THE WORLD’S END 28 พฤศจิกายน 2556 เฉพาะ PARAGON CINEPLEX, SF WORLD CINEMA, APEX SIAM SQUARE

เรื่องย่อ

The World’s End ส่วนผสมที่ลงตัวของความเป็นพี่น้องพ้องเพื่อน อารมณ์ขันรสเด็ด การดื่มไม่ยั้ง ทางเลือกในชีวิตที่น่าสงสัย การต่อสู้ประชิดตัวและเซอร์ไพรส์น่าอัศจรรย์ เป็นการร่วมงานกันอีกครั้งระหว่างผู้กำกับเอ็ดการ์ ไรท์และสองนักแสดง ไซมอน เพ็กก์และนิค ฟรอสท์ หลังจากภาพยนตร์ฮิตเรื่อง Shaun of the Dead (2004) และ Hot Fuzz (2007)

เรื่องราวของ The World’s End เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 22 มิถุนายน ปี 1990 ในเมืองนิวตัน ฮาเวน ที่อยู่ย่านชานเมืองของอังกฤษ เด็กหนุ่มห้าคนที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยรุ่น ได้เฉลิมฉลองวันเรียนจบด้วยการพยายามจะสรรค์สร้างตำนานการบุกตะลุยผับด้วยกัน แม้ว่าพวกเขาจะกระตือรือร้นและกระดกเบียร์ไปมากแค่ไหน พวกเขากลับไม่ประสบความสำเร็จดังความตั้งใจเพราะพวกเขาไม่สามารถไปถึง เดอะ เวิลด์ส เอนด์ ซึ่งเป็นผับสุดท้ายในลิสต์ของพวกเขาได้

ประมาณกว่ายี่สิบปีให้หลัง “ห้าทหารเสือ” ต่างคนต่างก็จากบ้านเกิดไปคนละทิศละทาง และตอนนี้ พวกเขาก็เป็นสามี เป็นพ่อ เป็นชายผู้เจริญในหน้าที่การงาน ทุกคนประสบความสำเร็จด้วยดีเว้นแต่แกรี่ คิง (ไซมอน เพ็กก์) อดีตหัวโจกผู้พูดจาคล่องแคล่วของพวกเขา ตอนนี้ เขาเป็นชายวัย 40 ปีที่ยังคงมีความหลังฝังใจกับวัยรุ่นของตัวเอง แกรี่ ผู้เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น รับรู้ถึงความห่างเหินระหว่างเขาและแอนดี้ (นิค ฟรอสท์) ผู้เคยเป็นเพื่อนสนิทหมายเลขหนึ่งของเขา เขาก็เลยดึงดันที่จะกลับไปสู่การดื่มมาราธอน “เดอะ โกลเดน ไมล์” อีกครั้ง เขาเกลี้ยกล่อมแอนดี้, สตีเวน (แพ็ดดี้ คอนซิไดน์), โอลิเวอร์ (มาร์ติน ฟรีแมน) และปีเตอร์ (เอ็ดดี้ มาร์สัน) ให้ปฏิบัติภารกิจนี้อีกครั้ง และบ่ายวันศุกร์วันหนึ่ง พวกเขาก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง แกรี่รู้สึกเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ กฎที่ถูกตั้งเอาไว้ก็คือ เวลาหนึ่งคืน ชายห้าคน ผับสิบสองแห่ง และพวกเขาก็ต้องดื่มเบียร์อย่างน้อยหนึ่งไพน์ต่อหนึ่งผับ เมื่อไปถึงนิวตัน ฮาเวน พวกเขาได้พบกับแซม (โรซามุนด์ ไพค์) น้องสาวของโอลิเวอร์ ที่ทั้งแกรี่และสตีเวนต่างก็ยังแอบมีใจให้อยู่

ขณะที่พวกเขาพยายามที่จะประสานเรื่องในอดีตและปัจจุบันเข้าด้วยกัน การได้พบกับสถานที่เก่าๆ และคนที่พวกเขาเคยรู้จัก ที่ทั้งอันตรายและเพี้ยนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้พวกเขาตระหนักได้ว่า การที่พวกเขาฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ เหล่านี้ก็เพื่ออนาคต แต่ไม่ใช่อนาคตของพวกเขาเท่านั้น มันยังเป็นอนาคตของมนุษยชาติด้วย และการไปให้ถึงเดอะ เวิลด์ส เอนด์อาจเป็นสิ่งที่น่ากังวลน้อยที่สุดก็เป็นได้…

ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส อินเตอร์เนชันแนล ร่วมกับรีเลทีฟวิตี้ มีเดีย ภูมิใจเสนอ ผลงานสร้างโดยเวิร์คกิ้ง ไตเติล ร่วมกับบิ๊ก ทอล์ค พิคเจอร์ส The World’s End นำแสดงโดยไซมอน เพ็กก์, นิค ฟรอสท์, แพ็ดดี้ คอนซิไดน์, มาร์ติน ฟรีแมน, เอ็ดดี้ มาร์สัน, โรซามุนด์ ไพค์ คัดเลือกนักแสดงโดยนีนา โกลด์, โรเบิร์ต สเติร์น ควบคุมดนตรีโดยนิค แองเจิล ดนตรีโดยสตีเวน ไพรซ์ ออกแบบเมคอัพและทรงผมโดยเจน วอล์คเกอร์ ออกแบบเครื่องแต่งกายโดยกาย สเปแรนซา ลำดับภาพโดยพอล มาชลิส, เอซีอี ออกแบบงานสร้างโดยมาร์คัส โรว์แลนด์ กำกับภาพโดยบิล โป๊ป, เอเอสซี ร่วมอำนวยการสร้างโดยไมริ เบ็ทท์ ควบคุมงานสร้างโดยเจมส์ บิดเดิล, เอ็ดการ์ ไรท์, ไซมอน เพ็กก์, นิค ฟรอสท์, ลิซา ชาซิน เขียนบทโดยไซมอน เพ็กก์และเอ็ดการ์ ไรท์ อำนวยการสร้างโดยนีรา ปาร์ค, ทิม บีแวน, อีริค เฟลเนอร์ กำกับโดยเอ็ดการ์ ไรท์ จัดจำหน่ายโดยยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส อินเตอร์เนชันแนล

ประวัตินักแสดง

ไซมอน เพ็กก์ (Simon Pegg) รับบท แกรี่

ความสำเร็จครั้งแรกของ นักแสดง/มือเขียนบท ไซมอน เพ็กก์คือซิทคอมทางแชนแนล โฟร์เรื่อง Spaced เขาร่วมกับเจสสิก้า ไฮน์ส เขียนบทและนำแสดงซีรีส์เรื่องนั้น ซึ่งกำกับโดยเอ็ดการ์ ไรท์ เขาได้รับการทาบทามให้สร้างซีรีส์เรื่องที่สองก่อนหน้าเรื่องแรกจะแพร่ภาพด้วยซ้ำไป ซีรีส์นี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลซิทคอมยอดเยี่ยมและทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนักแสดงจอแก้วหน้าใหม่จากเวทีบริติช คอเมดี อวอร์ด นอกจากนั้น ซีรีส์นี้ยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟต้า, มอนโทรซ์และอินเตอร์เนชันแนล เอ็มมี อวอร์ดอีกด้วย

เขาและผู้กำกับเอ็ดการ์ ไรท์ ได้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Shaun of the Dead ที่เขาได้ร่วมงานกับนิค ฟรอสท์จาก Spaced อีกครั้ง ภาพยนตร์ซอมบี้เรื่องนี้เปิดตัวที่อันดับสองในบ็อกซ์ออฟฟิศอังกฤษและประสบความสำเร็จในอเมริกา เพ็กก์ได้รับรางวัลปีเตอร์ เซลเลอร์ส อวอร์ด ฟอร์ คอเมดีจากเวทีอีฟนิง สแตนดาร์ด บริติช ฟิล์ม อวอร์ด ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลบาฟต้า อวอร์ด ซึ่งรวมถึงสาขาภาพยนตร์อังกฤษยอดเยี่ยมแห่งปีและได้รับรางวัลบีฟาสาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอีกด้วย

หลังจากเอาชนะซอมบี้ พิธีมอบรางวัลและอเมริกาได้แล้ว หลังจากนั้น เพ็กก์ก็ได้ร่วมกับผู้กำกับเอ็ดการ์ ไรท์เขียนบทภาพยนตร์แอ็กชันคอเมดีสุดยอดตำรวจเรื่อง Hot Fuzz ที่เขาได้แสดงประกบนิค ฟรอสท์อีกครั้งหนึ่ง ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวอันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศอังกฤษและได้รับความนิยมอย่างสูงในอเมริกา เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มไพร์ อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้รับรางวัลคอเมดียอดเยี่ยมและได้รับการโหวตให้เป็นภาพยนตร์คอเมดียอดเยี่ยมจากเวทีเนชันแนล มูฟวี อวอร์ดของอังกฤษอีกด้วย

เขาร่วมกับนิค ฟรอสท์ ร่วมเขียนบทภาพยนตร์ไซไฟผจญภัยเรื่อง Paul ที่ทั้งคู่นำแสดงภายใต้การกำกับของเกร็ก มอตโตลา และได้รับการโหวตให้เป็นภาพยนตร์คอเมดียอดเยี่ยมจากเวทีเนชันแนล มูฟวี อวอร์ดของอังกฤษอีกด้วย ผลงานอื่นๆ ของเขาได้แก่การเป็นมือเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Run, Fatboy, Run ซึ่งเขาแสดงให้กับผู้กำกับเดวิด ชวิมเมอร์

ผู้ชมทั่วโลกได้เห็นเขาแสดงประกบทอม ครูซใน Mission: Impossible III และ Mission: Impossible – Ghost Protocol ที่กำกับโดยเจ.เจ.อับรามส์และแบรด เบิร์ด ตามลำดับ และภาพยนตร์โดยอับรามส์เรื่อง Star Trek และ Star Trek Into Darkness

บทบาทการแสดงอื่นๆ ของเขาภาพยนตร์โดยจอห์น แลนดิสเรื่อง Burke and Hare, ภาพยนตร์โดยคริสเพียน มิลส์และคริส โฮปเวลเรื่อง A Fantastic Fear of Everything, ภาพยนตร์โดยโรเบิร์ต บี. วี้ดเรื่อง How to Lose Friends & Alienate People และภาพยนตร์เรื่องใหม่ของปีเตอร์ เชลซอมเรื่อง Hector and the Search for Happiness ซึ่งเขารับบทนำและได้นำแสดงกับโรซามุนด์ ไพค์ใน The World’s End

ผลงานพากย์เสียงและ/หรือโมชัน แคปเจอร์ในฐานะนักแสดงของเขาได้แก่แฟรนไชส์ Ice Age และเขาก็ได้ร่วมงานกับนิค ฟรอสท์ในภาพยนตร์โดยสตีเวน สปีลเบิร์กเรื่อง The Adventures of Tintin, The Boxtrolls สำหรับโฟกัส ฟีเจอร์สและไลก้า ที่กำกับโดยแอนโธนี สตาชชี่และเกรแฮม แอนนาเบิล

นอกเหนือจาก Spaced เพ็กก์ยังได้เป็นขาประจำซีรีส์ซิทคอมต่างๆ เช่น Faith in the Future และ Asylum ที่เป็นการร่วมงานกันครั้งแรกระหว่างเขากับเอ็ดการ์ ไรท์และเจสสิก้า ไฮน์ส เขาได้รับบทดารารับเชิญในซีรีส์ Doctor Who, I’m Alan Partridge และ ฯลฯ และได้แสดงในซีรีส์สเก็ตช์เรื่อง Big Train ที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลรอยัล เทเลวิชัน โซไซตี้ อวอร์ดสาขาการแสดงบันเทิงยอดเยี่ยม ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจของเขาคือมินิซีรีส์คลาสสิกเรื่อง Band of Brothers

 

นิค ฟรอสท์ (Nick Frost) รับบท แอนดี้

นิค ฟรอสท์ เป็นที่รู้จักครั้งแรกในซิทคอมรางวัลทางแชนแนล โฟร์เรื่อง Spaced ในบทไมค์ วัตต์ ตัวละครที่เขาสร้างขึ้นเพื่อเย้าแหย่ ไซมอน เพ็กก์ เพื่อนสนิทในชีวิตจริงของเขา นอกเหนือจากการร่วมมือของเพื่อนสองคนนี้แล้ว ซีรีส์นี้ยังเป็นการร่วมมือกันครั้งแรกระหว่างฟรอสท์และผู้กำกับเอ็ดการ์ ไรท์อีกด้วย และหลังจากนั้น ทั้งสามคนก็ได้ร่วมกันสร้างภาพยนตร์ฮิตเรื่อง Shaun of the Dead ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบริติช อินดีเพนเดนท์ ฟิล์ม อวอร์ดและได้รับรางวัลแฟนโกเรีย เชนซอว์ อวอร์ด และภาพยนตร์เรื่อง Hot Fuzz ด้วย

นับตั้งแต่นั้นมา ฟรอสท์ก็กลายเป็นหนึ่งในนักแสดงที่เป็นที่ต้องการตัวสูงสุดของอังกฤษ เขาได้เป็นพิธีกรซีรีส์ต่างๆ ของตัวเองสำหรับแชนแนล ไฟว์เรื่อง Danger! 50,000 Volts! และ Danger! Incoming Attack! และได้แสดงในซิทคอมโดยแชนแนล โฟร์เรื่อง Black Books ได้แสดงในซีรีส์สเก็ตช์ คอเมดีทางบีบีซีเรื่อง Man Stroke Woman และรับบทนำในซีรีส์คอเมดีไซไฟทางบีบีซีทูเรื่อง Hyperdrive

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์โดยรูเพิร์ต แซนเดอร์สเรื่อง Snow White and the Huntsman, ภาพยนตร์โดยริชาร์ด เคอร์ติสเรื่อง Pirate Radio, a.k.a. The Boat That Rocked สำหรับเวิร์คกิ้ง ไตเติลและโฟกัส ฟีเจอร์ส, ภาพยนตร์โดยจูเลียน จาร์โรลด์เรื่อง Kinky Boots, ภาพยนตร์โดยมาร์ค พาแลนสกี้เรื่อง Penelope, ภาพยนตร์โดยนิค มัวร์เรื่อง Wild Child’ และภาพยนตร์รางวัลโดยโจ คอร์นิชเรื่อง Attack the Block หลังจากนี้ เขาจะได้แสดงและเต้นประกบราชิดา โจนส์ในภาพยนตร์โดยเจมส์ กริฟฟิธส์เรื่อง Cuban Fury ซึ่งเขารับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างและเป็นคนคิดไอเดียสำหรับเรื่องราวดั้งเดิมนี้

ฟรอสท์ร่วมกับไซมอน เพ็กก์ เขียนบทภาพยนตร์ดั้งเดิมเรื่อง Paul ที่พวกเขาแสดงนำให้กับเวิร์คกิ้ง ไตเติล ภายใต้การกำกับของเกร็ก มอตโตลา และทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเนชันแนล มูฟวี อวอร์ดในอังกฤษ หลังจากนั้น เขาและเพ็กก์ก็ได้แสดงบทธอมสันและธอมป์สัน นักสืบที่เป็นที่รักจากฝีมือแอร์เจ สำหรับอีพิคโดยสตีเวน สปีลเบิร์กเรื่อง The Adventures of Tintin และพากย์เสียงให้กับภาพยนตร์อนิเมชันโดยโฟกัส ฟีเจอร์สและไลก้าเรื่อง The Boxtrolls ที่กำกับโดยแอนโธนี สตาชชี่และเกรแฮม แอนนาเบิล

การแสดงนำของเขาในซีรีส์บีบีซีที่ดัดแปลงจาก Money โดยมาร์ติน เอมิส และกำกับโดยเจเรมี โลเวอร์ริง ได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์และตัวผู้เขียนเช่นกัน หลังจากนั้น ฟรอสท์ได้แสดงบทนำในซีรีส์สกาย แอตแลนติกที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในยุค 60s เรื่อง Mr. Sloane จากมือเขียนบท/ผู้กำกับโรเบิร์ต บี. วี้ด ประกบโอลิเวีย โคลแมนและโอฟีเลีย โลวิบอนด์

 

แพ็ดดี้ คอนซิไดน์ (Paddy Considine) รับบท สตีเวน

ในฐานะนักแสดง ก่อนหน้านี้ แพ็ดดี้ คอนซิไดน์เคยร่วมมือกับผู้กำกับเอ็ดการ์ ไรท์และนักแสดงไซมอน เพ็กก์และนิค ฟรอสท์จาก The World’s End มาแล้วในภาพยนตร์แอ็กชันคอเมดีเรื่อง Hot Fuzz

ในฐานะมือเขียนบท/ผู้กำกับ เขาได้รับรางวัลบาฟต้า อวอร์ดจาก Dog Altogether ที่นำแสดงโดยปีเตอร์ มุลแลน และได้รับรางวัลภาพยนตร์ขนาดสั้นยอดเยี่ยม เขาได้รับรางวัลบาฟต้า อวอร์ดอีกครั้งจากผลงานกำกับ/เขียนบทเรื่องแรกของเขา Tyrannosaur ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานเปิดตัวยอดเยี่ยมโดยมือเขียนบท ผู้กำกับหรือผู้อำนวยการสร้างชาวอังกฤษ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลบีฟาสาขาภาพยนตร์อินดีอังกฤษยอดเยี่ยม นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (โอลิเวีย โคลแมน) และรางวัลดักกลาส ฮิคค็อกซ์ อวอร์ด (สำหรับคอนซิไดน์) และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบีฟาสาขางานสร้างยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (มุลแลน) และนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (เอ็ดดี้ มาร์สัน) รางวัลอื่นๆ ที่ Tyrannosaur ได้รับคือการได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสปิริต อวอร์ดและรางวัลสมาพันธ์มือเขียนบทอังกฤษสำหรับคอนซิไดน์, รางวัลอีฟนิง สแตนดาร์ด บริติช ฟิล์ม อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมสำหรับโคลแมนและรางวัลสเปเชียล จูรี ไพรซ์จากงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์สำหรับโคลแมนและมุลแลน รวมทั้งรางวัลกำกับยอดเยี่ยม (ในประเภทเวิลด์ ซีเนมาส์ ดรามาติค) สำหรับคอนซิไดน์

เขาได้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Dead Man’s Shoes กับผู้กำกับเชน มีโดว์ส ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้ เขาเคยแสดงภายใต้การกำกับของเขาใน A Room for Romeo Brass ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบีฟาสาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอนดอนสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและรางวัลอีฟนิง สแตนดาร์ด บริติช อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม นอกจากนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟต้า อวอร์ดสาขาภาพยนตร์อังกฤษยอดเยี่ยมแห่งปีอีกด้วย เขาได้แสดงให้กับมีโดว์สอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง Le Donk & Scor-zay-zee

ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของคอนซิไดน์ได้แก่ภาพยนตร์โดยจิม เชอริแดนเรื่อง In America ที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็ก อวอร์ดร่วมกับเพื่อนนักแสดงในเรื่องของเขา, ภาพยนตร์โดยรอน โฮเวิร์ดเรื่อง Cinderella Man, ภาพยนตร์โดยสตีเฟน วูลลีย์เรื่อง Stoned, ภาพยนตร์โดยไมเคิล วินเทอร์บอททอมเรื่อง 24 Hour Party People, ภาพยนตร์โดยริชาร์ด อโยเอดเรื่อง Submarine, ภาพยนตร์โดยโอล ปาร์คเกอร์เรื่อง Now is Good ประกบดาโกต้า แฟนนิงและโอลิเวีย วิลเลียมส์, รับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง The Half Life of Timofey Berezin, a.k.a. Pu-239 ที่ดัดแปลงและกำกับโดยสก็อต ซี. เบิร์นส์, ภาพยนตร์โดยพอล กรีนกราสเรื่อง The Bourne Ultimatum ประกบแมทท์ เดมอนและภาพยนตร์โดยเจมส์ มาร์ชเรื่อง  “1980” ซึ่งเป็นหนึ่งในไตรภาค Red Riding

ผลงานของผู้กำกับ/มือเขียนบท พาเวล พาว์ลิโคว์สกี้เรื่อง  My Summer of Love ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบีฟาสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ก่อนหน้านี้ เขาเคยแสดงให้กับผู้กำกับผู้นี้มาแล้วใน Last Resort ซึ่งทำให้เขาได้รับการยกย่องเป็นนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์เธซซาโลนิกิ My Summer of Love โดยโฟกัส ฟีเจอร์ส ได้รับสองรางวัลอีฟนิง สแตนดาร์ด บริติช ฟิล์ม อวอร์ด รางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเอดินเบิร์กห์และรางวัลบาฟต้า อวอร์ดสาขาภาพยนตร์อังกฤษยอดเยี่ยมแห่งปี

นอกจากนั้น ชาวเบอร์ตัน-อัพพอน-เทรนท์ผู้นี้ยังได้แสดงในภาพยนตร์ขนาดสั้นรางวัลบาฟต้าโดยคริสโตเฟอร์ มอร์ริสเรื่อง My Wrongs 8245-8249 and 117 อีกด้วย

 

มาร์ติน ฟรีแมน (Martin Freeman) รับบท โอลิเวอร์

มาร์ติน ฟรีแมน ยังคงดึงดูดความสนใจจากผู้ชมและนักวิจารณ์ด้วยฝีมือการแสดงที่หลากหลายของเขาในคอเมดี ดรามาและอีพิคแฟนตาซีผจญภัย

ล่าสุด ผู้ชมได้เห็นเขาแสดงบทบิลโบ้ แบ็กกินส์ ผู้กล้าหาญของเจ.อาร์.อาร์. โทลคีน ในภาพยนตร์โดยปีเตอร์ แจ็คสันเรื่อง The Hobbit: An Unexpected Journey ซึ่งกวาดรายได้ไปกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญทั่วโลก การแสดงของเขาทำให้เขาได้รับรางวัลเอ็มไพร์ อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม เขายังคงสานต่อเรื่องราวของบิลโบ้ในภาพยนตร์โดยแจ็คสันเรื่อง The Hobbit: The Desolation of Smaug ที่จะเข้าฉายในเดือนธันวาคม ปี 2013 และ The Hobbit: There and Back Again ที่จะเข้าฉายในเดือนธันวาคม ปี 2014

เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งได้รับรางวัลบาฟต้า อวอร์ดและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี อวอร์ด จากบทจอห์น วัตสันในซีรีส์อังกฤษเรื่อง Sherlock ที่เขาได้แสดงประกบเบเนดิคท์ คัมเบอร์แบทช์ จนถึงตอนนี้ ซีรีส์นี้แพร่ภาพไปสองซีซันและกำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำซีซันที่สาม

ผลงานจอแก้วที่โดดเด่นเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่การแสดงบท จิม ในซีรีส์อังกฤษเวอร์ชันออริจินอลของ The Office ประกบริคกี้ เกอร์เวส ที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟต้าและบริติช คอเมดี อวอร์ด เขาได้นำแสดงในซีรีส์เรื่อง Hardware ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลโกลเดน โรส อวอร์ดสาขาการแสดงตลกโดยนักแสดงชายยอดเยี่ยมและมินิซีรีส์รางวัลบาฟต้าของโจ ไรท์เรื่อง The Last King ที่ทำให้เขาได้ร่วมงานกับเอ็ดดี้ มาร์สัน เพื่อนนักแสดงจาก The World’s End

ฟรีแมนได้ศึกษาที่เซ็นทรัล สคูล ออฟ สปีช แอนด์ ดรามาแห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน ผลงานละครเวทีมากมายของเขาได้แก่ Volpone โปรดักชันของรอยัล เนชันแนล เธียเตอร์ ที่กำกับแมทธิว วอร์ชัสและ Mother Courage and Her Children ที่กำกับโดยโจนาธาน เคนท์, The Comedians ที่กำกับโดยฌอน โฮล์มส์ กับอ็อกซ์ฟอร์ด สเตจ คัมปะนี, The Exonerated ที่กำกับโดยบ็อบ บาลาบานที่ริเวอร์ไซด์ สตูดิโอส์, Clybourne Park รางวัลพูลิทเซอร์ ที่กำกับโดยโดมินิค คุ้ก ที่รอยัล คอร์ท เธียเตอร์และ Jump to Cow Heaven ที่กำกับโดยวิลเลียม เคอร์ลีย์ และได้รับรางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์เอดินเบิร์กห์ปี 1997

เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมนักแสดงในภาพยนตร์โดยริชาร์ด เคอร์ติสเรื่อง Love Actually ที่กลายเป็นภาพยนตร์ขวัญใจผู้ชมทั่วโลก นอกจากนี้ ผู้ชมยังได้เห็นเขารับบทนำในภาพยนตร์โดยการ์ธ เจนนิงส์เรื่อง The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy และภาพยนตร์โดยเจค พัลโทรว์เรื่อง The Good Night โดยเรื่องหลัง เขาได้ร่วมงานกับไซมอน เพ็กก์ เพื่อนร่วมแสดงใ The World’s End, คอเมดีอิมโพรไวส์โดยเด็บบี้ อิสซิทท์เรื่อง Confetti และ Nativity!, ภาพยนตร์โดยจัสติน เธอโรซ์เรื่อง Dedication, ภาพยนตร์โดยปีเตอร์ กรีนอเวย์เรื่อง Nightwatching ในบทจิตรกรเรมแบรนด์และภาพยนตร์โดยแอนโธนี มิงเกลลาเรื่อง Breaking and Entering

ก่อนหน้านี้ เขาเคยร่วมงานกับผู้กำกับเอ็ดการ์ ไรท์จาก The World’s End มาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง Shaun of the Dead และ Hot Fuzz

 

เอ็ดดี้ มาร์สัน (Eddie Marsan) รับบท ปีเตอร์

การแสดงประกบแซลลี ฮอว์กินส์ที่น่าจดจำของเอ็ดดี้ มาร์สันในภาพยนตร์โดยไมค์ ลีห์เรื่อง Happy-Go-Lucky ทำให้เขาได้รับรางวัลบีฟตาและรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์แห่งชาติ (ในอเมริกา) สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ก่อนหน้านี้ เขาเคยได้รับรางวัลบีฟามาแล้วจากการแสดงประกบอิเมลดา สตอนตัน, ฟิล เดวิสและอเล็กซ์ เคลลีในภาพยนตร์โดยลีห์เรื่อง Vera Drake

เขาได้รับการเสนอชื่อชิงบีฟาอีกครั้งจากการแสดงใน Tyrannosaur ที่เขียนบทและกำกับโดยแพ็ดดี้ คอนซิไดน์ เพื่อนร่วมแสดง The World’s End ของเขา และร่วมแสดงโดยโอลิเวีย โคลแมน

ผลงานภาพยนตร์มากมายของเขาได้แก่ภาพยนตร์โดยสตีเวน สปีลเบิร์กเรื่อง War Horse, ภาพยนตร์โดยมาร์ติน สกอร์เซซีเรื่อง Gangs of New York, ภาพยนตร์โดยอเลฮันโดร กอนซาเลซ อินาร์ริตูเรื่อง 21 Grams ให้กับโฟกัส ฟีเจอร์ส ซึ่งเขาได้แสดงประกบเบนิซิโอ เดล โทโร, ภาพยนตร์โดยเทอร์เรนซ์ มาลิคเรื่อง The New World, ภาพยนตร์โดยเจ.เจ. อับรามส์เรื่อง Mission: Impossible III ประกบไซมอน เพ็กก์ เพื่อนร่วมแสดงจาก The World’s End, ภาพยนตร์โดยอิซาเบล คัวเซ็ทเรื่อง  The Secret Life of Words, ภาพยนตร์โดยนีล เบอร์เกอร์เรื่อง The Illusionist, ภาพยนตร์โดยเจมส์ แม็คที้คเรื่อง V for Vendetta, ภาพยนตร์โดยปีเตอร์ เบิร์กเรื่อง Hancock ประกบวิล สมิธ, ภาพยนตร์โดยริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์เรื่อง Me and Orson Welles ในบทจอห์น เฮาส์แมน, ภาพยนตร์โดยจูเลียน จาร์โรลด์เรื่อง “1974” ในไตรภาค Red Riding, ภาพยนตร์โดยเจ เบลคสันเรื่อง The Disappearance of Alice Creed ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอีฟนิง สแตนดาร์ด บริติช ฟิล์ม อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, ภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์โดยรูเพิร์ต แซนเดอร์สเรื่อง  Snow White and the Huntsman, ภาพยนตร์โดยไบรอัน ซิงเกอร์เรื่อง Jack the Giant Slayer และบทผู้ตรวจการเลอสเตรดในภาพยนตร์ Sherlock Holmes ทั้งสองภาคโดยกาย ริทชี ประกบโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์และจู๊ด ลอว์

นักแสดงชาวอังกฤษผู้นี้เคยทำงานเป็นผู้พิมพ์หนังสือมาก่อนที่จะหันไปจับงานแสดง เขาเข้าศึกษาที่เมาท์วิว อคาเดมี ออฟ เธียเตอร์ อาร์ต์ ตามด้วยอคาเดมี ออฟ ไซเอนซ์ ออฟ แอ็กติ้ง แอนด์ ไดเร็คติ้ง (เอเอสเอดี) ภายใต้แซม โคแกน ผู้ก่อตั้ง ผลงานละครเวทีของเขารวมถึงการแสดงที่เนชันแนล เธียเตอร์ ในละครเรื่อง The Homecoming โปรดักชันของโรเจอร์ มิเชลและละครเรื่อง Chips with Everything โดยโฮเวิร์ด เดวีส์ รวมถึงการแสดงบทริชาร์ดที่สาม ภายใต้การกำกับของกาย เรทอลแล็คอีกด้วย

ผลงานจอแก้วอังกฤษของเขารวมถึงภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์โดยโจ ไรท์เรื่อง Bodily Harm และมินิซีรีส์ The Last King ที่เขาได้ร่วมงานกับมาร์ติน ฟรีแมน เพื่อนร่วมแสดงจาก The World’s End นอกจากนั้น เขายังได้รับบทรับเชิญในซีรีส์ Criminal Justice และ The Bill และได้นำแสดงในซีรีส์ Get Well Soon อีกด้วย ในซัมเมอร์ปี 2013 เขาจะได้แสดงประกบลีฟ ชไรเบอร์และจอน วอยท์ในซีรีส์ดรามาเรื่อง Ray Donovan ที่จะแพร่ภาพทางโชว์ไทม์ในอเมริกา

 

โรซามุนด์ ไพค์ (Rosamund Pike) รับบท แซม

โรซามุนด์ ไพค์ ผู้ได้รับเลือกให้แสดงภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องแรก ในบทสาวบอนด์ตอนอายุ 21 ปี ที่เธอเพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ได้แสดงประกบเพียร์ซ บรอสแนนและฮัลลี เบอร์รีในภาพยนตร์โดยลี ทามาโฮริเรื่อง Die Another Day การแสดงในเรื่องนั้นทำให้เธอได้รับรางวัลเอ็มไพร์ อวอร์ดสาขานักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม หลังจากนั้น เธอก็แสดงในภาพยนตร์โดยโจ ไรท์เรื่อง Pride & Prejudice สำหรับโฟกัส ฟีเจอร์สและเวิร์คกิ้ง ไตเติล ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอนดอน นอกเหนือจากนั้น เธอยังได้แสดงประกบจอห์นนี เด็ปป์ในภาพยนตร์โดยลอว์เรนซ์ ดันมอร์ The Libertine ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลบีฟา เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบีฟาและสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอนดอนอีกครั้งจากการแสดงของเธอในภาพยนตร์โดยไนเจล โคลเรื่อง Made in Dagenham และภาพยนตร์โดยโลน เชอร์ฟิกเรื่อง An Education นอกจากนี้ ภาพยนตร์เรื่องหลังยังทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็ก อวอร์ดร่วมกับเพื่อนนักแสดงจากเรื่องเดียวกันอีกด้วย

การแสดงประกบพอล จิอาแมตติของเธอในภาพยนตร์โดยริชาร์ด เจ. ลูอิสเรื่อง Barney’s Version ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอนดอน, รางวัลจินนีและรางวัลแซทเทิลไลท์ อวอร์ด ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ภาพยนตร์โดยเจเรมี โพเดสวาเรื่อง นFugitive Pieces ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลจินนี อวอร์ดด้วยเช่นกัน, ภาพยนตร์โดยเกรกอรี ฮ็อบลิทเรื่อง Fracture ประกบไรอัน กอสลิง, ภาพยนตร์โดยโจนาธาน มอสโทว์เรื่อง  Surrogates ประกบบรูซ วิลลิส, ภาพยนตร์โดยคริสโตเฟอร์ แลนดอนเรื่อง Burning Palms, ภาพยนตร์โดยโอลิเวอร์ ปาร์คเกอร์เรื่อง Johnny English Reborn ประกบโรแวน แอทคินสัน, ภาพยนตร์โดยเดวิด แฟรงค์เคลเรื่อง The Big Year ประกบโอเวน วิลสัน, ภาพยนตร์โดยโจนาธาน ลีเบสแมนเรื่อง Wrath of the Titans ประกบแซม เวิร์ธธิงตัน, ภาพยนตร์โดยคริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์เรื่อง Jack Reacher ประกบทอม ครูซและภาพยนตร์โดยปาสคัล เชาเมลเรื่อง A Long Way Down ที่สร้างจากนิยายโดยนิค ฮอร์นบี้ ปัจจุบัน เธอกำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์โดยปีเตอร์ เชลซอล์มเรื่อง Hector and the Search for Happiness ที่เธอแสดงประกบไซมอน เพ็กก์จาก The World’s End

หลังจากที่เข้าร่วมกับคณะเนชันแนล ยูธ เธียเตอร์ตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่น เธอก็หวนคืนสู่ละครเวทีเป็นประจำ โดยล่าสุด เธอได้แสดงใน Hedda Gabler ที่เปิดการแสดงในอังกฤษ เธอได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากการแสดงใน Hitchcock Blonde ที่เขียนบทและกำกับโดยเทอร์รี่ จอห์นสัน เธอได้นำแสดงในละครเรื่อง Gaslight ที่โอลด์ วิค เธียเตอร์ และได้แสดงประกบจูดี้ เดนช์ในละครเรื่อง Madame de Sade โปรดักชันของวินด์แฮม เธียเตอร์ หนึ่งในผลงานจอแก้วของเธอได้แก่เวอร์ชันมินิซีรีส์เรื่อง Women in Love โดยมิแรนดา โบเวน

ประวัติทีมผู้สร้าง

 

เอ็ดการ์ ไรท์ (Edgar Wright)—ผู้กำกับ

เอ็ดการ์ ไรท์ ได้พัฒนาจากคนหนุ่มที่ชื่นชอบภาพยนตร์ไปสู่ผู้ที่พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นหนึ่งในกี๊คที่เป็นที่ต้องการตัวสูงสุดในแวดวงภาพยนตร์ปัจจุบัน

เขาเติบโตมาในโซเมอร์เซ็ท ประเทศอังกฤษ เขาเริ่มต้นสร้างภาพยนตร์ขนาดสั้นด้วยกล้อง Super 8 ของเขาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น และเขาก็เดินหน้าสร้างภาพยนตร์ขนาดสั้นมากขึ้นหลังจากที่เขาได้กล้อง Video 8 มาในการแข่งขันคอมิก รีลิฟ จากผลงานภาพยนตร์เรื่อง I Want to Get Into the Movies ซึ่งเป็นอนิเมชันเปรียบเปรยเกี่ยวกับการเข้าถึงของรถวีลแชร์

พออายุได้ 20 ปี เขาก็ได้กำกับ A Fistful of Fingers ภาพยนตร์ที่ไม่ใช้ทุนสร้าง และนำแสดงโดยวัยรุ่นในท้องถิ่น และถ่ายทำด้วยกล้อง 16 ม.ม. ภาพยนตร์เวสเทิร์นอังกฤษที่เหลือเชื่อเรื่องนี้ได้เข้าฉายแบบจำกัดโรงและเบิกทางไปสู่การทำงานจอแก้วของเขากับพาราเมาท์ คอเมดี แชนแนล ระหว่างที่อยู่ที่นั่น เขาได้กำกับซีรีส์สเก็ตช์เรื่อง Mash and Peas กับแมทท์ ลูคัสและเดวิด ไวเลียมส์ อนาคตนักแสดงนำใน Little Britain และซิทคอมเรื่อง Asylum ซึ่งทำให้เขาได้ร่วมงานกับไซมอน เพ็กก์และเจสสิก้า ไฮน์ส ผู้จะได้ร่วมงานกับเขาในอนาคต

ระหว่างที่ยังอยู่ในวัย 20 กว่าๆ เขาได้กำกับซีรีส์คอเมดีหลายเรื่องให้กับบีบีซี รวมถึง Merry-Go-Round, Is It Bill Bailey?, Murder Most Horrid, Sir Bernard’s Stately Homes และ French and Saunders

เขาได้รับความสนใจในอังกฤษเมื่อเขากำกับสองซีซันของซีรีส์ Spaced ให้กับแชนแนล โฟร์ ซีรีส์เรื่องนี้ ที่นำแสดงและเขียนบทโดยไซมอน เพ็กก์และเจสสิก้า ไฮน์ส ได้รับสองรางวัลบริติช คอเมดี อวอร์ดและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟต้า อวอร์ดและอินเตอร์เนชันแนล เอ็มมี อวอร์ด ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซีรีส์เรื่องนี้มีแฟนติดตามทั่วโลกและในปี 2008 ทั้งสามคนก็ได้ทัวร์อเมริกาเพื่อประชาสัมพันธ์การจัดจำหน่ายในรูปแบบดีวีดี

ซีรีส์นี้เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับภาพยนตร์ปี 2004 เรื่อง Shaun of the Dead ซึ่งไรท์กำกับและร่วมเขียนบทกับไซมอน เพ็กก์ ผู้แสดงประกบนิค ฟรอสท์ เพื่อนร่วมแสดงของเขาจาก Spaced ภาพยนตร์ “รอม ซอม คอม” โดยเวิร์คกิ้ง ไตเติลเรื่องนี้ ประสบความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศชนิดพลิกความคาดหมาย โดยได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลบาฟต้า อวอร์ด ซึ่งรวมถึงสาขาภาพยนตร์อังกฤษยอดเยี่ยมแห่งปี และได้รับรางวัลบีฟา อวอร์ดสาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอีกด้วย นอกจากนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ได้รับการยกย่องจากนิตยสารไทม์ว่าเป็นหนึ่งใน 25 ภาพยนตร์สยองขวัญยอดเยี่ยมตลอดกาล ยังได้รับรางวัลเอ็มไพร์ อวอร์ดสาขาภาพยนตร์อังกฤษยอดเยี่ยมแห่งปีและรางวัลแซทเทิร์น อวอร์ดสาขาภาพยนตร์สยองขวัญยอดเยี่ยมอีกด้วย จอร์จ โรเมโร ปรมาจารย์ภาพยนตร์ซอมบี้ถึงกับประกาศว่ามันเป็น “ภาพยนตร์ซอมบี้เรื่องโปรด” ของเขาด้วย

หลังจากนั้น เขาก็มีผลงานเป็นแอ็กชันคอเมดีเรื่อง Hot Fuzz ที่ไรท์กำกับและร่วมเขียนบทกับไซมอน เพ็กก์ ผู้กลับมาร่วมแสดงกับนิค ฟรอสท์อีกครั้ง ภาพยนตร์โดยเวิร์คกิ้ง ไตเติลเรื่องนี้ติดอันดับท็อปในบ็อกซ์ออฟฟิศอังกฤษนานสามสัปดาห์และทำรายได้ไปกว่า 90 ล้านเหรียญ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลเนชันแนล มูฟวี อวอร์ดและเอ็มไพร์ อวอร์ดสาขาคอเมดียอดเยี่ยม

ไรท์ได้กำกับเทรลเลอร์ปลอม  “Don’t” ให้กับอีพิคโดยเควนติน ทารันติโนและโรเบิร์ต โรดริเกซเรื่อง Grindhouse และเขาก็ได้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์โดยปีเตอร์ แจ็คสันและผู้กำกับสตีเวน สปีลเบิร์กเรื่อง The Adventures of Tintin กับสตีเวน มอฟแฟทและโจ คอร์นิช

ผลงานเรื่องถัดไปของเขาในฐานะผู้กำกับคือ Scott Pilgrim vs. the World ที่ผสมผสานความรัก คอเมดี แอ็กชันและแฟนตาซีเข้าด้วยกันอย่างมีเอกลักษณ์ ที่เขาได้อำนวยการสร้างและร่วมเขียนบทกับไมเคิล บาคัลล์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่สร้างจากนิยายภาพโดยไบรอัน ลี โอมัลลีย์ นำแสดงโดยไมเคิล เซราและร่วมแสดงโดยนักแสดงดาวรุ่งอย่างบรี ลาร์สัน, เอลเลน หว่องและออเบรย์ พลาซา บทภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแบรดเบอรี อวอร์ดจากสมาคมนักเขียนไซไฟและแฟนตาซีแห่งอเมริกาและภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้รับรางวัลเอ็มไพร์ อวอร์ดสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม รางวัลคอเมดี เซ็นทรัล คอเมดี อวอร์ดสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม สองรางวัลสครีม อวอร์ด ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแกลด มีเดีย อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่เข้าฉายทั่วประเทศและสองรางวัลแซทเทิลไลท์ อวอร์ด ซึ่งรวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม – คอเมดีหรือมิวสิคัลด้วย

เขาได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์ผลงานกำกับเรื่องแรกของโจ คอร์นิชเรื่อง Attack the Blockและภาพยนตร์ดังโดยเบน วีทลีย์เรื่อง Sightseers ที่นำแสดงโดยอลิซ โลว์และสตีฟ โอแรม ซึ่งร่วมแสดงใน The World’s End ด้วยทั้งคู่

โปรเจ็กต์หลังจากนี้ของเขาได้แก่ภาพยนตร์ที่สร้างจาก Ant-Man โดยมาร์เวล คอมิกส์ สำหรับมาร์เวล สตูดิโอส์ ซึ่งเขารับหน้าที่ผู้กำกับ มือเขียนบทและผู้อำนวการสร้างและ Baby Driver สำหรับเวิร์คกิ้ง ไตเติล ฟิล์มส์

ในปี 2011 เขาได้รับรางวัลอินสไปเรชัน อวอร์ดจากเวทีเอ็มไพร์ อวอร์ด

 

นีรา ปาร์ค (Nira Park)ผู้อำนวยการสร้าง

นีรา ปาร์ค ได้ก่อตั้งบริษัทบิ๊ก ทอล์ค พิคเจอร์สขึ้นในปี 1995 ซึ่งเธอได้อำนวยการสร้างซีรีส์คอเมดีรางวัลโดยไซมอน เพ็กก์และเจสสิก้า ไฮน์สเรื่อง Spaced ที่กำกับโดยเอ็ดการ์ ไรท์, สามซีซันของซิทคอมรางวัลบาฟต้าเรื่อง Black Books และซีรีส์คอเมดี/ดรามาเรื่อง Free Agents

หลังจากความสำเร็จของ Spaced เธอก็ได้พัฒนาและอำนวยการสร้างภาพยนตร์ฮิตปี 2004 เรื่อง Shaun of the Dead ที่ทำให้เธอได้ร่วมงานกับเพ็กก์และไรท์อีกครั้งและทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลคาร์ล โฟร์แมน อวอร์ดจากเวทีบาฟต้า นอกจากนี้ เธอยังได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน “10 ผู้อำนวยการสร้างน่าจับตามอง” ของนิตยสารวาไรตี้อีกด้วย ในปี 2006 เธอได้อำนวยการสร้างผลงานการกำกับเรื่องแรกของรินแกน เลดวิดจ์เรื่อง Gone สำหรับเวิร์คกิ้ง ไตเติล ฟิล์มส์และยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส

ในฐานะหุ้นส่วนการอำนวยการสร้างของเอ็ดการ์ ไรท์ เธอได้ร่วมมือกับเขาและไซมอน เพ็กก์อีกครั้งในภาพยนตร์ปี 2007 เรื่อง Hot Fuzz และได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ของเขาเรื่อง Scott Pilgrim vs. the World ที่นำแสดงโดยไมเคิล เซรา และเข้าฉายทั่วโลกในเดือนสิงหาคม ปี 2010 ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ชื่นชม

นอกจากนี้ เธอยังได้ควบคุมงานสร้างซีรีส์ซิทคอมยอดนิยมทางบีบีซี ธรีเรื่อง Him & Her และ Friday Night Dinner ทางแชนแนล โฟร์ ที่เขียนบทและอำนวยการสร้างโดยโรเบิร์ต ป็อปเปอร์ ในเดือนธันวาคม ปี 2010 เธอได้รับรางวัลผู้อำนวยการสร้างแห่งปีจากเวทียูเค วีเมน อิน ฟิล์ม แอนด์ ทีวี อวอร์ด

เมื่อเร็วๆ นี้ เธอได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์หลากหลายแนว ในปี 2011 เธอมีผลงานเรื่อง Paul ที่เขียนบทและนำแสดงโดยไซมอน เพ็กก์และนิค ฟรอสท์และกำกับโดยเกร็ก มอตโตลาสำหรับเวิร์คกิ้ง ไตเติล/ยูนิเวอร์แซล หลังจากนั้น เธอก็มีผลงานเรื่อง Attack the Block ซึ่งเป็นผลงานการกำกับเรื่องแรกของโจ คอร์นิช ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลมากมาย ซึ่งรวมถึงออเดียนซ์ อวอร์ดจากซิทเกส, เซาธ์บายเซาธ์เวสต์, ลาฟฟ์และเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติแฟนตาเซีย Sightseers โดยเบน วีทลีย์ ได้เปิดตัวรอบปฐมทัศน์โลกในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ปี 2012 และได้เข้าฉายพิเศษในสายไดเร็คเตอร์ส์ ฟอร์ทไนท์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังคงเดินหน้ากวาดรางวัลในต่างประเทศอยู่เรื่อยๆ

ภาพยนตร์สยองขวัญจิตวิทยาเรื่อง In Fear ที่กำกับและเขียนเรื่องราวโดยเจเรมี โลเวอร์ริง สำหรับสตูดิโอแคแนล/ฟิล์มโฟร์ มีกำหนดเข้าฉายในเดือนสิงหาคม ปี 2013 ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2013

หลังจากปิดกล้อง The World’s End เธอก็จะทำงานโพสต์โปรดักชันภาพยนตร์เรื่อง Cuban Fury แดนซ์คอเมดีที่นำแสดงโดยนิค ฟรอสท์และกำกับโดยเจมส์ กริฟฟิธส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดเข้าฉายในอังกฤษในเดือนมกราคม ปี 2014

 

ทิม บีแวน และอีริค เฟลเนอร์ (Tim Bevan and Eric Fellner)—ผู้อำนวยการสร้าง

เวิร์คกิ้ง ไตเติล ฟิล์มส์ ซึ่งร่วมบริหารงานโดยทิม บีแวนและอีริค เฟลเนอร์ ตั้งแต่ปี 1992 เป็นหนึ่งในบริษัทสร้างภาพยนตร์ระดับแนวหน้าของโลก

เวิร์คกิ้ง ไตเติล ที่ก่อตั้งในปี 1983 ได้สร้างภาพยนตร์กว่า 100 เรื่อง ซึ่งทำรายได้กว่า 6 พันล้านเหรียญทั่วโลก ภาพยนตร์ของพวกเขาได้รับสิบรางวัลอคาเดมี อวอร์ด (จากภาพยนตร์โดยทอม ฮูเปอร์เรื่อง Les Misérables, ภาพยนตร์โดยทิม ร็อบบินส์เรื่อง Dead Man Walking, ภาพยนตร์โดยโจเอลและอีธาน โคเอนเรื่อง Fargo, ภาพยนตร์โดยเชคาร์ คาปูร์เรื่อง Elizabeth และ Elizabeth: The Golden Age และภาพยนตร์โดยโจ ไรท์เรื่อง Atonement และ Anna Karenina) และ 35 รางวัลบาฟต้า รวมทั้งรางวัลต่างๆ จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์และเบอร์ลินด้วย

บีแวนและเฟลเนอร์ได้รับสองรางวัลสูงสุดที่มอบให้กับผู้สร้างภาพยนตร์ชาวอังกฤษ ได้แก่รางวัลไมเคิล บัลคอน อวอร์ดสาขาคุณูปการดีเด่นต่อภาพยนตร์ จากเวทีออเรนจ์ บริติช อคาเดมี ฟิล์ม อวอร์ดส์ [บาฟต้า] และรางวัลอเล็กซานเดอร์ วอล์คเกอร์ ฟิล์ม อวอร์ดจากเวทีอีฟนิง สแตนดาร์ด บริติช ฟิล์ม อวอร์ด นอกจากนั้น ทั้งคู่ยังได้รับการติดยศคอมมานเดอร์ ออฟ เดอะ ออร์เดอร์ ออฟ เดอะ บริติช เอ็มไพร์อีกด้วย

เวิร์คกิ้ง ไตเติลได้ประสบความสำเร็จจากการร่วมงานกับผู้กำกับหลายคนอย่างต่อเนื่อง เช่นพี่น้องโคเอน, ริชาร์ด เคอร์ติส, สตีเฟน ดัลดรี้, พอล กรีนกราส, รอน โฮเวิร์ด, เอ็ดการ์ ไรท์และโจ ไรท์ และนักแสดงหลายคน เช่นโรแวน แอทคินสัน, เคท บลังเช็ตต์, โคลิน เฟิร์ธ, นิค ฟรอสท์, ฮิวจ์ แกรนท์, เคียรา ไนท์ลีย์, ไซมอน เพ็กก์และเอ็มมา ธอมป์สัน

ผลงานสร้างที่มากมายและหลากหลายของพวกเขา นอกจากที่เอ่ยถึงมาแล้ว ยังรวมถึงภาพยนตร์โดยไมค์ นีเวลเรื่อง

Four Weddings and a Funeral, ภาพยนตร์โดยริชาร์ด เคอร์ติสเรื่อง Love Actually, ภาพยนตร์โดยโรเจอร์ มิเชลเรื่อง Notting Hill, ภาพยนตร์บีนทั้งสองภาค ที่กำกับเมล สมิธและสตีฟ เบนเดแล็ค ตามลำดับ, ภาพยนตร์โดยเอ็ดการ์ ไรท์เรื่อง  Shaun of the Dead และ Hot Fuzz, ภาพยนตร์โดยพอลและคริส ไวซ์เรื่อง About a Boy, ภาพยนตร์โดยซิดนีย์ พอลแล็คเรื่อง The Interpreter, Bridget Jones ทั้งสองภาคที่กำกับโดยชารอน แม็กไกวร์และบีแบน คิดรอน ตามลำดับ, ภาพยนตร์โดยโจ ไรท์เรื่อง  Pride & Prejudice, ภาพยนตร์โดยบัลทาซาร์ คอร์มาคูร์เรื่อง Contraband ที่นำแสดงโดยมาร์ค วอห์ลเบิร์กและเคท เบคคินเซล,  Nanny McPhee สองภาคที่กำกับโดยเคิร์ค โจนส์และซูซานนา ไวท์ ตามลำดับ,  Johnny English ทั้งสองภาค ที่กำกับโดยปีเตอร์ โฮวิทท์และโอลิเวอร์ ปาร์คเกอร์ตามลำดับ, ภาพยนตร์โดยโทมัส อัลเฟรดสันเรื่อง Tinker, Tailor, Soldier, Spy ที่นำแสดงโดยแกรี่ โอลด์แมน, ภาพยนตร์โดยอาซิฟ คาพาเดียเรื่อง Senna สารคดีเรื่องแรกของบริษัทเกี่ยวกับนักแข่งรถในตำนาน แอร์ตัน เซนนา, ภาพยนตร์โดยพอล กรีนกราสเรื่อง United 93 และภาพยนตร์โดยรอน โฮเวิร์ดเรื่อง Frost/Nixon

ความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่อง Billy Elliot ที่กำกับโดยสตีเฟน ดัลดรี้ สานต่อไปยังละครเวทีด้วย Billy Elliot The Musical ที่กำกับโดยสตีเฟน ดัลดรี้ จากหนังสือและเนื้อร้องโดยลี ฮอลและดนตรีโดยเอลตัน จอห์น ปัจจุบัน ละครเวทีเรื่องดังกล่าว ที่คว้า 76 รางวัลเวทีละครทั่วโลกมาครอง ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการเปิดแสดงที่ลอนดอน โตรอนโตและทัวร์ทั่วอเมริกา ละครเรื่องนี้เปิดการแสดงสามปีที่บรอดเวย์ ได้รับ 10 รางวัลโทนี อวอร์ดในปี 2009 ซึ่งรวมถึงในสาขามิวสิคัลยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยม ก่อนหน้านี้ ละครเรื่องนี้เคยเปิดแสดงที่ซิดนีย์ เมลเบิร์น ชิคาโก้และกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้มาแล้ว ละครเรื่องนี้มีผู้ชมกว่าเจ็ดล้านคนทั่วโลก

ผลงานภาพยนตร์ปัจจุบันของเวิร์คกิ้ง ไตเติลได้แก่ภาพยนตร์โดยจอห์น โครว์ลีย์เรื่อง Closed Circuit ที่นำแสดงโดยอีริค บานาและรีเบ็กก้า ฮอล, ภาพยนตร์โดยฮอสเซน อามินีเรื่อง The Two Faces of January ที่นำแสดงโดยวิกโก้ มอร์เตนเซน, เคิร์สเตน ดันส์และออสการ์ ไอแซ็ค, ภาพยนตร์โดยริชาร์ด เคอร์ติสเรื่อง  About Time ที่นำแสดงโดยราเชล แม็คอดัมส์, ดอมฮ์นอล กลีสันและบิล ไนฮีย์และภาพยนตร์โดยรอน โฮเวิร์ดเรื่อง Rush ที่นำแสดงโดยคริส เฮมส์เวิร์ธและแดเนียล บรูห์ล

 

บิล โป๊ป, เอเอสซี (Bill Pope, ASC)—ผู้กำกับภาพ

บิล โป๊ป ก้าวเข้าสู่โลกภาพยนตร์และได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากการทำหน้าที่ผู้กำกับภาพในภาพยนตร์โดยพี่น้องวาโชว์สกี้เรื่อง Bound และ The Matrix โดยผลงานของเขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริตและบาฟต้า อวอร์ด ตามลำดับ

เขาได้ร่วมงานกับพี่น้องวาโชว์สกี้อีกครั้งในซีเควล Matrix สองภาคติดต่อกัน นอกจากนี้ เขายังเป็นที่รู้จักดีจากการร่วมมือกับแซม ไรมี ในฐานะผู้กำกับภาพภาพยนตร์เรื่อง Darkman, Army of Darkness, Spider-Man 2 และ Spider-Man 3  และจากการร่วมมือกับแบร์รี ซอนเนนเฟลด์ในภาพยนตร์เรื่อง Men in Black 3 และโปรเจ็กต์อื่นๆ ที่เริ่มต้นตั้งแต่ที่ทั้งคู่เรียนด้วยกันในมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาในฐานะผู้กำกับภาพได้แก่ ภาพยนตร์โดยเอมี เฮคเคอร์ลิงเรื่อง Clueless และภาพยนตร์โดยเทรย์ ปาร์คเกอร์และแมทท์ สโตนเรื่อง Team America: World Police

นอกเหนือจากการเป็นผู้กำกับภาพมิวสิค วิดีโอให้กับศิลปินมากมายเช่นสติงและปีเตอร์ กาเบรียล เขายังได้กำกับมิวสิค วิดีโอให้กับศิลปินชื่อดังอย่างคริส ไอแซ็คและเมทัลลิก้าอีกด้วย

ผลงานก่อนหน้านี้ที่เขาร่วมมือกับผู้กำกับเอ็ดการ์ ไรท์จาก The World’s End คือ Scott Pilgrim vs. the World

 

มาร์คัส โรว์แลนด์ (Marcus Rowland)—ผู้ออกแบบงานสร้าง

ก่อนหน้านี้ เขาเคยร่วมงานกับผู้กำกับเอ็ดการ์ ไรท์และทีมผู้สร้าง The World’s End มาแล้วในฐานะผู้ออกแบบงานสร้างซีรีส์ Space และภาพยนตร์เรื่อง Shaun of the Dead, Hot Fuzz และ Scott Pilgrim vs. the World เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซทเทิลไลท์ อวอร์ดจากผลงานของเขาในภาพยนตร์เรื่องหลังสุด

ผลงานการออกแบบงานสร้างของเขาในภาพยนตร์โดยโจ คอร์นิชเรื่อง Attack the Block ทำให้เขาได้รับรางวัลสเปเชียล เมนชัน ไพรซ์จากงานเทศกาลภาพยนตร์เยาวชนนานาชาติโตริโนปี 2011

นอกจากนี้ เขายังได้ทำงานในโฆษณาหลายชิ้นสำหรับลูกค้าที่หลากหลายทั้งในอังกฤษและทั่วโลก

 

พอล มาชลิส, เอซีอี (Paul Machliss, ACE)—มือลำดับภาพ

พอล มาชลิส ได้ร่วมมือกับผู้กำกับเอ็ดการ์ ไรท์ครั้งแรกในสองซีซันของซีรีส์ Spaced และหลังจากนั้น เขาก็ได้ร่วมงานกับผู้กับไรท์อีกครั้งใน Scott Pilgrim vs. the Worldด้วยการลำดับภาพร่วมกับโจนาธาน เอมอส ผลงานของพวกเขาในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวทำให้เขาและเอมอสได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็ดดี้ อวอร์ดจากสมาคมมือลำดับภาพภาพยนตร์อเมริกัน รวมถึงรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ออนไลน์ และได้รับรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ซานดิเอโก้สาขาลำดับภาพยอดเยี่ยมอีกด้วย

เขาเป็นชาวออสเตรเลีย เขาใช้ชีวิตและทำงานในอังกฤษมาหลายปีแล้ว เขาได้ลำดับภาพให้กับซิทคอมที่ได้รับความนิยมสูงสุดของอังกฤษหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงซีรีส์รางวัลบาฟต้าเรื่อง Black Books, Peep Show และ The IT Crowd โดยเรื่องหลังสุด นำแสดงโดยคริส โอ’ ดาวด์, แคทเธอรีน พาร์กินสันและริชาร์ด อโยเอดและหลายเอพิโซดของดรามาชื่อดังอย่าง The Hour

มาชลิสได้ร่วมงานกับผู้กำกับ มือเขียนบทและนักแสดงคอเมดีชื่อดังหลายคนของอังกฤษ เช่นดีแลน โมแรน, ปีเตอร์ เซราฟิโนวิคซ์, พอล คิง, ริคกี้ ทอมลินสัน, พอล เคย์และไซมอน เพ็กก์จาก The World’s End

ผลงานสารคดีมากมายของเขารวมถึงการถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับเทศกาลดนตรีและการแสดงไลฟ์คอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังต่างๆ เช่นเล็ด เซปเปลิน, ไดอานา ครอลและเพ็ท ช็อพ บอยส์

กาย สเปแรนซา (Guy Speranza)—ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย

ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับภาพยนตร์โดยปีเตอร์ เชลซอมเรื่อง Hector and the Search for Happiness ซึ่งเป็นการกลับมาพบกันอีกครั้งกับไซมอน เพ็กก์และโรซามุนด์ ไพค์จาก The World’s End

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาในฐานะผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายได้แก่ภาพยนตร์โดยจอน เบียร์ดเรื่อง Filth ที่นำแสดงโดยเจมส์ แม็คอะวอยและเจมี เบลในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนิยายโดยเออร์วิน เวลช์และ Cass และภาพยนตร์โดยเนอร์พัล โบกัลเรื่อง Sket และ Sugarhouse โดยแกรี่ เลิฟ ซึ่งทั้งสองเรื่องนำแสดงโดยแอชลีย์ วอลเตอร์ส นอกจากนี้ เขายังได้ทำหน้าที่ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับภาพยนตร์ขนาดสั้นหลายเรื่องโดยผู้กำกับโทนี กริโซนีและปีเตอร์ คัททานีโออีกด้วย

เขาเริ่มทำงานเมื่อ 13 ปีก่อนในตำแหน่งผู้ช่วยออกแบบเครื่องแต่งกาย และเขาก็ได้ทำหน้าที่นั้นในภาพยนตร์ดังหลายเรื่อง เช่นภาพยนตร์ที่นำแสดงโดยเจมส์ บอนด์สองคน ได้แก่ภาพยนตร์โดยลี ทามาโฮริเรื่อง Die Another Day และภาพยนตร์โดยมาร์ค ฟอร์สเตอร์เรื่อง Quantum of Solace, ภาพยนตร์โดยคริสโตเฟอร์ โนแลนเรื่อง Batman Begins และ The Dark Knight ที่เขาได้ร่วมมือกับผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ลินดี้ เฮมมิง, ภาพยนตร์โดยพอลและคริส ไวซ์เรื่อง About a Boy, ภาพยนตร์โดยไมค์ ลีห์เรื่อง Vera Drake, ภาพยนตร์โดยหลุยส์ เล็ทเทอร์เรียร์เรื่อง Clash of the Titans และ Harry Potter สองภาคที่กำกับโดยอัลฟอนโซ คัวรอนและเดวิด เยทส์ ตามลำดับ และทั้งสองเรื่อง เขาได้ร่วมงานกับผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เจนี เทอไมม์

 

เจน วอล์คเกอร์ (Jane Walker)—ผู้ออกแบบเมคอัพและทรงผม

เจน วอล์คเกอร์ได้ร่วมงานกับผู้กำกับเอ็ดการ์ ไรท์และดาราและทีมผู้สร้างจาก The World’s End มาแล้วหลายครั้ง ซึ่งรวมถึงการทำหน้าที่ออกแบบเมคอัพและทรงผมให้กับภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ของพวกเขาเรื่อง Shaun of the Dead และ Hot Fuzz และซีรีส์ Spaced ด้วย

นอกจากนี้ เธอยังได้ออกแบบเมคอัพและทรงผมให้กับภาพยนตร์โดยผู้อำนวยการสร้างนีรา ปาร์คเรื่อง Attack the Block ที่กำกับโดยโจ คอร์นิชและ Cuban Fury ที่กำกับโดยเจมส์ กริฟฟิธส์และซีรีส์เรื่อง Black Books และ Free Agents นอกจากนี้ เธอยังได้ร่วมงานกับปาร์คใน Paul ที่กำกับโดยเกร็ก มอตโตลา ฐานะผู้ออกแบบเมคอัพและทรงผมส่วนตัวสำหรับนิค ฟรอสท์และไซมอน เพ็กก์ และเธอก็ได้ทำหน้าที่เดียวกันนี้สำหรับเพ็กก์ในภาพยนตร์โดยโรเบิร์ต บี. วี้ดเรื่อง How to Lose Friends & Alienate People อีกด้วย

นอกจากนี้ สำหรับเวิร์คกิ้ง ไตเติล เธอยังได้ออกแบบเมคอัพและทรงผมให้กับซาแมนธา บาร์คส์และซาชา บารอน โคเฮนในภาพยนตร์ฮิตโดยทอม ฮูเปอร์เรื่อง Les Misérables อีกด้วย ผลงานอื่นๆ ที่เธอได้แสดงฝีมือของเธอได้แก่ภาพยนตร์ The Mummy สองภาคโดยสตีเฟน ซอมเมอร์ส ที่นำแสดงโดยเบรนแดน เฟรเซอร์, ราเชล ไวซ์และจอห์น ฮันนาห์

เธอสำเร็จการศึกษาจากดันแคน ออฟ จอร์แดนสโตน คอลเลจ ออฟ อาร์ต ด้วยอนุปริญญาและประกาศนียบัตรบัณฑิตสาขาประติมากรรม ผลงานจอแก้วในอังกฤษของเธอในฐานะผู้ออกแบบเมคอัพและทรงผมได้แก่การทำงานนานกว่าหนึ่งทศวรรษกับบีบีซี, ซีรีส์ Vera ที่นำแสดงโดยเบรนดา เบลธินและในฐานะผู้ออกแบบเมคอัพและทรงผมส่วนตัวให้กับแอนนา แมสซีย์ ในภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์โดยริชาร์ด เคอร์สัน สมิธเรื่อง Pinochet’s Last Stand ที่แมสซีย์รับบทมาร์กาเร็ต แธทเชอร์

 

สตีเวน ไพรซ์ (Steven Price)—ดนตรี

สตีเวน ไพรซ์เป็นคอมโพสเซอร์และนักดนตรี

ความรักในดนตรีของเขาเริ่มต้นตั้งแต่เด็กๆ เขาฝึกฝนกีตาร์ตั้งแต่อายุห้าขวบ และเขาก็จบการศึกษาด้านดนตรี เกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์  หลังสำเร็จการศึกษา เขาได้ทำงานให้กับแอนดี้ กิล มือกีตาร์/ผู้อำนวยการสร้างจากแก๊ง ออฟ ร์ในลอนดอน โดยเขาได้ทำงานเรียบเรียงเสียงเครื่องสายและเล่นร่วมกับศิลปินมากมายเช่นไมเคิล ฮัชเชนซ์และโบโนในอัลบัมต่างๆ ด้วย

เขาได้ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ ผู้เรียบเรียงและนักดนตรีร่วมกับเทรเวอร์ โจนส์ ผู้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ เขาได้ให้เสียงดนตรีเพิ่มเติมสำหรับโปรเจ็กต์ต่างๆ เช่น ภาพยนตร์โดยโรเจอร์ โดนัลด์สันเรื่อง Thirteen Days, ภาพยนตร์โดยสตีเฟน นอร์ริงตันเรื่อง The League of Extraordinary Gentlemen, ภาพยนตร์โดยแฟรงค์ โคราซีเรื่อง Coraci’s Around the World in 80 Days, ซีรีส์เรื่อง Dinotopia และ Crossroads โดยแทมรา เดวิส ที่เขาได้เป็นมือกีตาร์เดี่ยวกับคณะลอนดอน ซิมโฟนี ออร์เคสตรา

คำแนะนำจากแอ็บบี้ โร้ด สตูดิโอส์ ทำให้เขาได้รับความสนใจจากโฮเวิร์ด ชอร์ นำไปสู่การได้ร่วมงานกับคอมโพสเซอร์รางวัลออสการ์ในฐานะมือลำดับดนตรีในไตรภาคโดยปีเตอร์ แจ็คสันเรื่อง The Lord of the Rings ผลงานภาพยนตร์หลังจากนั้นของเขาในตำแหน่งด้วยกันได้แก่ภาพยนตร์โดยคริสโตเฟอร์ โนแลนเรื่อง Batman Begins ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโกลเดน รีล อวอร์ดร่วมกับเพื่อนร่วมลำดับดนตรีของเขาและใน Scott Pilgrim vs. the World โปรเจ็กต์แรกที่เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับเอ็ดการ์ ไรท์จาก The World’s End ซึ่งเขาได้ร่วมง่านกับคอมโพสเซอร์ของเรื่อง ไนเจล ก็อดริช คอมโพสเซอร์คนอื่นๆ ที่เขาได้ร่วมงานด้วยได้แก่ ฮันส์ ซิมเมอร์, เจมส์ นิวตัน โฮเวิร์ด, แฮร์รีและรูเพิร์ต เกร็กสัน-วิลเลียมส์, แพทริค ดอยล์, จอร์จ เฟนตัน, ดาริโอ มาเรียเนลลีและแอนน์ ดัดลีย์

เขาได้แต่งดนตรีให้กับแคมเปญโฆษณามากมายทั้งในอังกฤษและอเมริกา หลังจากที่ได้แต่งดนตรีเพิ่มเติมให้กับภาพยนตร์โดยริชาร์ด เคอร์ติสเรื่อง Pirate Radio เขาก็ได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ดั้งเดิมให้กับภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จพลิกความคาดหมายของโจ คอร์นิชเรื่อง Attack the Block และได้รับรางวัลมากมายจากทั้งสมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์ออสตินและเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติซิทเกส-คาตาโลเนียน

เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งเสร็จจากการแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่เป็นที่จับตามองที่สุดเรื่องหนึ่งในปี 2013 ได้แก่ภาพยนตร์โดยอัลฟอนโซ คัวรอนเรื่อง Gravity ที่นำแสดงโดยแซนดรา บุลล็อคและจอร์จ คลูนีย์