกเขาว่าเป็น “มือกีตาร์ตัวจริง” (“Certified Guitar Player”) โดยหลังจากที่ Tommy ได้เล่นกับ Phil (พี่น้องของเขา) อย่างน่าทึ่งที่งานพิธีปิดกีฬาโอลิมปิคในกรุงซิดนีย์แล้ว โลกก็ต้องการที่จะรู้ว่าสิงห์กีตาร์มือฉมังชาวออสเตรเลียคนนี้คือใคร Tommy ออกงานเดี่ยวกีตาร์โปร่งชุดแรกในชื่อ ONLY และชื่อเสียง ความนิยมในตัวเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากตารางเดินสายแบบต่อเนื่องและความสนใจของสื่อที่เพิ่มขึ้น

อัลบั้มชุด The Mystery ทำให้ Tommy ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Grammy อีกครั้ง และนิตยสาร Guitar Player Magazine กับ Acoustic Guitar Magazine ก็ได้ประกาศให้เขาเป็นมือกีตาร์อคูสติคยอดเยี่ยม (Best Acoustic Guitarist) และ Gold Medalist ใน Reader’c Choice กับ Players’ Choice Awards ในปี 2008 ส่วน Readers Choice award ของนิตยสาร Guitar Player ก็ได้ประกาศให้เขาเป็น Best Acoustic Guitarist เป็นครั้งที่สองในปี 2010!

ผลงานทั้งหมดของ Tommy นั้น มีมากกว่า 20 ชุด ไม่ว่าจะเป็นงานเดี่ยว งานเล่นคู่ งานรูปแบบวง งานเพลงคัฟเวอร์ งานเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ โดยเขาเล่นทั้งกีตาร์ไฟฟ้าและกีตาร์อคูสติค เขามีดีวีดีแสดงสด 6 ชุด ดีวีดีและซีดีสอนอีก 6 ชุด และตัว Tommy เองก็จะสอน master class ในระหว่างช่วงที่เดินสายอยู่เป็นประจำ

ผลงานเพลงแต่งใหม่ชุดล่าสุดของ Tommy ก็คือ Little By Little อัลบั้มแผ่นคู่ แต่อัลบั้มชุดที่ออกมาล่าสุดของเจ้าตัวก็คือ “The Colonel and the Governor” อัลบั้มคู่สำเนียง jazz ที่อัดพร้อมกับ Martin Taylor มือกีตาร์ซึ่งมีพรสวรรค์ในระดับเดียวกัน

การแสดงสดให้กับแฟนเพลงคือสิ่งที่สำคัญสูงสุดของ Tommy เขาได้แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกนี้ด้วยการเล่นคอนเสิร์ทมากกว่า 300 ครั้งต่อปีในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา! มือกีตาร์ทุกๆคนเข้ามาดูโชว์ของ Tommy เพื่อดูเขาแสดงเวทย์มนตร์ ซึ่งไม่ได้มีเสน่ห์แต่แค่กับนักดนตรีเท่านั้น การแสดงของเขานั้นมีทั้งอารมณ์ขัน การนำเสนอ จิตวิญญาณ และความสุขที่ส่งมอบให้แก่ผู้ชม

สิ่งที่ Tommy Emmanuel สื่อสารออกมาก็คือ ความรักที่มีต่อดนตรีอย่างเต็มเปี่ยม และความยินดีจากตัวเขาที่จะได้แบ่งปันความรักนี้ให้กับโลก ซึ่งก็หมายถึงผู้ชมที่เข้ามาชมในแต่ละครั้ง

 

MARTIN TAYLOR

‘Martin Taylor เป็นหนึ่งในมือกีตาร์ที่เล่นคนเดียวได้ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของกีตาร์ เขาเหลือเชื่อจริงๆ’ – Pat Metheny

‘เขาปั่นในรูปแบบที่ฉีกพวกเราทุกคนออกเป็นชิ้นๆเลย…ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน’ – Jeff Beck

Martin Taylor มือกีตาร์ นักประพันธ์เพลงเจ้าของรางวัลจากหลายเวที ได้สร้างอาชีพดนตรีที่มีเอกลักษณ์ในฐานะของนักดนตรีที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ และด้วยสไตล์การเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ นี่จึงทำให้หลายคนนึกถึงเขาในฐานะยอดนักกีตาร์แนว jazz ที่เล่นแบบคนเดียว

แม้ว่า Martin จะศึกษากีตาร์ด้วยตัวเองมาโดยตลอด แต่เขาก็ประสบความสำเร็จในเส้นทางดนตรีซึ่งกินเวลาถึงห้าทศวรรษ และในช่วงเวลาเหล่านี้ เขาได้คิดค้น พัฒนาวิธีเล่นกีตาร์ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของมือกีตาร์ทั่วโลกและมักจะถูกนำไปเลียนแบบอยู่เสมอๆ Martin ซึ่งเป็นผู้สร้างนวัตกรรมด้านกีตาร์ตัวจริงนั้น ยังเป็นยอดนักแสดงคอนเสิร์ตที่ทำให้คนดูรู้สึกทึ่งกับการโซโล่เดี่ยวของเขาซึ่งผสมผสานทั้งความเชี่ยวชาญ อารมณ์ ความตลก และความเป็นเจ้าของเวทีเข้าด้วยกัน

Martin ใช้เวลาส่วนใหญ่ของปีไปกับการเดินทางทั่วโลก เปิดการแสดงในฮอลล์คอนเสิร์ทของทวีปยุโรป อเมริกาเหนือ ญี่ปุ่น เอเชีย และออสเตรเลีย รวมไปถึงต้องดูแล Martin Taylor Guitar Academy Online สถาบันกีตาร์รูปแบบใหม่ที่มีเอกลักษณ์ของเจ้าตัว

Martin ใช้เวลาเดินสายรอบโลกตั้งแต่ช่วงปี 1979 ถึง 1990 และได้อัดเสียงร่วมกับ STEPHANE GRAPPELLI ตำนานนักไวโอลินสาย jazz มามากกว่า 20 ชุด โดยงานชุด “Together At Last” ที่ได้ Vessar Clements มาร่วมอัดเสียงอีกคนนั้นได้รับรางวัล Grammy ในปี 1987

Monsieur Grappelli พูดถึง Martin ไว้ว่าเขาเป็น “ศิลปินชั้นเยี่ยมที่เต็มเปี่ยมด้วยพรสวรรค์และรสนิยม”

งานชุด ARTISTRY อัลบั้มเดี่ยวที่เต็มไปด้วยความเป็นต้นแบบ ซึ่งได้ Steve Howe มาเป็นโปรดิวเซอร์นั้น ออกจำหน่ายในปี 1992 และเรียกเสียงฮือฮาได้อย่างมากมาย มันขึ้นอันดับ 1 ในตาราง HMV Jazz Charts ด้วยสถิติ 12 สัปดาห์และเป็นจุดเริ่มต้นของอาชีพศิลปินเดี่ยวในระดับนานาชาติของ Martin

หลังจากที่ออก KISS AND TELL และ NITELIFE สองอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จให้กับทาง Sony/Columbia แล้ว Martin ก็ได้ออกอัลบั้มจำนวนหนึ่งกับทาง The Guitar Label

เขาได้รับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์จาก University of The West of Scotland ในปี 1999 และในปี 2002 ก็ได้รับแต่งตั้งเป็น MBE “For Services To Jazz Music” ในรายชื่อเชิดชูเกียรติงานพระราชสมภพสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบ็ธที่สอง ซึ่ง Martin ได้รับแต่งตั้งจากองค์พระราชินีอย่างใกล้ชิดในพิธีที่จัดขึ้นภายในพระราชวังบัคกิ้งแฮม

ในปี 2007 BBC Radio 2 ได้มอบรางวัล “Heart of Jazz” เพื่อเป็นการให้เกียรติกับอาชีพทางด้านดนตรีของ Martin ส่วน North Wales Jazz Guitar Festival ก็ได้มอบรางวัลเชิดชูเกียรติให้จาก “ผลงานที่เขาทำให้กับกีตาร์แนว jazz ทั่วโลก”

นอกจากนี้ Martin ยังได้รับรางวัล British Jazz Award ในฐานะมือกีตาร์ด้วยสถิติ 14 ครั้ง และในฐานะนักประพันธ์เพลง เขาถูกเสนอชื่อในสาขา “เพลงร่วมสมัยยอดเยี่ยม” (“Best Contemporary Song”) ของ BBC Folk Awards ในปี 2009

ทาง Royal Scottish Academy of Music and Drama ได้มอบปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ให้แก่ Martin ในปี 2010

เวลาที่ไม่ได้เดินสาย Martin จะแบ่งเวลาเดินทางไปประเทศสก็อทแลนด์และรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นที่ตั้งของ Martin Taylor Guitar Academy

ผลงานของ Martin ในสายภาพยนตร์ก็จะมีอย่างเช่น “Milou En Mai” ภาพยนตร์ตลกจากประเทศฝรั่งเศส งานกำกับของ Louis Malle และล่าสุดเลยกับเพลง “Green Lady” ที่ทำให้กับ “The Killing of John Lennon” ภาพยนตร์ของ Andrew Piddington

ผลงานสายโทรทัศน์ของ Martin ก็มีเพลงธีมของ “After You’ve Gone” ที่มีนักแสดงอย่าง Nicholas Lyndhurst และ Celia Imrie และโฆษณา “Nicole-Papa” ที่ได้รับความนิยมของรถ Renault รุ่น Clio

นอกจากงานในฐานะนักดนตรีแล้ว Martin ยังมีส่วนร่วมในองค์กรการกุศลหลายๆแห่งเช่น the Child Bereavement Charity, เป็นผู้ให้การสนับสนุน My Wish Foundation of Sri Lanka และเป็นสมาชิกบอร์ดบริหารและรองประธานของ Scotland’s Buddhist Vihara.

Martin เปิดตัว Martin Taylor Guitar Academy online สถาบันสอนกีตาร์ทางออนไลน์ที่ทันสมัยและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในปี 2010 โดยสถาบันสอนกีตาร์ทางออนไลน์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง Napa รัฐ California นี้ ได้รับการเสนอข่าวในสื่ออย่าง NPR, BBC, Fox News และ the LA Times และมีมือกีตาร์มากกว่า 58 ประเทศที่สนใจเข้ามาสมัครเรียน

ผลงานล่าสุดก่อนหน้านี้ของ Martin ก็คือการเล่นคู่กับ Guy Barker โดยพวกเขาได้เล่น “Spirit of Django Orchestral Suite” เป็นครั้งแรกที่งาน BBC Proms ใน Royal Albert Hall กรุงลอนดอน ปี 2012