NO TIME TO DIE พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ เข้าฉายแล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์

ชื่อภาพยนตร์: NO TIME TO DIE

ชื่อไทย: พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ
วันที่เข้าฉาย: 7 ตุลาคม 2563
จัดจำหน่าย: บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด

ข้อมูลงานสร้าง

เรื่องย่อ: ใน No Time To Die บอนด์ได้ปลดประจำการและกำลังดื่มด่ำกับชีวิตอันแสนเงียบสงบในจาไมก้า แต่ความสงบสุขของเขาก็ช่างแสนสั้น เมื่อเฟลิกซ์ ไลเตอร์ เพื่อนเก่าของเขาจากซีไอเอปรากฏตัวขึ้นเพื่อขอความช่วยเหลือ ภารกิจในการช่วยเหลือนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกลักพาตัวไปกลับยุ่งยากกว่าที่คาดคิดไว้ ทำให้บอนด์ต้องไล่ล่าวายร้ายลึกลับที่มีเทคโนโลยีใหม่เป็นอาวุธ

แนว: แอ็กชัน

เรตติ้ง: PG-13 สำหรับซีเควนซ์ที่มีความรุนแรง แอ็กชัน ภาพที่รบกวนจิตใจ ภาษาหยาบคายเล็กน้อยและเนื้อหาที่มีการชี้นำเล็กน้อย

เรื่องราวโดย: นีล เพอร์วิส & โรเบิร์ต เว้ด และแครี โจจิ ฟุกุนากะ

สร้างจาก: นิยายเจมส์ บอนด์และเรื่องราวที่เขียนโดยเอียน เฟลมมิง และภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ 

24 เรื่องที่อำนวยการสร้างโดยดันจัค, แอลแอลซี และบริษัทอื่นๆ 

ก่อนหน้านี้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

นักแสดง: แดเนียล เคร็ก, รามี มาเล็ค, เลอา แซดู, ลาชานา ลินช์, เบน วิชอว์, นาโอมิ แฮร์ริส, 

เจฟฟรีย์ ไรท์, คริสตอฟ วอลซ์, ราล์ฟ ไฟน์

ร่วมแสดงโดย: รอรี คินเนียร์, เดวิด เดนซิค, อนา เดอ อาร์มาส, บิลลี แม็กนัสเซนและดาลี เบนซาลาห์

ผู้กำกับ: แครี โจจิ ฟุกุนากะ

บทภาพยนตร์โดย: นีล เพอร์วิส & โรเบิร์ต เว้ดและแครี โจจิ ฟุกุนากะ และฟีบี้ วอลเลอร์-บริดจ์

ผู้อำนวยการสร้าง: ไมเคิล จี. วิลสัน, พี.จี.เอ. และบาร์บารา บร็อคโคลี, พี.จี.เอ.

นักประพันธ์: ฮันส์ ซิมเมอร์

ดนตรีประกอบ: สตีฟ มาสซาโร

นำเสนอเพลงไตเติล “No Time to Die” ที่แต่งโดยบิลลี ไอลิช & ฟินเนียส โอ’ คอนเนล

อำนวยการโดยฟินเนียส โอ’ คอนเนลและสตีเฟน ลิปสัน

เรียบเรียงเสียงออร์เคสตราโดยฮันส์ ซิมเมอร์ โดยมีจอห์นนี มาร์เล่นกีตาร์

ผู้ควบคุมงานสร้าง: คริส บริกแฮม

ผู้ออกแบบงานสร้าง: มาร์ค ทิลเดสลีย์

ผู้กำกับภาพ: ลีนัส แซนด์เกรน, เอเอสซี, เอฟเอสเอฟ

มือลำดับภาพ: เอลเลียต เกรแฮม, เอซีอี & ทอม ครอส, เอซีอี

ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย: สุทธิรัตน์ แอนน์ ลาลาภ 

ผู้กำกับยูนิทที่สอง: อเล็กซานเดอร์ วิทท์

ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์: ลี มอร์ริสัน

หัวหน้าผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์: โอลิวิเยร์ ชไนเดอร์

ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายสเปเชียล เอฟเฟ็กต์: คริส คอร์บูลด์

ผู้กำกับฝ่ายคัดเลือกนักแสดง: เด็บบี้ แม็ควิลเลียมส์

ผู้ช่วยคัดเลือกนักแสดง: เจไมมา แม็ควิลเลียมส์

ผู้กำกับเมน ไตเติล: แดเนียล ไคลน์แมน

ผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้าง: เกร็ก วิลสัน

ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์: ชาร์ลีย์ โนเบิล

ผู้ผสมเสียงงานสร้าง: ไซมอน เฮย์ส, เอเอ็มพีเอส, ซีเอเอส

ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง: แดเนียล เคร็ก

ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง: แอนดรูว์ โนคส์

ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง: เดวิด โป๊ป

NO TIME TO DIE

เกี่ยวกับงานสร้าง

แม้ว่าครั้งหนึ่งภาพยนตร์เจมส์บอนด์จะเคยถูกนำเสนอเป็นการผจญภัยเป็นครั้งๆแยกกันไปโดยมีความเชื่อมโยงกันที่ตัวละครที่ทั้งเป็นตัวร้ายหรือฝ่ายดีอีออนโปรดักชันส์ก็ต้องการให้เรื่องราวที่แสดงโดยแดเนียลเคร็กดำเนินไปเป็นเรื่องราวหนึ่งเดียวกัน Quantum Of Solace (2008) เดินเรื่องทันทีต่อจาก Casino Royale (2006) ที่เล่าถึงการก้าวเข้าสู่ชีวิตในฐานะสายลับดับเบิลโอเป็นครั้งแรกของบอนด์

Skyfall (2012) ถูกวางตำแหน่งให้เผยแง่มุมสำคัญๆในชีวิตช่วงเริ่มแรกของบอนด์ในตอนนี้ No Time To Die ภาพยนตร์เรื่องที่ 25 ในแฟรนไชส์ของอีออนเริ่มต้นหลังเหตุการณ์ใน Spectre (2015) ที่ในตอนจบของเรื่องเราได้เห็นบอนด์ (เคร็ก) และแมดเดอลินสวอนน์ (เลอาแซดู) ขับรถแอสตันมาร์ตินดีบีไฟว์ออกไป

ในตอนที่บอนด์ปรากฏตัวครั้งแรกใน No Time To Die เขาและแมดเดอลินอยู่กันในมาเทราเมืองบนยอดเขาทางตอนใต้ของอิตาลีผู้อำนวยการสร้างของแฟรนไชส์นี้ไมเคิลจี. วิลสันเล่าว่าเรื่องราวจะสานต่อความสัมพันธ์ระหว่างบอนด์และแมดเดอลินเสมอ “คำถามคือเมื่อไหร่น่ะครับ” เขากล่าว

บาร์บาราบร็อคโคลีเพื่อนผู้อำนวยการสร้างกล่าวว่า “มีการถกประเด็นกันว่าเราจะสานต่อการเล่าเรื่องราวความรักนี้และสำรวจธีมต่างๆที่มีความสำคัญเหลือเกินในหนังของแดเนียลเคร็กได้ยังไงน่ะค่ะ”

“กับ No Time To Die มันมีเรื่องราวที่ชัดเจนที่จะต้องจบมีปมมากมายที่เราต้องขมวดให้จบครับ” เคร็กกล่าว “ผมคิดว่าเราได้บอกเล่าเรื่องราวนั้นไปและปิดฉากทุกอย่างได้เรียบร้อยครับ”

ธีมเหล่านั้นสำรวจเรื่องของความรักการหักหลังและความไว้เวียงใจที่ร้อยเรียงภาพยนตร์สี่เรื่องล่าสุดเข้าด้วยกันและพวกมันก็ขับเคลื่อนเรื่องราวให้ไปสู่บทสรุปสุดระทึกใน No Time To Die หลังจากที่เขาหัวใจสลายด้วยการสูญเสียเวสเปอร์ลินด์ (อีวากรีน) ใน Casino Royale ความสัมพันธ์ลุ่มๆดอนๆของเขากับเอ็มและเอ็มไอซิกส์และความเจ็บปวดที่เกิดจากเรื่องราวที่เปิดเผยโดยโบลเฟลด์ (คริสตอฟวอลซ์) บอนด์ก็ได้ยอมเสี่ยงอีกครั้งเขาลดเกราะกำบังตัวเองลงกับแมดเดอลินเพื่อพยายามที่จะมีความรักอีกครั้ง

“ถ้าบอนด์จะทุ่มเทให้กับความสัมพันธ์มันก็จะนำมาสู่ความท้าทายทางอารมณ์มากมายสำหรับเขา” บร็อคโคลีกล่าวต่อ “ดังนั้นความไว้วางใจคือธีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหนังเรื่องนี้การตกลงปลงใจกับใครซักคนเป็นเรื่องยากมากๆเพราะความหลังที่เขามีต่อเรื่องความผูกพันและการหักหลังก็เป็นส่วนสำคัญของการเลิกราจากความผูกพันพววกนั้นค่ะ”

แม้ว่าเขาจะหนักแน่นกับความสัมพันธ์ที่เขามีต่อแมดเดอลิน No Time To Die กลับเริ่มต้นขึ้นด้วยการที่บอนด์ต้องสะบั้นความสัมพันธ์ที่ยาวนานที่สุดนั่นคือการทำงานของเขากับเอ็มไอซิกส์

ผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้างเกร็กวิลสันตั้งข้อสังเกตว่าการปลดประจำการของบอนด์ได้เปิดประตูสู่ความเป็นจริงใหม่ๆให้กับทีมผู้สร้าง

“การที่บอนด์ปลดประจำการเป็นเรื่องใหม่สำหรับเรา” เขากล่าว “เมื่อนึกถึงว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นยังไงถ้าเขาไม่ได้ทำงานนี้ในตอนที่คุณอุทิศชีวิตให้กับงานเหมือนอย่างบอนด์คุณจะทิ้งตำนานอะไรไว้เบื้องหลังล่ะครับ”

ในการบอกเล่าเรื่องราวนี้ทีมผู้สร้างหันไปหาผู้กำกับวิสัยทัศน์กว้างไกลแครีโจจิฟุกุนากะ (Jane Eyre, Sin Nombre, True Detective) ผู้ก้าวเข้ามาหลังจากที่ทีมงานสิ้นสุดการร่วมงานกับผู้กำกับแดนนีบอยล์ไมเคิลจี. วิลสันและบร็อคโคลีชื่นชมผลงานของฟุกุนากะทั้งในฐานะมือเขียนบทและผู้กำกับมานานแล้วและทั้งคู่ก็ได้พบกับผู้กำกับผู้นี้ในนิวยอร์กหลังจากการเข้าฉายของ Spectre ไม่นาน

“ตอนที่เราพบกันแครีบอกว่าเขาอยากจะสร้างหนังบอนด์ซักวันหนึ่ง” บร็อคโคลีกล่าวอธิบาย “ดังนั้นในตอนที่แดนนีบอยล์ออกจากโปรเจ็กต์นี้ไปแล้วแล้วเรากำลังมองหาผู้กำกับใหม่เขาก็ติดต่อมาเป็นเรื่องน่าทึ่งมากที่เขาว่างอยู่ความกระตือรือร้นที่เขามีต่อโปรเจ็กต์นี้และความสามารถของเขาในฐานะมือเขียนบทได้เปล่งประกายออกมาจริงๆมันเวิร์คอย่างปาฏิหาริย์จริงๆค่ะ”

ฟุกุนากะเป็นชาวอเมริกันคนแรกที่ได้กำกับภาพยนตร์บอนด์ “ผมคิดว่าหนังทุกเรื่องของแครีเหลือเชื่อและเขาก็สามารถทำงานหนังแนวไหนก็ได้ทั้งนั้น” ไมเคิลจี. วิลสันอธิบาย “และเขาก็เป็นมือเขียนบทที่วิเศษสุดด้วย”

“เขาถนัดเรื่องตัวละครและนักแสดงและเขาก็ใส่ระดับความซับซ้อนเข้าไปในทุกอย่างที่เขาทำนอกจากนั้นเขายังเป็นคนที่มีความเป็นสากลมากๆอีกด้วยเขาพูดได้หลายภาษาเดินทางไปไหนต่อไหนมาทั่วและเป็นคนกล้าคิดกล้าทำเขาเป็นคนหนุ่มที่มีความกระตือรือร้นและเป็นคนที่มีแนวคิดวิชวลที่วิเศษสุดนอกจากนี้แครียังสามารถทำสิ่งที่ซับซ้อนมากๆให้กลายเป็นสิ่งที่เข้าใจได้และเข้ากันได้ดีกับสิ่งที่เราต้องการจากเรื่องราวนี้ด้วยครับ”

การได้รู้จักกับเรื่องบอนด์ของฟุกุนากะเกิดขึ้นตอนที่เขาได้ดูผลงานเรื่องสุดท้ายของโรเจอร์มัวร์ภาพยนตร์ปี 1985 เรื่อง A View To A Kill ที่โรงภาพยนตร์ในท้องถิ่น “ผมจำได้ว่าผมชื่นชอบฉากสุดท้ายบนสะพานโกลเดนเกท” เขาเล่า “มันเหมือนว่าบอนด์ได้ข้ามเข้ามาสู่โลกของผมมันเป็นหนังเจ๋งๆที่โรเจอร์มัวร์วาดลวดลายสุดเจ๋ง”

ในขณะที่ฟุกุนากะพัฒนาหน้าที่การงานของเขาในฐานะมือเขียนบทผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับความทรงจำเหล่านั้นก็ยังคงอยู่และเขาก็กล่าวว่าเขาหวังอยู่เสมอว่าซักวันหนึ่งเขาจะได้กำกับภาพยนตร์บอนด์เช่นเดียวกับผู้อำนวยการสร้างฟุกุนากะเองก็ตื่นเต้นเป็นพิเศษกับความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของบอนด์ในช่วงภาพยนตร์หลายเรื่องก่อนหน้านี้ “หลังจาก Casino, Quantum, Skyfall และ Spectre คุณก็จะเข้าใจดีถึงความเปลี่ยนแปลงที่ตัวละครของบอนด์ได้พบเจอมาน่ะครับ” เขากล่าว

“สำหรับเราหนังเรื่องนี้เกิดขึ้นห้าปีหลังจาก Spectre โลกเปลี่ยนแปลงไปมากมายนับแต่นั้นและสิ่งที่เราถกเถียงกันส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับแนวทางที่เราทำให้หนังเรื่องนี้ให้ความรู้สึกของเวลาและโลกของบอนด์ซึ่งไม่เคยจะบ่งชี้ถึงช่วงเวลาไหนอย่างเฉพาะเจาะจงด้วยนั่นเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาแรกๆที่เราคุยกันกับผู้อำนวยการสร้างและแดเนียลครับนอกจากนั้นคุณยังอยากจะใส่สิ่งใหม่ๆเข้าไปในเรื่องราวในขณะเดียวกับที่คุณอยากจะให้เกียรติหนังบอนด์ทุกเรื่องในแง่ของรายละเอียดและความคาดหวังน่ะครับ”

ส่วนสำคัญท่ามกลางความคาดหวังเหล่านั้นคือการผจญภัยและอันตรายที่ตามมา “หนังบอนด์ทุกเรื่องจะมีอันตรายครับ” ผู้กำกับกล่าวเสริม “คุณจะนำสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่คุณจินตนาการได้ว่าโลกจะพบเจอแล้วคุณก็ให้บอนด์มายืนตรงหน้ามันเพื่อหยุดมันให้ได้สิ่งที่น่าสนใจในการแสดงของแดเนียลคือเลเยอร์เพิ่มเติมที่เขาใส่ให้กับตัวละครตัวนั้นน่ะครับ”

“มันมีความซับซ้อนความเสียหายและความเปราะบางที่ถูกอำพรางไว้นับตั้งแต่หนังเรื่องแรกของเขาในตอนที่เวสเปอร์ลินด์ตายน่ะครับการตัดสินใจของเขาน่าสนใจเพราะความชาญฉลาดของเขาและด้วยข้อบกพร่องของเขาด้วยผมคิดว่าเขาเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจจริงๆครับ”

เมื่อเรื่องราวเริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้นภายใต้การชี้นำของฟุกุนากะและมือเขียนบทบอนด์ที่ทำหน้าที่มายาวนานอย่างนีลเพอร์วิสและโรเบิร์ตเว้ดผู้อำนวยการสร้างและแดเนียลเคร็กก็ยังขอการมีส่วนร่วมจากมือเขียนบทและนักแสดงหญิงฟีบี้วอลเลอร์-บริดจ์ (Fleabag, Killing Eve) ผู้นำมุมมองพิเศษของเธอใส่ลงไปในตัวละครและเรื่องราวพร้อมทั้งรักษาในสิ่งที่บร็อคโคลีพูดถึงว่าเป็น “ความเป็นอังกฤษจ๋า” ของบอนด์เอาไว้

“ฟีบี้มีอิทธิพลสำคัญต่อบทหนังเรื่องนี้และเราก็รักการได้ร่วมงานกับเธอค่ะ” บร็อคโคลีกล่าว “มือเขียนบททุกคนต่างก็มีส่วนร่วมและแครีก็พยายามจะใส่งานของทุกคนเข้าไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เรื่องราวนี้ซับซ้อนมากๆแต่มันถูกบอกเล่าออกมาในลักษณะที่เข้าใจได้ง่ายมากๆสิ่งที่ถูกเปิดเผยออกมาเป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆค่ะ”

“พัฒนาการตัวละครลึกซึ้งมากๆและความสัมพันธ์ต่างๆก็ซับซ้อนแต่ก็น่าสนใจและสะเทือนอารมณ์ฉันคิดว่าบทหนังเรื่องนี้ออกมายอดเยี่ยมเลยล่ะค่ะ” บร็อคโคลีกล่าวเสริม

ด้วยความที่ No Time To Die เปิดเรื่องหลังจากเหตุการณ์ใน Spectre ฟุกุนากะก็กล่าวว่าส่วนแรกของภาพยนตร์เรื่องนี้ “คือการติดตามเรื่องราวฮันนีมูนของแมดเดอลินสวอนน์และบอนด์หลังจากที่เขาปลดประจำการแล้ว”

แน่นอนว่าสิ่งต่างๆไม่ได้เป็นไปตามแผนเสมอไป “พวกเขาลงเอยด้วยการแยกกันไปคนละทาง” ฟุกุนากะกล่าวต่อ “จากนั้นพวกเราก็เจอกับเขาอีกครั้งในห้าปีให้หลังและโลกเปลี่ยนแปลงไปแล้วโลกได้ก้าวไปข้างหน้าภูมิทัศน์ทางการเมืองก็ได้เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน”

“มีภัยคุกคามที่คุกรุ่นที่เกี่ยวข้องกับสเป็คเตอร์และองค์ประกอบภายนอกอื่นๆและบอนด์ก็ถูกดึงตัวกลับมาเพื่อช่วยเอ็มไอซิกส์ป้องกันไม่ให้อาวุธร้ายแรงตกไปอยู่ในมือคนอื่นมันเป็นเรื่องราวที่น่าทึ่งที่มีตัวละครที่ยอดเยี่ยมทั้งเก่าและใหม่น่ะครับ”

เจมส์ บอนด์

แดเนียลเคร็กกลับมาในการผจญภัยครั้งที่ห้าซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของเขาเพื่อปิดฉากการเดินทางที่ทำให้โลกได้รู้จักกับบอนด์คนใหม่ที่ทันสมัยแม้ว่าเขาจะชำนาญในบางเรื่องแต่บอนด์ของเคร็กก็ใช่ว่าจะไร้จุดอ่อนเขาไม่ใช่วีรบุรุษในตำนานหรือเทพปกรณัมเขามีเรื่องให้ต้องเรียนรู้มากมายบอนด์เป็นวีรบุรุษที่มีหลากหลายแง่มุมเขาเป็นชายผู้ซึ่งความสำเร็จถูกลดทอนด้วยความล้มเหลวเป็นครั้งคราวเขาเป็นส่วนผสมระหว่างแสงสว่างและความมืดถ้าเขาพูดประโยคอะไรสั้นๆล่ะก็มันก็จะถูกห่อหุ้มไปด้วยความรู้สึกคุกคาม

ผู้ชมได้เป็นประจักษ์พยานสำหรับความเปลี่ยนแปลงนี้พวกเขาได้เฝ้าดูบอนด์เรียนรู้ที่จะกลายเป็นสายลับเรียนรู้ที่จะได้ใบอนุญาตสังหารและพวกเขาก็ได้เห็นว่ามันต้องแลกมากับอะไรบ้างเขาเป็นคนรักสันโดษแต่เขาก็เรียนรู้ที่จะเปิดใจเขาเคยรักและสูญเสียความรักเขาสูญเสียเวสเปอร์ลินด์เขาสูญเสียเอ็มและเขาก็เผยบาดแผลนั้นให้ทุกคนได้เห็น

“ผมเริ่มต้นแบบนั้นกับ Casino” เคร็กเริ่มต้น “เราเริ่มต้นแบบนั้นและนั่นก็เป็นสิ่งที่สร้างคำนิยามให้กับแนวทางที่ผมแสดงบทตัวละครที่วิเศษสุดนี้ผมอยากให้บอนด์ดูเหมือนฆาตกรและผมก็อยากให้เขาทำตัวเหมือนฆาตกรเพราะนั่นคือเขาเขาเป็นมือสังหารนั่นคือบทที่เขาถูกเขียนขึ้นมาแต่ผมอยากปรับให้มันทันสมัยขึ้นครับ”

การเดินทางของเขาระหว่าง Casino Royale, Quantum Of Solace, Skyfall, Spectre และ No Time To Die ในตอนนี้เป็นไปอย่างสม่ำเสมอธีมสำคัญๆปรากฏเด่นชัดและมันก็ยังคงดำเนินไป “กับ No Time To Die ธีมก็จะยิ่งใหญ่เท่าที่คุณไปได้” เคร็กกล่าวต่อ “กับบอนด์มันเป็นแบบนั้นครับถ้านี่ไม่ใช่เวลาที่จะใช้คำว่า ‘ถ้าไม่ยิ่งใหญ่ก็กลับบ้านไปซะ’ ในหนังบอนด์ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่ถึงจะเป็นเวลาที่เหมาะกับการใช้มันน่ะครับ”

“ผมมีความสุขเสมอกับหนัง 007 ที่ผมมีส่วนเกี่ยวข้องน่ะครับ” เขากล่าวเสริม “มันมีเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์มากมายและการที่ความสัมพันธ์เหล่านั้นส่งผลต่อเขาและการที่พวกมันเปลี่ยนแปลงและชักนำชีวิตของเขาไปอย่างไรบ้างไม่ว่าจะเป็นกับตัวร้ายหรือกับคนที่เขาร่วมงานด้วยหนังเรื่องนี้ปะทะกับเรื่องนั้นแบบจังๆและธีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือความรักและความไว้วางใจไม่มีอะไรที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้นอีกแล้ว”

ธีมนั้นวนเวียนอยู่รอบๆความสัมพันธ์ระหว่างบอนด์และแมดเดอลินที่หล่อหลอมขึ้นมาใน Spectre ท่ามกลางหิมะในออสเตรียและความร้อนในนอร์ธแอฟริกาและความเต็มใจอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเขาที่ปล่อยให้ความรักและความไว้วางใจกลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง

“หลังจากที่เขาถูกเวสเปอร์ลินด์หักหลังใน Casino Royale บอนด์ก็ตระหนักว่าเขาไม่สามารถจะทำงานนี้ได้ถ้าเขาทำให้ตัวเองเปราะบางในแบบนั้นน่ะครับ” มือเขียนบทนีลเพอร์วิสตั้งข้อสังเกต “นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้หลังจาก Casino เขาปฏิเสธความรักและป้องกันตัวเองไม่ให้ตกหลุมรักผู้หญิงอีกคนหนึ่ง”

“แต่ในกรณีของแมดเดอลินเธอเป็นลูกสาวของมือสังหารดังนั้นเธอก็เลยเป็นคนที่อาจจะเข้าใจชีวิตของเขาดีเขาก็เลยไว้วางใจเธอและนั่นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเขาความรักและความไว้วางใจเป็นสิ่งที่สอดประสานกันและเขาก็กำลังทำตัวเองให้เปราะบางมากๆ”

เคร็กเห็นด้วย “เขามีความรักครั้งใหญ่ในชีวิตกับเวสเปอร์และมันก็ลงเอยอย่างน่าเศร้าและทำให้เขาไม่ไว้ใจคนอื่นอีก” เขากล่าว “เขาเหนื่อยใจมากๆในตอนนี้เพราะคนส่วนใหญ่ที่เขามีความสัมพันธ์ด้วยจะตายครับดังนั้นเขาก็เลยมักจะเก็บตัวแต่ผมคิดว่ามีโอกาสจริงๆที่เขาจะได้พบอะไรบางอย่างในหนังเรื่องนี้ครับ”

“แน่นอนครับนี่เป็นหนังบอนด์และหนังบอนด์ก็เป็นหนังแอ็กชันผจญภัยเรามีเรื่องแบบนั้นเยอะแยะแต่ในการทำให้หนังแอ็กชันผจญภัยเวิร์คคุณก็ต้องมีองค์ประกอบบางอย่างของความจริงและคุณก็ต้องมีความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่น่าพึงพอใจให้ผู้ชมได้ใส่ใจไปกับตัวละครดังนั้นใน No Time To Die มันก็เลยมีเรื่องราวความรักแต่มันซับซ้อนจริงๆและก็หวังว่ามันจะเป็นเรื่องที่มีเสน่ห์เมื่อได้ดูน่ะครับ”

เมื่อเขาจากสเป็คเตอร์มากับแมดเดอลินบอนด์ก็ขับรถออกจากลอนดอนด้วยเช่นกันเขาเลิกทำงานกับเอ็มไอซิกส์แล้วเขาไม่อยากจะทำให้คนที่เขารักเป็นอันตรายอีกแล้วดังนั้นในตอนที่เริ่มต้น No Time To Die เขาก็ได้ปลดประจำการเรียบร้อยแล้ว

“เขาหนีไปครับ” เคร็กกล่าว “เขาพยายามจะออกจากที่นั่นเขาพยายามจะลากตัวเองออกจากงานนี้นั่นเป็นเรื่องที่ยากที่สุดที่เขาทำแต่ก็อย่างที่เรารู้ครับเขาก็ถูกลากตัวกลับไปเหมือนเดิม”

บอนด์ไม่เหมาะกับชีวิตสุขสบาย “เขาเชื่อว่าเขาน่าจะมีความสุขหลังจากเลิกทำงานแต่มีอะไรบางอย่างขาดหายไป” มือเขียนบทโรเบิร์ตเว้ดกล่าว “เขานั่งตกปลาดื่มเหล้าและอาบแดดแต่เขาต้อการอะไรมากกว่านั้น”

เพราะถึงอย่างไรซะเขาก็เป็นผู้ชายที่ได้รับคำจำกัดความจากการกระทำและความเกี่ยวข้องที่เขามีต่อโลกใบนี้ “และเขาก็ไม่ได้ทำแบบนั้นในจาไมก้า” นีลเพอร์วิสกล่าวเสริม “ดังนั้นเมื่อปัญหามาเยือนมันก็เลยกลายเป็นสิ่งที่เขาต้อนรับเขาสามารถเผชิญหน้ากับความท้าทายได้อีกครั้ง”

เมื่อบอนด์กลับมาถือปืนอีกครั้งทีมนักแสดงสมทบที่สำคัญของเรื่องก็ปรากฏตัวขึ้นอีกคร้ง “เบนวิชอว์กลับมารับบทคิวราล์ฟไฟน์กลับมารับบทเอ็มรอรีคินเนียร์มารับบทแทนเนอร์และนาโอมิแฮร์ริสก็มารับบทมันนีเพนนีครับ” เคร็กกล่าว “ส่วนบอนด์ก็ถูกลากตัวกลับมายังเอ็มไอซิกส์โลกที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลังน่ะครับ”

ตัวละครที่กลับมาอีกครั้ง

แมดเดอลิน สวอนน์

แมดเดอลินสวอนน์ตัวละครของเลอาแซดูนักจิตวิทยาสาวผู้ชาญฉลาดและมากความสามารถผู้เป็นครึ่งชีวิตที่สำคัญที่สุดในชีวิตของบอนด์ No Time To Die เป็นครั้งแรกที่หนึ่งในคนรักของบอนด์ได้มีบทบาทสำคัญในภาพยนตร์สองเรื่อง (แม้ว่าความทรงจำเกี่ยวกับเวสเปอร์ลินด์จะยังคงอยู่ตลอดในภาพยนตร์ทุกเรื่องของแดเนียลเคร็กก็ตาม)

แซดูยินดีที่ได้กลับมารับบทของเธอ “ในตอนจบของ Spectre แมดเดอลินดีใจที่ได้อยู่กับบอนด์และเราก็คิดว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันแล้วจะมีความสุข” เธอกล่าว “แต่เราก็พบว่าพวกเขามีปัญหาหลายอย่างที่ต้องแก้และฉันคิดว่าใน No Time To Die เราได้เรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับความสนิทสนมของพวกเขาน่ะค่ะ”

ในขณะที่แง่มุมต่างๆเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของแมดเดอลินถูกเปิดเผยออกมาในภาพยนตร์เรื่องก่อนหน้านี้ซึ่งก็คือมิสเตอร์ไวท์มือสังหารของสเป็คเตอร์ที่เราได้รู้จักครั้งแรกใน Casino Royale คือพ่อของเธอผู้ชมก็จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวละครตัวนี้มากยิ่งขึ้นไปอีกในการปรากฏตัวครั้งล่าสุดของเธอ “แครีอยากให้แมดเดอลินเข้าถึงได้ง่ายขึ้นและมากขึ้นอีกในครั้งนี้ค่ะ” แซดูกล่าว “เขาอยากจะสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับบอนด์และฉันคิดว่าเราจะได้เห็นแง่มุมใหม่ของตัวละครตัวนี้บนหน้าจอค่ะ”

ความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างแมดเดอลินกับพ่อแม่ของเธอถูกเผยออกมา “เราได้เข้าใจว่าเธอผ่านอะไรมาและได้เข้าใจเกี่ยวกับประเด็นต่างๆของเธอมากขึ้นค่ะ” แซดูกล่าว

ในตอนที่มีการเปิดเผยแง่มมุมต่างๆเกี่ยวกับวัยเด็กของแมดเดอลินเรื่องราวยังได้เผยความเกี่ยวพันที่คงอยู่กับซาฟิน (รามีมาเล็ค) ตัวร้ายของเรื่องด้วย

“เมื่อมองย้อนกลับไปอดีตเราได้เห็นแมดเดอลินกับแม่ของเธอและสิ่งที่เคยประสบมาในวัยเด็ก” นักแสดงหญิงกล่าวอธิบาย “เราได้เห็นความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพ่อแม่ของเธอและกับซาฟินด้วยเช่นกันเราได้เข้าใจว่าเธอผ่านอะไรมาผ่านทางประสบการณ์ที่เลวร้ายกับแม่ของเธอและซาฟินมันช่วยทำให้เราเข้าใจเธอมากขึ้นค่ะ”

มันนีเพนนี

แน่นอนว่าผู้หญิงสำคัญอีกคนหนึ่งในชีวิตของบอนด์คือมันนีเพนนีที่รับบทโดยนาโอมิแฮร์ริสตอนนี้เธอตั้งหลักอย่างมั่นคงในตำแหน่งผู้หญิงผู้เป็นมือขวาของเอ็มแม้ว่าความภักดีที่เธอมีต่อบอนด์จะยังคงไม่เสื่อมคลายก็ตามจริงๆแล้วใน No Time To Die เธอต้องเผชิญหน้ากับปัญหาหนักใจในตอนที่เธอเริ่มไม่ไว้วางใจการตัดสินใจของเอ็มและหันไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนเก่านับตั้งแต่การปรากฏตัวครั้งแรกของนาโอมิใน Skyfall เธอก็ได้นำมุมมองทันสมัยที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอมาสู่หนึ่งในขวัญใจแฟนๆของแฟรนไชส์นี้ซึ่งรับบทโดยนักแสดงหญิงโลอิสแม็กซ์เวลในแฟรนไชส์ 007 ตั้งแต่ปี 1962-1985

แน่นอนว่าบอนด์ก็ตอบรับคำขอนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเป็นไปอย่างมั่นคง “มันนีเพนนีไว้ใจบอนด์อย่างสนิทใจมากกว่าใครทั้งนั้น” แฮร์ริสกล่าว “และเธอก็เต็มใจจะเป็นหูเป็นตาให้เขาภายในเอ็มไอซิกส์และมอบข้อมูลที่เขาต้องการให้กับเขามันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่แต่คุณก็รู้ว่าเธอมีความตั้งใจที่ดีค่ะ”

บทบาทของเธอใน No Time To Die มีความสำคัญและนอกเหนือจากโนมิสายลับดับเบิลโอที่รับบทโดยลาชานาลินช์และแมดเดอลินสวอนน์หญิงสาวพรสวรรค์ที่รับบทโดยเลอาแซดูมันนีเพนนีก็เป็นอีกหนึ่งตัวแทนของผู้หญิงแกร่งที่มีความสามารถสูงของแฟรนไชส์นี้

“ฉันคิดว่าเป็นเรื่องวิเศษสุดที่ผู้หญิงในหนังเรื่องนี้มีบทบาทสำคัญเหลือเกิน” แฮร์ริสกล่าวยืนยัน “พวกเธอสำคัญมากต่อการขับเคลื่อนเรื่องราวไปข้างหน้าพวกเธอร้ายจริงๆพวกเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับแอ็กชันอย่างเต็มตัวและพวกเธอก็ไม่ใช่หญิงสาวที่รอคอยให้ใครมาช่วยเหลือพวกเธอน่ายำเกรงแข็งแกร่งและมั่นใจตตลอดหนังเรื่องนี้คุณจะรู้ว่าบอนด์คงจะไม่รอดถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้หญิงหลายๆคนที่คอยช่วยเหลือเขาระหว่างนั้นน่ะค่ะ”

คิว

เป็นเรื่องธรรมดาที่บอนด์จะมีมิตรมากมายและอีกหนึ่งสมาชิกเอ็มไอซิกส์คนสำคัญที่คอยช่วยเหลือเขาอยู่เสมอคือคิวด้วยความแสดงของเบนวิชอว์ความสัมพันธ์ระหว่างคิวและบอนด์จึงเปลี่ยนแปลงไประหว่าง Skyfall และ Spectre ความสัมพันธ์คลาสสิกที่ถูกกำหนดมาโดยนักแสดงในตำนานของแฟรนไชส์นี้เดสมอนด์เลเวลิน (คิวในภาพยนตร์เจมส์บอนด์ 17 เรื่องเริ่มตั้งแต่เรื่องที่สองของแฟรนไชส์นี้อย่าง From Russia With Love ในปี 1963) ซึ่งมีคิวจอมจู้จี้ผู้มักจะเหนื่อยใจกับวิธีการใช้สิ่งประดิษฐ์อัจฉริยะที่เขาคิดขึ้นอย่างไม่บันยะบันยังของบอนด์ไม่ได้เป็นแบบเดิมอีกต่อไปแล้ว

ถึงกระนั้นมันก็ยังคงมีความตึงเครียดที่เป็นมิตรระหว่างทั้งคู่โดยที่คิวรู้สึกหนักใจที่ต้องเลือกระหว่างความภักดีที่เขามีต่อเอ็มไอซิกส์และมิตรภาพและความชื่นชมที่เขามีต่อบอนด์ “คิวมักต้องเลือกระหว่างบอนด์ผู้เป็นคนหัวก้าวหน้าคาดเดาไม่ได้และแหกกฎและสิ่งที่เอ็มบอกให้เขาทำ” วิชอว์กล่าว “เขาภักดีกับบอนด์เสมอมันมีความรู้สึกรักใคร่ห่วงใยกันจริงๆซึ่งผมคิดว่าถูกแสดงให้เห็นในหนังเรื่องนี้เยอะทีเดียวครับ”

คิวที่แสดงโดยวิชอว์ก็ยังคงจู้จี้จุกจิกไม่เปลี่ยนและนิสัยนี้ก็ถูกขับเน้นให้เด่นชัดขึ้นในตอนที่มันนีเพนนีและบอนด์ไปเยือนบ้านในลอนดอนของเขาระหว่างช่วงเวลาสำคัญของเรื่องในหลายปีที่ผ่านมานี้ทีมผู้สร้างได้เผยให้ผู้ชมได้เห็นภาพถ่ายอพาร์ทเมนต์ของบอนด์ในกรุงลอนดอนที่พวกเขาได้เห็นวิถีชีวิตที่ไม่มีความยั่งยืนถาวรของเขาและภาพการไปเยือนบ้านของเอ็มที่มั่งมีกว่าในแฟรนไชส์นี้

“มันนีเพนนีพาบอนด์ไปหาคิวเพราะพวกเขาต้องพบกันแบบลับๆเพราะพวกเขาไม่อยากให้เอ็มรู้ว่าพวกเขาได้คุยกันน่ะค่ะ” บร็อคโคลีกล่าว

ไม่เพียงแต่การไปเยือนบ้านของคิวจะเป็นโอกาสในการเผยถึงประเด็นพล็อตสำคัญเท่านั้นแต่มันยังใส่ความเบาสมองบางส่วนเข้าไปในเรื่องราวด้วยโดยที่คิวอยู่ระหว่างการเตรียมอาหารค่ำสำหรับแขกที่ยังมาไม่ถึง “บ้านของคิวมีสิ่งประดิษฐ์หลายอย่างครับ” ไมเคิลจี. วิลสันกล่าว “มีสวนเล็กๆที่ด้านหลังและเราก็ได้พบกับแมวที่แพ้สารพัดสิ่งของเขาเป็นเรื่องดีที่ได้เห็นเสี้ยวมุมเล็กๆในชีวิตส่วนตัวของคิวครับ”

สำหรับมือเขียนบทพวกเขาไม่เพียงแต่ได้รับความยินดีจากความอึดอัดของคิวยามเมื่อพื้นที่ส่วนตัวของเขาถูกบุกรุกเท่านั้นแต่ยังจากความไม่ลงรอยเมื่อได้เห็นบอนด์ในสภาพแวดล้อมความเป็นบ้าน

“หนึ่งในช่วงเวลาที่ตลกที่สุดคือการที่บอนด์ไปเยี่ยมชมบ้านของคิวครับ” เพอร์วิสกล่าว “คิวไม่อยากให้บอนด์มารบกวนชีวิตที่เขามีอยู่ตอนนี้ทุกอย่างเงียบลงเมื่อไม่มีเขาอยู่ใกล้ๆแต่ความวุ่นวายก็จะเริ่มต้นอีกครั้งด้วยการกลับมาของบอนด์มันก็เลยมีอารมณ์ขันเกิดขึ้นกับการที่คิวรู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์นี้แค่ไหนน่ะครับ”

เอ็ม

นอกจากแฮร์ริสและวิชอว์แล้วราล์ฟไฟน์ยังกลับมาด้วยเช่นกันในบทเอ็มไฟน์กล่าวว่าเขายิ่งกว่าประทับใจกับไอเดียเรื่องราวที่ฟุกุนากะอยากจะเน้นย้ำ

“ตอนที่แครีคุยโทรศัพท์กับผมและเล่าเรื่องราวให้ผมฟังผมต้องบอกว่าผมคิดว่ามันแข็งแกร่งจริงๆครับ” ไฟน์ผู้นำแสดงในภาพยนตร์บอนด์เรื่องที่สามของเขากล่าว “เอ็มประนีประนอมด้วยการพัฒนาโครงการลับที่เขาคิดว่าน่าจะส่งผลดีต่อประเทศครับ”

“แต่นักวิทยาศาสตร์ที่เขาดึงตัวมาจากพวกรัสเซียและติดต่อให้พัฒนาโครงการนี้กลับออกนอกลู่นอกทางและเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวและอันตรายเอ็มพลั้งเผลอพัฒนาสิ่งที่หลุดจากการควบคุมขึ้นมาครับ”

การตัดสินใจที่น่ากังขาของเอ็มทำให้เขาหันไปหาบอนด์เขาต้องการให้สายลับที่ดีที่สุดของเอ็มไอซิกส์กลับมาและช่วยแก้ไขเรื่องผิดพลาดที่เกิดขึ้นเรื่องราวนี้ช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างเอ็มที่รับบทโดยไฟน์และบอนด์ที่รับบทโดยเคร็ก

“เริ่มแรกเลย” เพอร์วิสกล่าว “เอ็มไม่ค่อยอยากให้เขาอยู่นี่ซักเท่าไหร่เขาเป็นตัวปัญหาเกินไปมันก็เลยเป็นความสัมพันธ์ที่แตกต่างออกไปครับ”

ตัวไฟน์เองชื่นชอบฉากพวกนี้ “ผมมีการเผชิญหน้ากับแดเนียลหลายครั้งในบริบทแบบนี้ในหนังเรื่องก่อนๆครับ” เขากล่าว “แต่นี่ให้ความรู้สึกอันตรายที่สุดเพราะเอ็มเดินสะดุดตอเข้าอย่างจังเลยครับ”

“เรามีฉากที่วิเศษสุดพวกนี้ด้วยกันมีการเผชิญหน้าที่รุนแรงสุดๆครั้งหนึ่งแล้วก็มีการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ที่ตัวเอ็มเองบอกว่า ‘ฉันทำพลาดไปแล้วจริงๆ’ เอ็มพยายามจะทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อประเทศชาติแต่มันกลับผิดพลาดไปเขาต้องการความช่วยเหลือจากบอนด์และผมก็ชอบการเข้าฉากกับแดเนียลครับ”

แทนเนอร์

เจ้าหน้าที่เอ็มไอซิกส์อีกคนหนึ่งที่ทำงานมายาวนานและได้กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งใน No Time To Die คือแทนเนอร์ที่รับบทโดยรอรีคินเนียร์ผู้พูดถึง “ครอบครัวเอ็มไอซิกส์” ว่าเป็นหนึ่งในธีมสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้

“หนังเรื่องนี้มีความเชื่อมโยงกันทางธีมที่แน่นแฟ้นกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้โดยเฉพาะเรื่องที่ผมได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยน่ะครับ” นักแสดงผู้กลับมาแสดงภาพยนตร์บอนด์เป็นครั้งที่สี่กล่าว “มีความรู้สึกของการคลี่คลายปมที่ติดค้างไว้และมีความรู้สึกของครอบครัวในหลายๆแบบเช่นครอบครัวเอ็มไอซิกส์น่ะครับเรื่องราวนี้เผยให้เห็นว่าความภักดีทำให้คุณต้องทำอะไรบ้างมันสามารถเอาอะไรจากคุณมาได้บ้างและมันทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้างกับชีวิตส่วนตัวและชีวิตการงานของคุณน่ะครับ”

“มิตรภาพเหล่านี้มั่นคงและชัดเจนขึ้นด้วยแรงกดดันที่ตัวละครพบเจอไปจนถึงตอนท้ายเรื่องและผมคิดว่ามันก็เป็นแบบเดียวกับในหนังสองสามเรื่องที่ผ่านนมาพวกเขาผ่านอะไรหลายอย่างมาด้วยกันครับ”

เขากล่าวเสริมว่ามิตรภาพระหว่างครอบครัวเอ็มไอซิกส์ถูกสะท้อนให้เห็นในสายสัมพันธ์ที่ถูกหล่อหลอมขึ้นระหว่างนักแสดง “ในฐานะนักแสดงที่กลับมาแสดงหนังพวกนี้เราจะรู้สึกว่าเรามีมิตรภาพที่แน่นแฟ้นกว่ากับคนที่คุณร่วมงานด้วยแต่ละครั้งที่คุณถ่ายทำหนังพวกนี้เสร็จคุณก็ไม่รู้หรอกว่าคุณจะได้แสดงอีกเรื่องหนึ่งมั้ยดังนั้นแต่ละเรื่องก็อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณจะได้อยู่ด้วยกันและนั่นก็ทำให้หนังพวกนี้ให้ความรู้สึกว่าพิเศษสุดครับ”

โบลเฟลด์

อีกคนหนึ่งที่กลับมาคือโบลเฟลด์คู่ปรับที่โด่งดังที่สุดของตัวเอกของเราผู้เปิดตัวบนจอเงินในภาพยนตร์ปี 1963 เรื่อง From Russia With Love ผู้ซึ่งความเชื่อมโยงกับภาพยนตร์ของแดเนียลเคร็กเริ่มต้นขึ้นใน  Spectre ที่ซึ่งเขาได้เผยให้เห็นถึงแง่มุมสำคัญเกี่ยวกับวัยเด็กของบอนด์และความเจ็บปวดที่เขาได้ประสบตั้งแต่ Casino Royale เป็นต้นมา คริสตอฟ วอลซ์กลับมาปรากฏตัวเป็นครั้งที่สองหลังจากที่ตัวละครตัวนี้ถูกกักขังในตอนจบของภาพยนตร์เรื่องที่ผ่านมา

“เรื่องราวของโบลเฟลด์ยังไม่สมบูรณ์ครับ” ไมเคิลจี. วิลสันกล่าว “เขาจะไม่นั่งอยู่ในคุกเงียบๆเขาไม่ใช่คนประเภทนั้นและแน่นอนว่าเรื่องจะไม่จบลงแค่ตอนที่เขาถูกส่งตัวเข้าคุกเท่านั้นเขายังมีพรีโมที่สามารถเป็นหูเป็นตาให้โบลเฟลด์ที่อยู่ในคุกด้วยครับ”

และโบลเฟลด์ก็ยังคงเย้าแหย่อารมณ์ของบอนด์อยู่เสมอ “ฉันชอบตอนที่โบลเฟลด์พูดกับบอนด์ว่า ‘นายอ่อนไหวมากๆๆๆมาตลอด’ น่ะค่ะ” บาร์บาราบร็อคโคลีตั้งข้อสังเกต “ผู้ชายพวกนี้ทุกคนเป็นคนอ่อนไหวน่ะค่ะ”

เฟลิกซ์ ไลเตอร์

มีความผูกพันทางอารมณ์ที่เป็นไปในแง่บวกมากกว่าระหว่างบอนด์และอีกหนึ่งตัวละครเก่าซึ่งก็คือเฟลิกซ์ไลเตอร์เจ้าหน้าที่ซีไอเอผู้ซึ่งมิตรภาพระหว่างเขากับบอนด์เกิดขึ้นตั้งแต่ Casino Royale ที่อยู่ในแฟรนไชส์ที่แดเนียลเคร็กแสดงเจฟฟรีย์ไรท์กลับมารับบทไลเตอร์อีกครั้งใน No Time To Die “เฟลิกซ์กับเจมส์มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นครับ” ไรท์กล่าว “พวกเขาเป็นเหมือนพี่น้องกันในวงการที่คับแคบมากๆน่ะครับ”

นี่เป็นครั้งที่สิบที่เขาได้ปรากฏกายในแฟรนไชส์บอนด์หลังจากที่เขาเปิดตัวในภาพยนตร์ปี 1962 เรื่อง Dr. No และเขาก็มีบทบาทสำคัญในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยการที่เขาติดต่อไปยังบอนด์ผู้ปลดประจำการแล้วและดึงเขากลับมาสู่โลกสายลับอีกครั้ง

“เจมส์ถอนตัวออกมาแล้วแต่เฟลิกซ์ก็มีภารกิจที่จะต้องทำและมันก็บังเอิญอยู่ในละแวกเดียวกับบ้านของเพื่อนเก่าของเขาพอดี” ไรท์เผย “สำหรับพวกเขามันมีความรู้สึกของความคุ้นเคยระหว่างบอนด์กับเฟลิกซ์มีความสัมพันธ์กันจากตัวตนของพวกเขาสิ่งที่พวกเขาทำและตำแหน่งแห่งที่ของพวกเขาน่ะครับเรื่องราวนี้นำเสนอความรักและความนับถือที่เรามีให้กันและกันแล้วผมก็คิดว่ามันมีเรื่องของความรักที่มีต่อวงการนี้ด้วยครับ”

ตัวละครใหม่

โนมิ

น้องใหม่ในโลกสายลับใน No Time To Die คือโนมิสายลับเอ็มไอซิกส์คนใหม่ที่รับบทโดยนักแสดงหญิงมากพรสวรรค์ลาชานาลินช์ผู้ที่ผู้อำนวยการสร้างบาร์บาราบร็อคโคลีได้ร่วมงานด้วยครั้งแรกใน ‘ear for eye’ ที่โรงละครรอยัลคอร์ทเธียเตอร์ในกรุงลอนดอนโนมิได้เข้ามามีส่วนร่วมด้วยหลังจากที่ไลเตอร์ได้พบกับบอนด์

“เธอแข็งแกร่งคมกริบมีไหวพริบและกล้าหาญค่ะ” ลินช์พูดถึงตัวละครของเธอ “เธอขี้เล่นทะเล้นช่างประชดประชันและจิกกัดฉันคิดว่าเธอเข้าคู่กกับบอนด์ได้ดีเพราะเขาสามารถทำตัวจริงจังได้มากๆโดยเฉพาะในตอนที่เขาปฏิบัติภารกิจค่ะ”

ตอนที่พวกเขาได้พบกันครั้งแรกในจาไมก้าเธอและบอนด์ก็ไม่ลงรอยกันเลย “โนมิชอบใช้อายุของบอนด์มาทำให้เขารู้สึกอึดอัดค่ะ” นักแสดงหญิงกล่าวยิ้มๆ “เพราะเธออายุน้อยเธอมีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆเธอได้รับการฝึกฝนแบบใหม่เธอทันสมัยเธอใกล้ชิดกับเอ็มซึ่งเป็นทุกอย่างที่เขาไม่มีในตอนนั้นน่ะค่ะ”

“เธอพินิจพิเคราะห์เขาจริงๆซึ่งในฐานะหญิงสาวที่มาเผชิญหน้ากับชายคนนี้ที่เธอรู้ว่ามีประสบการณ์มากเหลือเกินก็เป็นความท้าทายครั้งใหญ่ค่ะและฉันก็คิดว่าไม่มีใครอีกแล้วในโครงการดับเบิลโอที่กล้าหาญพอจะรับภารกิจนี้แต่โนมิเองพร้อมที่จะรับมือกับความท้าทายนั้นค่ะ”

แม้จะมีความแตกต่างแต่โนมิและบอนด์ก็ได้รวมตัวกันและก่อเกิดเป็นทีมที่น่าเกรงขาม “เธอท้าทายมุมมองที่เขามีต่อโลกใบนี้และมันก็สนุกมากครับ” โรเบิร์ตเว้ดตั้งข้อสังเกต

“มันมีความดึงดูดใจซึ่งกันและกันและอะไรจะเกิดขึ้นระหว่างพวกเขารึเปล่า…” เขาหัวเราะ “ก็รอดูกันต่อไปก็แล้วกันครับ”

ผู้ชมเคยได้เห็นบอนด์ร่วมงานกับสายลับดับเบิลโอคนอื่นๆมาแล้วในอดีตยกตัวอย่างเช่นใครจะลืมฉากเปิดภาพยนตร์ปี 1995 เรื่อง GoldenEye สุดระทึกได้ลงคอล่ะแต่ใน No Time To Die เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนก็ได้นำทักษะของพวกเขามารวมกันขณะที่เรื่องราวขับเคลื่อนไปสู่ช่วงเวลาไคลแมกซ์โนมิก็แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญทางกายภาพและเทคนิคของเธอ

ในขณะเดียวกันบอนด์ก็เริ่มเกิดความชื่นชมในความสามารถของโนมิ “เขาเริ่มเคารพเธอในฐานะสายลับดับเบิลโอค่ะ” ลินช์กล่าว “และในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเขาเห็นความมีคุณภาพของเธอค่ะ”

ซาฟิน

ผู้ที่นำอุปสรรคหฤโหดมาสู่เรื่องราวคือซาฟินจอมวายร้ายที่รับบทโดยนักแสดงรางวัลอคาเดมีอวอร์ดรามีมาเล็คด้วยความที่คู่ปรับหลายๆคนในช่วงหลังๆมานี้ของบอนด์ได้แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวพันกับพระเอกของเราเป็นการส่วนตัวฟุกุนากะก็เลยรู้สึกหลงใหลในไอเดียนี้และเชื่อมโยงเรื่องราวความเป็นมาของซาฟินกับแมดเดอลิน

“เรื่องราวความเป็นมาของซาฟินก็เลยถูกร้อยเรียงเข้ากับของแมดเดอลิน” ผู้กำกับยืนยัน “และมันก็มีความคล้ายคลึงกันระหว่างเขากับบอนด์นี่คือคนที่ไม่ได้มองตัวเองว่าเป็นผู้ร้ายในชีวิตเธอแต่เป็นวีรบุรุษเป็นเรื่องเยี่ยมที่ได้เห็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์แบบรามีและนักแสดงหญิงที่ประสบความสำเร็จแบบเลอามาประชันกันในแบบที่ซับซ้อนและน่าสะพรึงกลัวมากๆ”

ในขณะเดียวกันมาเล็คก็ต้องการให้ผู้ร้ายของเขา “นำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่เขาสามารถทำได้มาทำให้บอนด์เจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” ซาฟินเป็นคนโหดเหี้ยม “ท้ายที่สุดแล้วผมคิดว่าเขามองว่านั่นเป็นผลลัพธ์ของความทารุณที่เขาเคยเจอมาในวัยเด็ก” นักแสดงหนุ่มกล่าวเสริม “มันเป็นสิ่งที่ถูกปลูกฝังมาในตัวเขาตั้งแต่ยังเล็กๆน่ะครับ”

“เขาเป็นผลิตผลของความไร้เดียงสาที่สูญหายไปตั้งแต่ที่เขายังเล็กมากๆเขาก็เลยมีความยากลำบากในการตัดสินว่าอะไรผิดอะไรถูกจากมุมมองของบอนด์เส้นแบ่งระหว่างสิ่งที่ถูกและผิดมันชัดเจนมากๆแต่ซาฟินมีวิธีที่ทำให้คุณพิจารณาว่าจริงๆแล้วนั่นเป็นสิ่งที่ใช่อย่างที่มันเหมือนจะเป็นรึเปล่า”

พระเอกที่ซับซ้อนอย่างบอนด์ก็จำเป็นต้องมีศัตรูที่ซับซ้อน “ผมคิดว่ากับวายร้ายทุกคนเราในฐานะนักแสดงก็พยายามจะทำให้พวกเขามีความเป็นมนุษย์เสมอ” มาเล็คกล่าวต่อ “ผมคิดว่านั่นทำให้พวกเขาน่าจดจำยิ่งขึ้นเห็นได้ชัดว่าบางครั้งคุณก็ไม่ได้อยากให้ผู้ร้ายเข้าถึงได้บางครั้งคุณก็ต้องการให้พวกเขาเลวบริสุทธิ์และสร้างความกลัวให้กับผู้ชมครับ”

“แต่มีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการเห็นใจตัวละครแบบนี้ที่มันสั่นประสาทมากๆและสิ่งที่ผมต้องการจากซาฟินจริงๆคือการทำให้เขาสั่นประสาทแม้กระทั่งตอนที่ผมได้เห็นเขาในเทรลเลอร์ผมก็พบว่านั่นเป็นหนึ่งในลักษณะที่สะดุดตาผมครับ”

พรีโม

ในขณะที่ผู้ร้ายบอนด์มีความโดดเด่นอย่างหลากหลายลูกสมุนของตัวร้ายของเช่นกันและใน No Time To Die ผู้ชมก็ได้พบกับอีกหนึ่งตัวละครที่น่าเกรงขาม  นั่นคือพรีโม ที่รับบทโดยดาลี เบนซาลาห์

“ผมมองพรีโมว่าเป็นนักบู๊เป็นเหมือนหมาสงครามน่ะครับ” นักแสดงหนุ่มเผย “เขาเป็นนักรบรับจ้างที่มองหาเหตุผลในการต่อสู้เขาเกิดและเติบโตขึ้นมาในด้านมืดเขาก็เลยเป็นวายร้ายมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกครับ”

เขามีรูปร่างลักษณะที่โดดเด่น “พรีโมมีลุคที่ยอดเยี่ยมเจ๋งจริงๆ” เบนซาลาห์กล่าวในแง่ของรูปร่างทรงผมและดวงตาแบบหุ่นยนต์เราจะจดจำพรีโมได้ครับ”

ในความเป็นจริงแล้วการแสดงของเบนซาลาห์ทรงพลังถึงขนาดที่ทำให้ทีมผู้สร้างขยายบทบาทของเขาออกไป “นี่เป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมจากดาลีครับ” ไมเคิลจี. วิลสันกล่าว “พรีโมเป็นผู้รอดชีวิตเขาจะเปลี่ยนข้างถ้าจำเป็นเขาเป็นคนมุ่งมั่นมากๆเขาดูเหมือนจะมีความสุขกับสิ่งที่ทำซึ่งรวมถึงการคุกคามแมดเดอลินถ้าเขามีโอกาสด้วยเป็นเรื่องสำคัญที่บอนด์จะต้องมีคนที่มีรูปร่างพอฟัดพอเหวี่ยงกับเขามาสู่ด้วยและพรีโมก็เป็นตัวละครที่เหมาะกับเรื่องนั้นครับ”

พาโลมา

อีกหนึ่งตัวละครสำคัญในการเดินทางของบอนด์ในภาพยนตร์เรื่องนี้คือพาโลมาเจ้าหน้าที่ซีไอเอคนใหม่ชาวคิวบาผู้กระตือรือร้นและมีทักษะทางกายดีเยี่ยมผู้ซึ่งบาร์บาราบร็อคโคลีพูดถึงว่า ‘มีหมัดเด็ดจริงๆ’ หญิงสาวคนนี้รับบทโดยอนาเดออาร์มาสผู้ซึ่งเคร็กเคยร่วมงานด้วยมาก่อนในทริลเลอร์ปี 2019 เรื่อง Knives Out “เราอยากได้ตัวละครชาวคิวบาและเราก็รักอนาค่ะ” บร็อคโคลีพูดถึงนักแสดงหญิงชาวคิวบา “นี่เป็นบทที่แม้จะมีเวลาหน้าจอไม่เยอะแต่ก็มีอิทธิพลสำคัญต่อเรื่องราวค่ะ”

เดออาร์มาสกล่าวว่าพาโลมาอาจจะสร้างความแปลกใจให้กับผู้ชม “ฉันคิดว่าคนจะไม่คาดคิดว่ามีตัวละครแบบนี้ค่ะ” เธอกล่าว “พาโลมาอยากจะพูดอะไรบางอย่างและความคิดนอกกรอบในแง่ของอารมณ์ขันการวางตัวและการปฏิบัติตัวกับบอนด์เธอเป็นคนที่ฉันไม่เคยเห็นบนหน้าจอมาก่อนค่ะ”

“เธอตลกมากๆและมีความร่าเริง” นักแสดงหญิงกล่าวต่อ “บางครั้งเธอก็ขี้เล่นไร้เดียงสาและวุ่นวายแต่เธอก็มีความสามารถฝีมือดีและรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ค่ะ”

“เธอดูดีแต่นั่นก็ไม่ใช่หัวใจสำคัญของเธอเธอรู้ว่าบอนด์เป็นคนสำคัญแต่เธอก็ทุ่มเทให้กับการทำหน้าที่ของเธอเป็นเรื่องเจ๋งมากๆที่ได้เล่นกับสีสันต่างๆเหล่านั้นค่ะ”

วัลโด้

วัลโด้ตัวละครที่แสดงโดยเดวิดเดนซิคเป็นชายลึกลับเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียผู้มีความชำนาญในเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะเขาปรากฏตัวในฐานะจุดสนใจของเรื่อง “วัลโด้เป็นตัวละครที่น่าสนใจมากๆครับ” เดนซิคกล่าว “เพราะเขาแปลกประหลาดออกจะเนิร์ดหน่อยๆแต่เขาก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีความสามารถมากๆด้วย”

เขาเป็นเป้าหมายของหลายๆคนในภาพยนตร์เรื่องนี้และเดนซิคก็กล่าวว่าสถานการณ์ของเขาก่อให้เกิดช่วงเวลาเบาสมองขึ้นมา

“วัลโด้ทำตัวไปตามสถานการณ์ที่เขาเจอแทนที่จะทำไปตามนิสัยของตัวเอง” เดนซิคตั้งข้อสังเกต “ดังนั้นเขาก็เลยถูกจี้หรือถูกลักพาตัวแล้วเขาก็ถูกยิงปืนใส่หรือถูกเหวี่ยงตัวออกจากสิ่งต่างๆและเขาก็ต้องเจอกับสารพัดเรื่องการสวมบทนี้สนุกมากๆครับ”

โลแกน แอช

โลแกนแอชตัวละครของบิลลีแม็กนัสเซนเป็นเจ้าหน้าที่ซีไอเอที่ทำงานร่วมกับเฟลิกซ์ไลเตอร์ในภารกิจนำตัวบอนด์กลับมาทำงานพวกเขาตามร่องรอยของบอนด์ในจาไมก้าและเขาก็เกิดความไม่ชอบขี้หน้าแอชในทันที “เขาเป็นคนเคร่งครัดไม่ดื่มแอลกอฮอล์ทำตามกฎเสมอเป็นคนอารมณ์ดีเสมอ” แม็กนัสเซนผู้เล่าว่ารู้สึกกังวลมากๆในตอนที่ถ่ายทำฉากแรกของเขากับเคร็กและไรท์กล่าว “ผมนับถือเจฟฟรีย์และแดเนียลมากๆสิ่งที่แดเนียลทำสำเร็จในหนังหลายเรื่องที่ผ่านมาเป็นอะไรที่น่าทึ่งอย่างแท้จริงครับ”

แอ็กชัน

ฟุกุนากะมีแนวทางการถ่ายทำแอ็กชันที่เฉพาะเจาะจงมากๆด้วยความที่เขาเคยกำกับยูนิทที่สองด้วยตัวเองในภาพยนตร์เรื่องก่อนๆและทำให้แน่ใจว่าทุกซีเควนซ์ใน No Time To Die จะขับเคลื่อนเรื่องราวก่อให้เกิดจังหวะทางอารมณ์ที่สำคัญรวมถึงความลุ้นระทึกสั่นประสาท

“เป็นเรื่องสำคัญเสมอที่เราต้องนำบอนด์ไปอยู่ในสถานการณ์เหลือเชื่อที่เขาต้องพยายามหนีจากมันให้ได้” ฟุกุนากะกล่าว “แต่กับแอ็กชันมันจะเป็นแค่การที่บอนด์เดินทางจากจุด A ไปจุด B ไม่ได้จะต้องมีสิ่งอื่นเกิดขึ้นในซีเควนซ์นั้นด้วย”

“แม้แต่ตัวผมเองก็สามารถสมาธิหลุดได้ระหว่างซีเควนซ์แอ็กชันถ้าเนื้อเรื่องไม่ได้ขยับไปข้างหน้าดังนั้นในอิตาลีมันก็เลยมีอย่างอื่นเกิดขึ้นระหว่างการไล่ล่าทางรถยนต์ด้วยและคุณก็จะได้เห็นอะไรแบบนั้นในซีเควนซ์แอ็กชันช่วงหลังๆด้วยเช่นกันผมไม่ได้บอกว่าเราจะแปลงโฉมหนังเสียใหม่แต่แน่นอนว่าเราได้นำบอนด์ไปอยู่ในสถานการณ์ทางอารมณ์ที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อนในขณะที่แอ็กชันเกิดขึ้นน่ะครับ”

ตัวผู้กำกับพบความคิดอ่านที่คล้ายคลึงกันในตัวผู้กำกับภาพของเขาเจ้าของรางวัลอคาเดมีอวอร์ดลีนัสแซนด์เกรน

“ลีนัสชื่นชอบเทคที่ยาวกว่าและการบล็อกฉากที่ซับซ้อนกว่าและยาวกว่าซึ่งนั่นก็รวมถึงแอ็กชันด้วยเช่นกัน” ผู้กำกับอธิบาย “ซีเควนซ์แอ็กชันอาจเกิดจากส่วนต่างๆมาประกอบกันก็ได้ด้วยช็อตไวด์ของเฮลิคอปเตอร์บวกกับช็อตของล้อและจุดตกกระทบแต่เราก็ยังอยากจะถ่ายทำช็อตที่เชื่อมโยงกันซึ่งก็คือช็อต A, B และ C ในช็อตเดียวกันซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องจริงไม่แต่เฉพาะแอ็กชันเท่านั้นแต่สำหรับซีเควนซ์ดรามาด้วยเช่นกัน”

แอสตัน มาร์ติน ดีบีไฟว์

แอ็กชันเข้มข้นและดรามาดำเนินไปคู่กันตั้งแต่เริ่มแรกใน No Time To Die ด้วยการที่รถแอสตันมาร์ตินดีบีไฟว์คันเก่งได้กลับมาอีกครั้งสมการรอคอยในความเป็นจริงแล้วบทบาทของรถคันนี้ในฉากสุดท้ายของ Spectre นำไปสู่การเชื่อมต่อที่ลื่นไหลใน No Time To Die จากการที่เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นตอนที่บอนด์และแมดเดอลินขับรถเลียบชายฝั่งอิตาลี

หลังจากนั้นรถคันนี้ก็ได้แสดงศักยภาพอย่างน่าจะเป็นที่จดจำมากที่สุดในฐานะตัวเอกของการไล่ล่าทางถนนผ่านเส้นทางที่แคบและลดเลี้ยวเคี้ยวคดราวเขาวงกตในเมืองมาเทราทางตอนใต้ของอิตาลี

“เป็นเรื่องเยี่ยมที่ได้ดีบีไฟว์กลับมาอีกครั้งครับ” เคร็กกล่าว “ซึ่งในเรื่องมันถูกสร้างขึ้นมาใหม่หลังจาก Skyfall มันกลับมาใน Spectre และตอนนี้ก็มีสภาพที่สมบูรณ์แบบ” เขายิ้ม “ตอนนี้มันมีส่วนเสริมพิเศษเพิ่มเข้ามาหลายชิ้นเลยครับ”

“มีการไล่ล่ากันทางมอเตอร์ไซค์ในตอนเริ่มต้นซึ่งเป็นเหมือนตัวเรียกน้ำย่อยเล็กๆสำหรับซีเควนซ์ไล่ล่าทางรถยนต์ที่บอนด์ขับดีบีไฟว์น่ะครับ” เขากล่าวเสริม “มันทำทุกอย่างที่ดีบีไฟว์ของบอนด์ควรจะทำได้และเราก็ทำทุกอย่างนั่นท่ามกลางฉากหลังที่เหลือเชื่อของมาเทราน่ะครับ”

ในการถ่ายทำซีเควนซ์มาเทราทีมผู้สร้างใช้รถดีบีไฟว์คลาสสิกสองคันซึ่งมีพื้นผิวที่เหมือนกันสำหรับช็อตโคลสอัพส่วนใหญ่ที่บอนด์และแมดเดอลินเข้าและออกจากรถทีมงานใช้รถของอีออนเองซึ่งเคยปรากฏใน GoldenEye, Tomorrow Never Dies, Skyfall และ Spectre ในขณะที่งานสตันท์ทั้งหมดจะถูกถ่ายทำด้วยดีบีไฟว์จำลองแปดคันที่ถูกวิศวกรที่แอสตันมาร์ตินสร้างขึ้นสำหรับทีมงานโดยเฉพาะ

รถสองในแปดคันถูกสร้างขึ้นเป็นรถสิ่งประดิษฐ์เพื่อเก็บตัวปล่อยควันเครื่องปล่อยกับระเบิดและปืนกลในบรรดารถหกคันที่เหลือสองคันถูกติดตั้งพ็อดเพื่อให้นักขับรถสตันท์สามารถควบคุมรถได้ขณะนั่งอยู่บนรถมันทำให้แน่ใจว่าจะสามารถถ่ายทำนักกแสดงภายในรถตอนที่มันขับด้วยความเร็วสูงได้

ในการออกแบบสิ่งประดิษฐ์สำหรับซีเควนซ์นี้ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายสเปเชียลเอฟเฟ็กต์คริสคอร์บูลด์ได้ทำงานกับฟุกุนากะและผู้อำนวยการสร้างวิลสันและบร็อคโคลีเพื่อตอกย้ำให้มั่นใจถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการนำเสนอในภาพยนตร์เรื่องนี้ “แครีอยากให้ซีเควนซ์นี้เป็นภาพหยาบกร้านครับ” คอร์บูลด์อธิบาย “แต่เขาไม่ต้องการให้มันเวอร์เกินไปซีเควนซ์นี้พัฒนาไปเรื่อยๆระหว่างที่เราถ่ายทำในมาเทราครับ”

“และมันก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้มันน่าตื่นเต้น” เขากล่าวเสริม “อย่างแรกในมาเทราเต็มไปด้วยโลเกชันสวยๆมันเป็นเมืองที่มีประวัติยาวนานและดูน่าอัศจรรย์ใจพอเราใส่รถเข้ามาซึ่งเราทำในแบบที่มากกว่าที่เคยมีการทำมานับตั้งแต่ Goldfinger ในปี 1964 เราได้เห็นภาพเศษเสี้ยวของมันใน Skyfall ก็จริงแต่ Goldfinger มีซีเควนซ์ใหญ่ครั้งสุดท้ายของมันและตอนนี้การที่มันได้กลับมาอย่างยิ่งใหญ่และมีซีเควนซ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจอีกครั้งจะทำให้ผู้ชมชื่นชอบมันครับ”

รถแอสตันมาร์ตินอีกสามคันในเรื่องซึ่งรวมถึงแอสตันมาร์ตินวีเอทคลาสสิกของบอนด์ที่ขับโดยบอนด์ที่รับบทโดยทิโมธีดัลตันในภาพยนตร์ปี 1987 เรื่อง The Living Daylights รถอีกหนึ่งคันที่ถูกนำเสนอคือวัลฮัลลาหนึ่งในรถไฮเปอร์คาร์คันล่าสุดจากแอสตันมาร์ตินมันปรากฏตัวขึ้นในอุโมงค์ลมในห้องแล็บของคิวที่ซึ่งเอ็มรับสายจากบอนด์

นอกจากนี้โนมิยังได้ขับรถแอสตันด้วยซึ่งทีมผู้สร้างก็ได้เลือกรถดีบีเอสซูเปอร์เล็กเกรารุ่นล่าสุดซึ่งใช้เครื่องยนต์ V12 ความเร็ว 8 สปีดด้วยแรง 700 แรงม้าเป็นพาหนะที่เอ็มไอซิกส์มอบหมายให้กับเธอรถคันนี้เป็นการอัพเดทยานพาหนะที่ถูกใช้ใน Casino Royale และ Quantum Of Solace และเป็นตัวเลือกที่เพอร์เฟ็กต์ตามความคิดของผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้างเกร็กวิลสัน “เรารู้สึกว่าโนมิน่าจะขับรถที่เจ๋งและเพรียวลมและดีบีเอสซูเปอร์เล็กเกราก็เหมาะเหม็งครับ” เขากล่าว

แอ็กชันและสตันท์อื่นๆ

ซีเควนซ์มาเทราเต็มเปี่ยมไปด้วยแอ็กชันและสตันท์ที่น่าตื่นเต้นและนำเสนอฉากมอเตอร์ไซค์โลดโผนที่น่าตื่นตาตื่นใจซึ่งถ่ายทำในโลเกชันภายในเมืองของอิตาลีระหว่างการดำเนินเรื่องบอนด์ได้บังคับมอเตอร์ไซค์ให้กระโดดแม้ว่าพอลเอ็ดมอนด์สันนักขี่สตันท์จะเป็นคนกระโดดด้วยการใช้ซุ้มประตูโบราณเป็นเนินกระโดดก็ตาม

ผู้อำนวยการสร้างบาร์บาราบร็อคโคลีเชื่อว่าสตันท์นี้จะกลายเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดของเรื่อง “ฉันคิดว่าคนจะรักการกระโดดนั่นค่ะ” เธอกล่าว “โดยเฉพาะเมื่อมันเป็นของจริงค่ะ”

นอกจากนั้นเธอยังบอกด้วยว่าการต่อสู้บนบันไดซึ่งเกิดขึ้นที่แหล่งกบดานของซาฟินจะโดดเด่นในฐานะฉากที่ตราตรึงใจ “การต่อสู้บนบันไดค่อนข้างจะมีอิทธิพลค่ะ” เธอกล่าว “และส่วนมากแล้วก็เป็นเพราะตัวแดเนียลเองค่ะ”

สำหรับทีมสตันท์หนึ่งในความท้าทายหลักในการถ่ายทำฉากต่อสู้ของบอนด์คือการรักษาสมดุลของแอ็กชันที่เกี่ยวข้องกับตัวละครสำคัญมากมายผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์โอลิวิเยร์ชไนเดอร์ยกตัวอย่างแอ็กชันในคิวบาขึ้นมา “คิวบาเป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งของซีเควนซ์ใหญ่ที่เราจะต้องออกแบบและซ้อมครับ” เขากล่าว “แต่เราก็มีการกระโดดการต่อสู้และการแลกกระสุนกันมันเป็นกระบวนการที่ยาวนานในการเล่าถึงการเดินทางของตัวละครมากมายในขณะเดียวกันกับที่เรายังคงต้องบอกเล่าเรื่องราวของบอนด์น่ะครับ”

นอกเหนือจากการเพิ่มระดับความตื่นเต้นฟุกุนากะและผู้อำนวยการสร้างยังต้องการให้สตันท์มีความสมจริงและเคร็กก็พยายามเสมอที่จะแสดงด้วยตัวเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในตอนที่ถ่ายทำฉากแอ็กชันของเขา “ด้วยความที่แดเนียลแสดงงานสตันท์ด้วยตัวเองเขาก็เลยมีส่วนร่วมอย่างมากในการออกแบบและสร้างฉากพวกนั้นน่ะค่ะ” บร็อคโคลีกล่าวยืนยัน

“เขาต้องการออกแบบงานสตันท์พวกนั้นเพื่อที่เขาจะได้แสดงด้วยตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้โชคไม่ดีที่เขาได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้าในจาไมก้าตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกของการถ่ายทำเราก็เลยต้องเลื่อนแอ็กชันไปในช่วงท้ายๆของการถ่ายทำส่วนเขาก็ต้องทำกายภาพบำบัดอย่างหนักหน่วงเพื่อให้ถ่ายทำได้สิ่งที่เขาทำได้มันเหลือเชื่อจริงๆค่ะ”

ความเต็มใจของเคร็กในการเอาร่างกายตัวเองเข้าเสี่ยงช่วยเพิ่มเติมอะไรมากมายให้กับตัวละครของเขาบร็อคโคลีกล่าว “แดเนียลทำให้คุณเชื่อจริงๆว่าบอนด์ตกอยู่ในอันตรายและเขาอาจได้รับบาดเจ็บได้” เธอกล่าว “เขาได้รับบาดเจ็บจริงๆและเขาก็รู้สึกจริงๆครับ” 

ในสถานที่อื่นมีฉากอันตรายที่สะเทือนอารมณ์บนเรือลากอวนที่กำลังจมลงที่เรือจะเริ่มพลิกคว่ำและจมดิ่งลงไป “พอเราตกลงกันว่ามันจะจมลงยังไงเราก็เริ่มสร้างกลไกที่จะใช้ทำมันขึ้นมาครับ” คอร์บูลด์กล่าวอธิบาย

มีการสร้างกลไกขึ้นในสเตจใต้น้ำที่ไพน์วู้ดที่ซึ่งมันถูกพลิกกลับได้ 90 องศาเพื่อที่บันไดและเครื่องยนต์จะได้ตั้งอยู่ในองศาที่ไม่ปกติ “จากนั้นเราก็จะอัดอากาศเข้าไปด้านในเพื่อทำให้มันมีลักษณะเหมือนกำลังจมลงไป” คอร์บูลด์กล่าว

“และนักแสดงก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมในการว่ายน้ำผ่านมันไปเพื่อพยายามหาทางออกพวกเขาเหนื่อยกันมากมันเป็นซีเควนซ์ที่ยาวและดรามามากๆและมันก็มีประเด็นเรื่องราวที่สำคัญในนั้นด้วยเหมือนกัน”

ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์ลีมอร์ริสันประทับใจอย่างยิ่งกับกลไกนั้น “คริสเป็นอัจฉริยะเลยครับและสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาสำหรับบอนด์ตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็น่าตื่นตะลึงจริงๆแต่กลไกนี้เป็นอะไรที่โดดเด่นออกมาครับ” เขากล่าวนอกจากนี้คริสคอร์บูลด์ยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังกลไกสำหรับลิฟท์ที่จมดิ่งลงไปสำหรับซีเควนซ์การตายของเวสเปอร์ในตอนจบ Casino Royale ซึ่งถูกถ่ายทำในสเตจใต้น้ำแห่งเดียวกันนี้ด้วย

อีกหนึ่งจุดแข็งของคอร์บูลด์คือการทำงานกับระเบิดของเขาโดยที่การระเบิดแหล่งกบดานของผู้ร้ายใน Spectre ถูกลงบันทึกในกินเนสเวิลด์เรคคอร์ดส์ว่าเป็นฉากระเบิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างมาในภาพยนตร์ใน No Time To Die มีการระเบิดครั้งใหญ่สองครั้งครั้งแรกคือการระเบิดในห้องแล็บของวัลโด้

ในการสร้างการระเบิดครั้งนั้นทีมสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ได้ผูกกระป๋องแก๊สเอาไว้กันและใช้ตัวจุดระเบิดที่มีตัวควบคุมแบบคอมพิวเตอร์ “แครียืนกรานหนักแน่นทีเดียวว่าเขาต้องการให้ช่องว่างระหว่างระเบิดพวกนี้สั้นมากๆและมันก็จะต้องมีแบบแผนบางอย่างด้วยเราก็เลยต้องออกแบบการระเบิดพวกนี้อย่างเฉพาะเจาะจงมากๆครับ” คริสคอร์บูลด์กล่าว

การระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดของเรื่องเกิดขึ้นระหว่างช่วงไคลแมกซ์ของเรื่องและถูกสร้างขึ้นโดยทีมสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ในอาณาบริเวณของกระทรวงกลาโหมที่ซาลิสเบรีเพลน “เราต้องสร้างการระเบิดสามครั้งขึ้นมาในช็อตเดียว” คอร์บูลด์ตั้งข้อสังเกต “ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าถ้ำใต้ดินสามแห่งระเบิดในเวลาใกล้ๆกันซึ่งการระเบิดแต่ละครั้งก็จะเข้าใกล้กล้องมากขึ้นเรื่อยๆ”

“แรงระเบิดครั้งแรกจะอยู่ห่างจากกล้อง 230 เมตรครั้งที่สองจะห่างจากกล้อง 130 เมตรและครั้งที่สามจะห่างจากกล้องเพียงแค่ 30 เมตรเท่านั้นเองแต่ละครั้งจะมีแรงระเบิด 40 กิโลกรัมและอาจจะใช้เชื้อเพลิงประมาณ 30-40 แกลลอนดังนั้นแม้ว่ามันจะมีการระเบิดเพียงแค่สามครั้งแต่มันก็เป็นการระเบิดที่ใหญ่เบิ้มจริงๆ”

การระเบิดเหล่านั้นถูกออกแบบมาเพื่อจำลองลุคของระเบิดทะลวงใต้ดินที่ถูกยิงมาจากเรือรบของราชนาวี “ผมคิดว่ามันเวิร์คจริงๆครับ” คอร์บูลด์กล่าว “มันมีช่วงพักระหว่างการระเบิดแต่ละครั้งเพียงเสี้ยววินาทีในตอนที่ระเบิดทะลวงใต้ดินถูกเล็งเป้าไปที่ถ้ำพวกนั้นน่ะครับ”

หลังจากที่ได้ครองสถิติโลกใน Spectre ทีมงานบอนด์ก็หวังว่าพวกเขาจะสร้างสถิติได้ใน No Time To Die อีกเช่นกัน “มีการบันทึกสถิติของแรงระเบิดสูงสุดภายในช็อตเดียว” ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายสเปเชียลเอฟเฟ็กต์กล่าว “ในหนังของเรามีแรงระเบิด 135.4 กิโลกรัมผมก็เลยหวังว่ามันจะผ่านนะครับคงจะดีถ้าหนังบอนด์ทุกเรื่องสร้างสถิติได้น่ะครับ!”

เครื่องแต่งกาย

นับตั้งแต่ที่เอียนเฟลมมิงให้เขาแต่งตัวในชุดสูทชิ้นเดียวสีน้ำเงินเข้มตัวโปรดพร้อมกับเน็คไทที่ผูกแบบโฟร์อินแฮนด์ (ไม่เคยผูกแบบวินด์เซอร์) เจมส์บอนด์ก็ได้เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของสายลับไปโดยสิ้นเชิงก่อนหน้าที่จะมี 007 สายลับมักจะถูกซ่อนตัวอยู่ในเสื้อโค้ทตัวยาวและหมวกปีกกว้างและบอนด์ก็เปลี่ยนแปลงภาพทั้งหมดนั่นผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายสุทธิรัตน์แอนน์ลาลาภกล่าว “คุณจะแบกรับน้ำหนักหนักอึ้งบนบ่าในฐานะนักออกแบบของบอนด์น่ะค่ะ” เธอกล่าว

การเป็นผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายของแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่อายุยืนยาวที่สุดของโลกเป็นความท้าทายมหาศาลด้านโลจิสติกเนื่องด้วยจำนวนตัวละครสำคัญความต้องการในการจัดการกับเครื่องแต่งกายที่หลากหลายและความจำเป็นในการจัดระเบียบเสื้อผ้าที่ซ้ำๆกันหลายร้อยชุด

ลาลาภกล่าวว่ากุญแจที่นำไปสู่ความสำเร็จคือการร่วมมือกัน “สำหรับตัวละครเจมส์บอนด์ทุกคนคาดหวังว่าเขาจะเป็นผู้ชายที่แต่งตัวเนี้ยบที่สุดในโลกและมันก็มีความเชื่อมโยงกับแบรนด์บางแบรนด์ตามมาด้วย” เธออธิบาย “มันมีการร่วมมือกันมากมายเลยค่ะ”

อย่างไรก็ดีการร่วมมือกับผู้กำกับและนักแสดงเป็นการร่วมมือที่สำคัญที่สุดผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายที่ประสบความสำเร็จทุกคนตระหนักดีว่าเสื้อผ้าเป็นส่วนต่อขยายจากตัวละครและไม่มีใครเข้าใจในตัวละครมากกว่าคนที่เนรมิตชีวิตให้พวกเขาอีกแล้ว

ลาชานาลินช์ผู้รับบทสายลับดับเบิลโอโนมิเล่าว่าลาลาภชื่นชอบแนวทางนี้สุดหัวใจ

“หนึ่งในสิ่งที่น่าทึ่งเกี่ยวกับสุทธิรัตน์คือเธอยินดีกับการร่วมมืออย่างเต็มที่ค่ะ” ลินช์กล่าว “เรานั่งคุยกันในครั้งแรกที่ฉันได้พบกับเธอแล้วเราก็คุยกันว่าโนมิเป็นใครและเราจะใส่ความเป็นตัวละครตัวนี้อะไรบ้างลงไปในเครื่องแต่งกายเพื่อทำให้เธอให้ความรู้สึกสมจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ตอนที่เธอปฏิบัติภารกิจน่ะค่ะ”

“อะไรจะเป็นสิ่งที่เป็นตัวแทนเธอได้เต็มที่ที่สุดล่ะคะอะไรที่จะทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายแต่ก็ยังทำให้เธอรู้สึกเซ็กซีและมีอำนาจสุทธิรัตน์มีวิธีในการเรียนรู้เกี่ยวกับตัวคุณในทันทีเธออ่านคนได้ง่ายดายและรวดเร็วมากๆและเธอก็ทำงานกับทุกๆส่วนในร่างกายฉันค่ะ”

เลอาแซดูกล่าวเห็นด้วยว่า “สุทธิรัตน์ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมค่ะ” นักแสดงหญิงชาวฝรั่งเศสกล่าว “เราอยากได้อะไรที่ไร้กาลเวลาให้กับแมดเดอลินแต่ในขณะเดียวกันก็เรียบง่ายมีความเป็นผู้หญิงหรูหราแต่ก็ไม่มากเกินไปมันจะต้องเรียบง่ายในแบบที่ผู้หญิงเราสามารถเข้าถึงได้และสุทธิรัตน์ก็เข้าใจเรื่องนั้นจริงๆค่ะ”

ในความเป็นจริงแล้วลาลาภมีความใส่ใจในรายละเอียดอย่างมหาศาลเธอยกตัวอย่างถึงบทสนทนายืดยาวระหว่างเธอกับราล์ฟไฟน์เกี่ยวกับวิธีที่เอ็มอาจจะติดกระดุมคอเสื้อของเขา “เสื้อผ้าหลายตัวของเอ็มดูเหมือนจะเป็นสูทแบบดั้งเดิมที่ตรงไปตรงมา” ลาลาภกล่าว “แต่เราคุยกันสี่ชั่วโมงว่าตัวละครของเขาในหนังเรื่องนี้สามารถถือกำเนิดใหม่ในฐานะเอ็มเวอร์ชันใหม่ได้ยังไงบ้างน่ะค่ะ”

นอกเหนือจากบรรดาตัวเอกแล้วลาลาภยังต้องคำนึงถึงตัวร้ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งซาฟินศัตรูคนล่าสุดของบอนด์ด้วยเธอกล่าวว่าเสื้อผ้าของตัวร้ายอาจมีความวิจิตรพิสดารที่สุดเพราะเขาไม่ได้ถูกผูกมัดจากความคาดหวังที่มีมาแต่เดิม

“จากมุมมองของฉันเสื้อผ้าของซาฟินนี่เห็นได้ชัดที่สุดว่าเป็นส่วนต่างๆที่ถูกคิดขึ้นมาสำหรับหนังเรื่องนี้และเราก็คิดออกแบบมันขึ้นมาใหม่ทั้งหมดภาพวาดการค้นคว้าข้อมูลและการทำแบบตัวอย่างขึ้นมาทำให้เราสามารถจัดทำชุดให้กับซาฟินและสมุนทุกคนของเขาได้ค่ะ”

เช่นเดียวกับที่เธอทำกับตัวบอนด์เองลาลาภได้มองหาสไตล์และแนวทางที่เคยใช้ในตอนจัดทำชุดให้กับผู้ร้ายบอนด์หลายๆคนก่อนหน้านี้ “พวกเขากลายเป็นไอคอนและพวกเขาก็ถูกทำเป็นภาพล้อเลียนด้วยซ้ำไปค่ะ” เธอกล่าว “แต่มันก็มีอะไรบางอย่างที่เหมือนๆกันในตัวพวกเขาที่ฉันอยากจะแสดงความเคารพมันน่ะค่ะ”

เสื้อผ้าของผู้ร้ายบอนด์มักจะถูกตั้งคำนิยามจากความเรียบง่ายที่มีความนัยบ่งบอกถึงความหรูหราหรือลึกลับและนั่นก็นำไปสู่เสื้อผ้าชุดแรกที่ลาลาภจัดทำให้กับซาฟินเขาได้ปรากฏตัวในช่วงแรกๆของภาพยนตร์เรื่องนี้ในเสื้อผ้าแบบนักล่าสัตว์ที่ใช้หน้ากากโนห์

“ประเด็นเกี่ยวกับหน้ากากโนห์คือมันไร้ความรู้สึกค่ะ” ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายกล่าว “แต่มันสามารถสะท้อนถึงอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไปได้โดยอาศัยลักษณะการเคลื่อนไหวของนักแสดงและการใช้แสงมันอาจจะน่ากลัวเงียบสงบหรืออาจดูก้าวร้าวก็ได้และคำอธิบายทั้งสามคำนั้นก็เป็นสิ่งที่เราอยากให้ซาฟินเป็นพอดีเลยค่ะ”

เห็นได้ชัดว่าในเรื่องของเครื่องแต่งกายแล้วไม่มีการร่วมมือไหนที่สำคัญไปกว่าการร่วมมือระหว่างลาลาภและแดเนียลเคร็กอีกแล้ว “เราได้พูดคุยกันหลายครั้งเพื่อทำให้แน่ใจว่าบอนด์จะให้ความรู้สึกเหมือนเขากำลังขยับไปข้างหน้าด้วยองค์ประกอบที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วในครั้งก่อนๆที่เขาเคยรับบทบอนด์แต่มันก็ยังอ้างถึงตำนานบอนด์โดยทั่วๆไปในขณะที่เดินหน้าไปสู่อนาคตด้วยค่ะ”

มีอยู่ช่วงตอนหนึ่งที่เจมส์บอนด์ปลดประจำการและลาลาภก็ตั้งข้อสังเกตว่าหนึ่งในความท้าทายของเธอในภาพยนตร์เรื่องใหม่นี้คือจะให้บอนด์แต่งตัวอย่างไรในตอนที่เขาไม่ได้เป็นสมาชิกของหน่วยสืบราชการลับแล้ว

“เราได้คุยกันถึงการที่เขาจะต้องให้ความรู้สึกเหมือนเป็นบอนด์ในแบบที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง” ลาลาภกล่าว “บอนด์ที่คุณจะจดจำไม่ได้บอนด์ที่ไม่จำเป็นจะต้องแต่งตัวในแบบที่คุณคาดคิดที่สวมชุดสูทสั่งตัดพอดีตัวน่ะค่ะเขาจะต้องให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลายเขาจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมของเขาแต่เขาก็จะต้องโดดเด่นออกมาอยู่ดีดังนั้นมันก็เลยเป็นสองเรื่องที่ค้านกันอยู่ค่ะ”

“โชคดีที่ไม่ว่าคุณจะให้แดเนียลสวมอะไรเขาก็สวมมันได้เข้าทีเราก็เลยแค่ต้องหาสิ่งที่คุณไม่คาดคิดว่าบอนด์จะสวมในชีวิตที่ลอนดอนของเขาหรือในชีวิตภาคสนามในต่างประเทศของเขาน่ะค่ะ”

ลาลาภกล่าวว่าเมื่อถึงเวลาต้องจัดหาเสื้อผ้าให้กับบอนด์ในตอนที่เขาปลดประจำการแล้วความลับอยู่ที่สัญชาตญาณและความเท่ของตัวละครตัวนี้ “เราอยากให้ทุกอย่างของเขาให้ความรู้สึกเหมือนว่ามันไม่ได้ผ่านความคิดมา” เธอกล่าวต่อ “ว่าเขาจะต้องมีสัญชาตญาณเกี่ยวกับสไตล์แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้ความคิดกับเรื่องนี้มากนักมันเป็นไปเองค่ะ”

“เราชื่นชอบไอเดียของภาพเงามืดเพื่อที่คุณจะได้ไม่ไขว้เขวไปกับลวดลายรูปทรงหรือรายละเอียดด้านการออกแบบใดๆเขาให้ความรู้สึกเหมือนเป็นภาพเงามืดและด้วยความที่มันเป็นประเทศในเขตร้อนชื้นเราก็เลยรู้ว่ามันจะต้องเป็นเสื้อผ้าที่หลวมขึ้นอีกนิดแต่ก็ยังคงพอดีตัวเพื่ออวดรูปร่างที่วิเศษสุดนั่นน่ะค่ะ”

แน่นอนว่าชุดที่โดดเด่นในบรรดาเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของบอนด์คือชุดสูททักซิโด้ของเขาซึ่งใน No Time To Die ตัดเย็บโดยทอมฟอร์ดผู้จัดทำชุดให้กับบอนด์เป็นครั้งแรกในภาพยนตร์ปี 2012 เรื่อง Skyfall “ชุดทักซิโด้อาจจะเป็นลุคที่เป็นภาพจำมากที่สุดในบรรดาเสื้อผ้าของเจมส์บอนด์” ลาลาภกล่าวต่อ “ดังนั้นสำหรับ No Time To Die ฉันก็เลยย้อนกลับไปดูว่าบอนด์แต่ละคนสวมใส่ชุดออกงานอะไรในหนังทุกเรื่องก่อนหน้านี้แล้วค่อยให้ความใส่ใจเป็นพิเศษกับสิ่งที่แดเนียลเคยสวมในหนังเรื่องก่อนๆของเขา”

“เรารู้ในทันทีเลยว่าเราไม่อยากจะทำซ้ำกับสิ่งที่เคยมีการทำมาก่อนแล้วฉันหวังว่านี่จะเป็นอะไรที่พิเศษสุดนะคะ”

โลเกชัน

โลเกชันเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับภาพยนตร์เจมส์บอนด์เสมอเพราะมันสะท้อนถึงอารมณ์และโทนของเรื่องราวรวมทั้งนำผู้ชมเดินทางไปสู่ดินแดนที่งดงามน่ากลัวหรือลี้ลับของโลกชาร์ลีย์เฮย์สผู้จัดการฝ่ายโลเกชันของเรื่องกล่าวว่าฟุกุนากะและผู้ออกแบบงานสร้างมาร์คทิลเดสลีย์มีแนวคิดที่เฉพาะเจาะจงมากๆเกี่ยวกับโลเกชัน

“มันมีอารมณ์หรือความรู้สึกบางอย่างที่เราต้องการให้โลเกชันเหล่านั้นกระตุ้นออกมาหรือต้องให้มันเหมาะกับแอ็กชันและฉากต่างๆครับ” เฮย์สกล่าวอธิบาย “มีช่วงหนึ่งที่กระดานที่น่าทึ่งบนผนังของมาร์คทิลเดสลีย์จะระบุถึงความรู้สึกทั้งหมดในแต่ละฉากของเรื่องระหว่างที่เราถ่ายทำรวมถึงสีสันที่พวกเขาต้องการด้วยครับ”

จากนั้นเฮย์สและหัวหน้าผู้จัดการฝ่ายโลเกชันเบนพิลท์ก็ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับฟุกุนากะ, ทิลเดสลีย์และบรรดาผู้อำนวยการสร้างเพื่อหาโลเกชันที่ตรงกับความต้องการเหล่านั้นพวกเขาเริ่มต้นจากนอร์เวย์ซึ่งเป็นโลเกชันแห่งแรกที่เห็นในภาพยนตร์เรื่องนี้ในช่วงเครดิตก่อนเริ่มเรื่อง

นอร์เวย์

“เรารู้ว่าเราจะไปสแกนดิเนเวียค่ะ” บร็อคโคลีกล่าวพลางตั้งข้อสังเกตว่ามิสเตอร์ไวท์พ่อของแมดเดอลินเป็นชาวสแกนดิเนเวียน “มันจะต้องเป็นที่ไหนซักแห่งที่พวกเขาจะซ่อนตัวกันทั้งครอบครัวมันจะต้องเป็นสถานที่ที่เข้าถึงได้ยากที่ที่ค่อนข้างจะห่างไกลผู้คนน่ะค่ะ”

อัลทอสซีในออสเตรียที่ซึ่งบอนด์ตามรอยของไวท์ในภาพยนตร์เรื่อง Spectre กลายเป็นแรงบันดาลใจด้านวิชวลเช่นเดียวกับช่วงเวลาที่ฟุกุนากะเคยอยู่ในนอร์เวย์ก่อนที่เขาจะทำงานในภาพยนตร์เรื่องนี้

“การเลือกโลเกชันทุกแห่งเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติครับ” ผู้กำกับกล่าว “ผมได้ใช้เวลาพักหนึ่งอยู่ในนอร์เวย์และตกหลุมรักสภาพภูมิประเทศที่นั่นและด้วยความที่นักกแสดงที่รับบทมิสเตอร์ไวท์ [แจสเปอร์คริสเตนเซน] เป็นชาวเดนิชและเลอาก็เป็นชาวฝรั่งเศสเราเลยตัดสินใจทำให้แมดเดอลินเป็นชาวนอร์วีเจี้ยนครับ”

หลังจากนั้นทีมงานก็เริ่มต้นการค้นหาบ้านที่ห่างไกลผู้คนที่มีสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม “เราต้องการความรู้สึกแบบโดดเดี่ยว” เฮย์สกล่าว “เราต้องการความรู้สึกที่ว่ามิสเตอร์ไวท์และครอบครัวของเขาสามารถซ่อนตัวและแยกตัวจากโลกภายนอกได้และแน่นอนว่ามันทำให้ซีเควนซ์เปิดเรื่องยิ่งน่ากลัวและสะเทือนใจมากยิ่งขึ้นครับ”

พวกเขาเลือกป่าเชิงพาณิชย์ทางตอนเหนือของออสโลและสร้างบ้านหลังหนึ่งขึ้นมาบนทะเลสาบกว้างใหญ่ “ตัวบ้านจริงๆแล้วถูกสร้างขึ้นมาบนทะเลสาบแทนที่จะเป็นด้านข้างเพราะมันเวิร์คที่สุดสำหรับกระบวนการสร้างสรรค์ครับ” เฮย์สกล่าวต่อ “โครงสร้างดั้งเดิมที่เราพบไม่ค่อยจะเหมาะนักในแง่ของภูมิประเภทและแผนผังของฉากที่แครีคิดเอาไว้น่ะครับ”

การสร้างบ้านขึ้นมาบนทะเลสาบก็นำมาซึ่งความท้าทายของตัวมันเองเช่นกัน “ในตอนแรกทีมงานชาวนอร์วีเจี้ยนที่เราทำงานด้วยรู้สึกสับสนนิดๆกับคำขอนี้ครับ” เฮย์สหัวเราะ “แล้วในตอนที่เราถ่ายทำเป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้ที่อุณหภูมิจะเริ่มสูงขึ้นและเราก็สังเกตว่าน้ำแข็งด้านล่างเราบางลงแน่นอนว่ามันปลอดภัยแต่มันก็เป็นความคิดแปลกๆที่เราจะต้องคุ้นชินกับมันให้ได้น่ะครับ”

เรื่องราวในส่วนของนอร์เวย์ซึ่งรวมถึงการไล่ล่าทางรถยนต์ครั้งหนึ่งและการไล่ล่าทางมอเตอร์ไซค์อีกครั้งหนึ่งถูกถ่ายทำในคฤหาสน์อาร์ดเวอริคีย์ในอุทยานแห่งชาติแคร์นกอร์มประเทศสก็อตแลนด์และในวินด์เซอร์เกรทปาร์ค “การไล่ล่าทางรถยนต์ครั้งนั้นพาพวกเขาไปตามถนนเลียบมหาสมุทรแอตแลนติกซึ่งเป็นถนนเลียบมหาสมุทรที่เหลือเชื่อที่สุดในนอร์เวย์” เฮย์สกล่าว “เข้าสู่พื้นที่เขตป่าซึ่งถูกแบ่งระหว่างโลเกชันในสก็อตแลนด์ในพื้นที่อาร์ดเวอริคีย์น่ะครับ”

“แล้วส่วนสุดท้ายของการไล่ล่านั้นก็ถูกถ่ายทำในป่าบัตเตอร์สตีพซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของป่าเชิงพาณิชย์ที่ติดกับวินด์เซอร์เกรทปาร์คเราก็เลยแยกส่วนที่เกิดขึ้นในนอร์เวย์ไปตามโลเกชันดีๆหลายแห่งครับ”

อิตาลี

จากภูมิประเทศแบบฤดูหนาวที่เย็นยะเยือกและทารุณในนอร์เวย์ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ขยับเข้าสู่แสงที่สลัวและนุ่มนวลทางตอนใต้ของอิตาลีภาพยนตร์บอนด์มีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประเทศแห่งนี้โดยเฉพาะในยุคของแดเนียลเคร็กกับ Casino Royale, Quantum Of Solace และ Spectre ที่ทุกเรื่องล้วนแล้วแต่นำเสนอฉากที่เกิดขึ้นในประเทศในบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแห่งนี้ทั้งสิ้น

“อิตาลีเป็นสถานที่ที่เพอร์เฟ็กต์” ฟุกุนากะกล่าว “เพราะพวกเขาขับรถหายไปท่ามกลางอาทิตย์อัสดงในตอนจบของ Spectre แล้วจะมีที่ไหนที่โรแมนติกเท่าอิตาลีอีกล่ะครับแล้วเมืองโบราณมาเทราก็น่าทึ่งมากเราต้องถ่ายทำที่นั่นให้ได้ครับ”

ทีมงานเลือกมาเทราเป็นสถานที่ถ่ายทำการไล่ล่าทางรถยนต์ที่ลุ้นระทึกในซีเควนซ์ช่วงเปิดเรื่อง “อิตาลีเป็นสถานที่ที่มีโลเกชันหลากหลายเหลือเกินครับ” ไมเคิลจี. วิลสันกล่าว “เรารักอิตาลีบอนด์รักอิตาลีและมาเทราก็มีภาพวิชวลที่น่าทึ่งและเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมสำหรับฉากไล่ล่าทางรถยนต์ครับ”

มาเทราเป็นเมืองโบราณและบ่อยครั้งมันก็มักถูกใช้เป็นโลเกชันในคัมภีร์ไบเบิลหรือวรรณกรรมคลาสสิกแต่เมืองแห่งนี้ก็ยินดีที่ได้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์สมัยใหม่ที่มีซีเควนซ์แอ็กชันลุ้นระทึกที่มาเทรานี้เองที่บอนด์ได้ทำภารกิจส่วนตัวสำเร็จก่อนที่เขาจะถูกจู่โจมและมีส่วนเกี่ยวข้องกับการไล่ล่าทางรถยนต์ตามถนนแคบๆที่ลดเลี้ยวเคี้ยวคด

“ถนนพวกนี้ทั้งแคบและสั้นและมันก็ไม่ได้ดูเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการขับรถไล่ล่ากันซักเท่าไหร่” เฮย์สกล่าว “แต่ผมรู้สึกว่าส่วนสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของซีเควนซ์นี้อยู่ที่การที่เราใช้สภาพแวดล้อมนี้และยานพาหนะต่างๆในแบบที่คุณคาดไม่ถึงน่ะครับ”

อีกหนึ่งฉากสำคัญที่เกิดขึ้นในอิตาลีดำเนินไปในสถานีรถไฟในเมืองซาปรีที่อยู่ทางใต้ของทิศตะวันตกทีมผู้สร้างรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่งกับเทรนอิตาเลียซึ่งเป็นองค์กรทางรถไฟของอิตาลีสำหรับความช่วยเหลือของพวกเขา

“การถ่ายทำที่สถานีรถไฟแห่งไหนๆก็ตามในโลกใบนี้จะเป็นเรื่องยากเสมอครับ” เฮย์สกล่าว “คุณไม่สามารถส่งผลกระทบต่อเส้นทางการเดินรถมากเกินไปเราต้องการหาสถานที่ที่เส้นทางการเดินรถสามารถดำเนินการรอบๆเราได้แต่ในขณะเดียวกันก็มีพื้นที่ทางรถไฟที่ทำให้เราสามารถขยับรถไฟของเราซึ่งก็คือรถไฟความเร็วสูงเฟร็ชเชียรอสซาไปๆมาๆและถ่ายทำช็อตตามที่เราต้องการได้”

“เทรนอิตาเลียทั้งกระตือรือร้นและให้การสนับสนุนเราอย่างดีเราอยากจะทำให้แน่ใจว่ามีการคิดถึงเรื่องรายละเอียดต่างๆอย่างรอบคอบและการจัดการทั้งหมดของเราจะเป็นไปอย่างเหมาะสมและสวยงามน่ะครับ”

จาไมก้า

หลังจากซีเควนซ์ก่อนเริ่มเรื่องบอนด์ก็ได้ปลดประจำการและไปพักผ่อนที่บ้านของเขาในจาไมก้าอีกครั้งหนึ่งนอกเหนือจากความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนกับนักเขียนเอียนเฟลมมิงและบ้านของเขาที่โกลเดนอายบนชายฝั่งทางตอนเหนือมันมีประวัติยาวนานในการที่ภาพยนตร์บอนด์ถ่ายทำในจาไมก้าทั้ง Dr. No (1962) และ Live And Let Die (1973) ต่างก็ถ่ายทำฉากสำคัญๆบนเกาะแห่งหนึ่งในทะเลแคริบเบียน

“ฉันไปจาไมก้าในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบปีที่ 50 ของแฟรนไชส์หนังเรื่องนี้และได้อยู่ในบ้านของเอียนเฟลมมิงซึ่งเป็นการเปิดหูเปิดตาฉันจริงๆ” บร็อคโคลีกล่าว “บอนด์มักจะกอบกู้โลกเสมอแต่สิ่งที่ฉันจู่ๆก็คิดขึ้นมาได้ตอนที่ได้อยู่ในห้องที่เขาใช้เขียนนิยายและเรื่องสั้นของเขาคือในขณะที่เฟลมมิงพูดว่าบอนด์กอบกู้โลกเขากำลังมองออกไปยังความงามตามธรรมชาติของโลกใบนี้น่ะค่ะ”

“มันไม่ใช่แค่โลกทันสมัยอย่างที่เรารู้จักเท่านั้นแต่ยังเป็นความมีชีวิตชีวาที่เหลือเชื่อของธรรมชาติแนวปะการังในมหาสมุทรดอกไม้สิงสาราสัตว์และบรรดานกทั้งหลายเฟลมมิงรักในความงามของโลกใบนี้และเราก็อยากให้มันถ่ายทอดลงไปในเรื่องราวของบอนด์ในหนังเรื่องนี้ด้วยค่ะ”

ในตอนที่เลือกโลเกชันสำหรับบ้านของบอนด์ในจาไมก้าทีมงานต้องการสถานที่ที่เขาจะสามารถปลีกวิเวกกดื่มด่ำกับชีวิตที่เรียบง่ายตกปลาบนเรือของเขาและสานสายสัมพันธ์กับธรรมชาติรอบด้านพวกเขาสร้างบ้านของเขาขึ้นมาบริเวณชายฝั่งทางตอนเหนือของเกาะใกล้กับพอร์ตแอนโทนิโอ

“การไปจาไมก้าเป็นเรื่องแน่นอนเสมอครับ” เฮย์สกล่าว “มีความรู้สึกที่ว่าตอนที่บอนด์ปลดประจำการมีแค่ที่เดียวที่เขาจะไปและนั่นคงจะเป็นจาไมก้าครับ”

การถ่ายทำในโลเกชันจริงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือจากกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวรวมถึงคณะกรรมาธิการภาพยนตร์แจมโปรด้วย “จาไมก้าไม่ใช่สถานที่ที่คุณจะสามารถจำลองได้ง่ายๆ” ผู้จัดการฝ่ายโลเกชันกล่าว “มันเป็นสถานที่ที่เหลือเชื่อที่เกือบจะลี้ลับด้วยซ้ำไปในตำนานของบอนด์ไม่มีทางเลยที่เราจะจำลองมันขึ้นมาได้อย่างเหมือนเป๊ะๆเราอยากจะไปอยู่ตรงจุดนั้นเพื่อดมกลิ่นและลิ้มรสมันจริงๆผมคิดว่ามันจะช่วยนำอะไรมากมายมาสู่ฉากพวกนั้นครับ”

จาไมก้าถูกใช้แทนที่คิวบาด้วยเช่นกัน “เราเลือกคิวบาสำหรับส่วนที่เฉพาะเจาะจงมากๆของเรื่อง” ไมเคิลจี. วิลสันกล่าว “เราต้องการประเทศที่บอนด์จะสามารถเดินทางไปถึงได้โดยง่ายด้วยเรือของเขาและคิวบาก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมเพราะในบางมุมมันก็เป็นประเทศหวงห้ามสำหรับชาวอเมริกันถ้าสเป็คเตอร์จะจัดการประชุมขึ้นในซีกโลกตะวันตกมันก็น่าจะเป็นสถานที่ในแบบที่พวกเขาจะสามารถดำเนินงานได้โดยปราศจากการแทรกแซงน่ะครับ”

ในขณะที่ฉากคิวบาส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นที่ไพน์วู้ดสตูดิโอส์หนึ่งในฉากกลางแจ้งที่สำคัญได้เกิดขึ้นในบริเวณท่าเรือขนส่งสินค้าและทีมงานก็ได้ถ่ายทำที่เคเอฟทีแอลคาร์โก้เทอร์มินัลที่ท่าเรือคิงสตันซึ่งเป็นท่าเรือตามธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับเจ็ดของโลก

ท่าเรือสำหรับขนถ่ายสินค้าเหล่านี้อยู่ภายใต้การจัดการของซีเอ็มเอซีจีเอ็มบริษัทขนส่งสินค้าและตู้คอนเทนเนอร์สัญชาติฝรั่งเศสบริษัทแห่งนี้ไม่เพียงแต่เปิดให้มีการเข้าใช้ท่าเรือที่ซึ่งทีมงานได้ถ่ายทำซีเควนซ์ที่มีเครื่องบินน้ำอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนแล้วซีเอ็มเอซีจีเอ็มยังได้สนับสนุนเรือคอนเทนเนอร์ลำใหญ่ของพวกเขาหนึ่งลำซึ่งปรากฏในเรื่องในตอนที่บอนด์ถูกช่วยเหลือขึ้นมาจากมหาสมุทร “ซีเอ็มเอซีจีเอ็มเป็นเพื่อนร่วมงานชั้นยอดในหนังเรื่องนี้จริงๆครับ” เกร็กวิลสันกล่าว

ลอนดอน

นครหลวงของอังกฤษนี้เป็นโลเกชันที่ยั่งยืนในภาพยนตร์บอนด์และมันก็มีบทบาทอย่างโดดเด่นอีกครั้งหนึ่ง “ลอนดอนเจอกับแอ็กชันมากมายในภาพยนตร์สองสามเรื่องที่ผ่านมา” เฮย์สกล่าว “ใน Skyfall และใน Spectre มีฉากไล่ล่าใหญ่โตที่เกิดขึ้นทั้งในและรอบๆลอนดอนซึ่งน่าจดจำจริงๆครับ”

ลอนดอนมีบทบาทที่ต่างออกไปใน No Time To Die เพราะซีเควนซ์แอ็กชันอยู่ต่างประเทศทั้งหมด “บอนด์แทบจะถูกลากตัวกลับไปลอนดอนหลังจากปลดประจำการ” เฮย์สกล่าวต่อ “ดังนั้นผมคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นบอนด์มีความขัดแย้งกับลอนดอนน่ะครับ”

“เขาไม่ได้ผ่อนคลายและมั่นใจเหมือนที่เคยเป็นเราได้เห็นเขาไขกุญแจเก่าๆปัดฝุ่นข้าวของเก่าๆเขากลับไปสถานที่ทำงานเก่าที่เขาเคยทำงานในช่วงพิสูจน์ตัวเองระยะเวลาสั้นๆเขาไม่สามารถเข้าถึงทุกพื้นที่อย่างที่เคยทำได้ลอนดอนมีบทบาทที่โดดเด่นในหนันงเรื่องนี้ครับ”

สะพานแฮมเมอร์สมิธซึ่งเป็นสะพานแขวนแห่งแรกที่ข้ามแม่น้ำเธมส์ถูกใช้เป็นฉากหลังสำหรับการพบกันระหว่างบอนด์และเอ็ม “มันเป็นบริเวณที่คนจะจดจำได้ทันทีของกรุงลอนดอน” เฮย์สกล่าว “แต่มันไม่ใช่ที่ที่คุณมักจะนึกถึงว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของลอนดอนน่ะครับ”

ส่วนที่เป็นไปตามแบบแผนมากกว่าของกรุงลอนดอนที่ปรากฏในเรื่องคือไวท์ฮอลทีมงานได้รับอนุญาตให้ถ่ายทำภายนอกของอาคารกระทรวงกลาโหมในฉากตอนที่บอนด์กลับมาเยือนอังกฤษอีกครั้ง

“มันเป็นโลเกชันที่เหมาะสมอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากเนื้อหาน่ะครับ” เฮย์สกล่าว “มีการร่วมมือกับกระทรวงกลาโหมมากมายในหนังเรื่องนี้และพวกเขาก็ยินดีให้เราถ่ายทำโครงสร้างภายนอกอาคารของพวกเขาให้เป็นสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของเอ็มไอซิกส์น่ะครับ”

“มันเป็นสถานที่ทำงานที่ยอดเยี่ยมทุกวันของปีจะมีกิจกรรมมากมายเกิดขึ้นรอบๆไวท์ฮอลเราก็เลยต้องเลือกวันให้ดีแล้วหลบหลีกคนอื่นๆที่ใช้งานพื้นที่บริเวณนั้นน่ะครับ”

ในตอนหนึ่งเราได้เห็นแมดเดอลินมุ่งหน้าผ่านมอลล์เพื่อไปยังออฟฟิศของเธอที่คาร์ลตันเฮาส์เทอร์เรซในตอนที่ขบวนทหารม้ารักษาพระองค์ผ่านมา  “นั่นเป็นฉากเยี่ยมๆ และกองทหารม้ารักษาพระองค์ก็มีความกระตือรือร้นอย่างน่าทึ่งในการร่วมงานกับเราน่ะครับ” เฮย์สกล่าว

อีกหนึ่งโลเกชันในอังกฤษที่สำคัญคือบริเวณของกระทรวงกลาโหมที่ซาลิสเบรีเพลนที่ซึ่งคริสคอร์บูลด์และทีมสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ได้สร้างการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นมาเพื่อจำลองการโจมตีแหล่งกบดานของซาฟิน “ในตอนที่เรามองหาสถานที่ที่ใช้ถ่ายทำช่วงเวลาที่เฉพาะเจาะจงพวกนี้สถานที่ที่อยู่อันดับต้นๆของลิสต์คือสถาบันฝึกทหารที่ซาลิสเบรีเพลนซึ่งเป็นพื้นที่ฝึกทหารขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ 150 ตารางไมล์น่ะครับ” เฮย์สอธิบาย

“มันเป็นที่ที่ทหารเข้ารับการฝึกก่อนที่ฝ่ายสัมพันธมิตรจะบุกนอร์มันดีมันมีประวัติศาสตร์ทางทหารที่ยาวนานเราต้องคำนึงถึงประวัติและระบบนิเวศของสถานที่แห่งนี้เอาไว้มันอยู่ไม่ไกลจากสโตนเฮนจ์และก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งต่างๆถูกฝังอยู่ในบริเวณนั้นแต่เรามีนักโบราณคดีอยู่ด้วยกับเราเพื่อทำให้แน่ใจว่าเราไม่ได้รบกวนอะไรที่อยู่ใต้พื้นดินน่ะครับ”

NO TIME TO DIEหมู่เกาะฟาโร

บ่อยครั้งที่ที่กบดานของผู้ร้ายจะเป็นที่มาของความอัศจรรย์ใจในภาพยนตร์บอนด์และสำหรับ No Time To Die ทีมผู้สร้างก็ตัดสินใจที่จะสร้างเกาะสมมติขึ้นมาให้กับซาฟิน

ในการถ่ายทำฉากภายนอกของเกาะแห่งนี้ทีมผู้สร้างได้ใช้หมู่เกาะฟาโรหมู่เกาะทางตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติกที่อยู่ภายใต้การปกครองของเดนมาร์ก “เราถ่ายทำเพลทช็อตที่ถูกร้อยเรียงเข้าด้วยกันเพื่อสร้างแหล่งกบดานของซาฟินขึ้นมา” เฮย์สกล่าวจากนั้นช็อตพวกนั้นก็จะถูกแต่งเติมด้วย CGI อีกทีหนึ่ง 

“ภูมิประเทศนี้น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆครับ” เขากล่าวต่อ “มันเอื้อประโยชน์ด้านภาพวิชวลอย่างใหญ่หลวงสำหรับพวกเราในหนังเรื่องนี้แม้ว่ามันจะเป็นสถานที่ที่ยากลำบากในการพาทีมงานไปก็ตามจะต้องมีการจำกัดจำนวนอย่างเคร่งครัดเราต้องทำให้แน่ใจว่าคนที่เราพาไปด้วยจะอยู่ภายใต้การดูแลเพื่อระวังอันตรายจากภูเขาและเราก็ต้องคอยดูให้มีทีมกู้ภัยจำนวนมากพอเพื่อให้พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้อย่างปลอดภัย”

การออกแบบบอนด์

สำหรับผู้ออกแบบงานสร้างมาร์คทิลเดสลีย์การทำงานใน No Time To Die เกี่ยวข้องกับการมองย้อนกลับไปในอดีตพร้อมไปกับการสำรวจปัจจุบันเพื่อแสดงความเคารพต่อประวัติศาสตร์อันยาวนานของนวัตกรรมด้านการออกแบบในแฟรนไชส์บอนด์

“หนังบอนด์มีความคิดสร้างสรรค์อย่างมากในหลายๆทางและมันก็แปลกใหม่ในหลายๆแบบกับไอเดียสเกลและสีสันของพวกมันน่ะครับ” เขากล่าว “หน้าที่ของผมคือการชื่นชมในสิ่งที่หนังบอนด์เป็นและสิ่งที่มันสามารถเป็นได้ผมต้องทำความเข้าใจกับหนังบอนด์ทุกเรื่องตั้งแต่อดีตเพื่อคิดให้ได้ว่าหนังของเราจะสะท้อนมันออกมาให้ได้ดีที่สุดยังไงในฐานะหนังเรื่องที่ 25 น่ะครับ”

“ดังนั้นเราก็เลยมองดูช่วงเวลาที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยได้เห็นมาในหนังบอนด์และคิดว่าเราจะสามารถสร้างช่วงเวลาแบบนั้นในหนังเรื่องสุดท้ายเรื่องนี้ของแดเนียลได้ยังไงบ้างน่ะครับ”

เขากล่าวว่าในหลายๆแง่มุมจุดเริ่มต้นอยู่ที่การศึกษางานของเซอร์เคนอดัมคนดังเจ้าพ่อด้านการออกแบบของบอนด์ “เราชื่นชอบการมองดูความโดดเด่นในพื้นที่ที่เขาสร้างขึ้นมา”  ทิลเดสลีย์กล่าว “เขาวาดอย่างกล้าหาญและผลงานของเขาก็ทั้งกล้าหาญและเปี่ยมด้วยจินตนาการมากๆ ครับ”

“นอกจากนั้นแบบดีไซน์ของเขายังกรุ่นความรู้สึกของละครเวทีด้วยการออกแบบฉากของเขามักรวมถึงชิ้นส่วนใหญ่ๆที่อลังการดังนั้นเราก็เลยนึกถึงเคนอดัมส์เสมอและเราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกพวกนั้นบางอย่างขึ้นมาผมหวังว่าเราจะสามารถจำลองสถาปัตยกรรมและสเกลบางอย่างที่เหมาะสมสำหรับหนังบอนด์ขึ้นมาได้ครับ”

นอกเหนือจากงานของอดัมทิลเดสลีย์ยังได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมแบบบรูทัลลิสต์โดยให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการออกแบบของทาดาโอะอันโดะสถาปนิกชาวญี่ปุ่นในยุคปัจจุบัน

“เราพยายามที่จะใช้ขนาดสเกลและรูปทรงของเราอย่างกล้าหาญ” ทิลเดสลีย์กล่าว “เพื่อทำให้แน่ใจว่าภาพจะไม่ยุ่งเหยิงเกินไปสำหรับบางพื้นที่เราได้ใช้รูปแบบมินิมอลลิสต์โดยอ้างไปถึงรูปแบบบรูทัลลิสต์และความใกล้ชิดกับธรรมชาติครับ”

NO TIME TO DIEแหล่งกบดานของซาฟิน

กลยุทธด้านการออกแบบนี้มีประสิทธิภาพดีเป็นพิเศษในตอนที่ออกแบบแหล่งกบดานของผู้ร้าย “บนเกาะจะมีโรงงานทดสอบที่มีไซโลขนาดยักษ์และใต้ไซโลนั้นลงไปตอนที่คุณเปิดช่องมิสไซล์มันก็จะมีโรงงานขนาดมหึมาครับ” ทิลเดสลีย์อธิบาย “และนี่คือโอกาสที่ดีที่สุดของเราในการสร้างฉากมโหฬารสไตล์เคนอดัมน่ะครับ”

ในการแสดงความเคารพดังกล่าวทีมงานได้สร้างสิ่งที่ทิลเดสลีย์พูดถึงว่าเป็น “ประตูบานเลื่อนโค้งคลาสสิกแบบเคนอดัม” ซึ่งเป็นประตูไปสู่โรงงานใต้ดินขึ้นมา

“เราต้องการให้โครงสร้างหลักโดดเด่นเรียบง่ายและใช้งานได้จริงครับ” เขากล่าว “คอนเซ็ปต์นี้ทำให้เราสร้างเสาขนาดยักษ์ขึ้นมาและเราก็ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับผู้กำกับภาพของเราเพื่อสร้างประติมากรรมที่จะใช้งานได้กับทั้งแสงและความมืดครับ”

“ดังนั้นนอกเหนือจากไซโลใต้ดินขนาดยักษ์ใหญ่นี้เรายังมีระเบียงขนาดใหญ่ที่บอนด์จะสามารถหายตัวไปในความมืดได้พวกมันเป็นโครงสร้างขนาดมหึมาที่มีแสงปริมาณน้อยนิดก่อตัวเป็นภาษากราฟิกที่คุณจะได้เห็นรูปทรงที่เรียบง่ายและสะอาดตามากๆพวกนี้น่ะครับ”

NO TIME TO DIEที่พักพิงในจาไมก้าของบอนด์

ในตอนที่บอนด์ปลดประจำการแล้วจุดหมายเพียงหนึ่งเดียวในใจเขาคือบ้านของเขาในจาไมก้าซึ่งทีมงานได้ออกแบบและสร้างขึ้นในบริเวณที่เต็มไปด้วยความงามตามธรรมชาติใกล้กับพอร์ตแอนโทนิโอซึ่งเป็นเมืองทางเหนือ “เราให้บอนด์อาศัยอยู่ในเวิ้งอ่าวที่น่าตื่นตาตื่นใจมันเป็นภาพธรรมชาติที่งดงามด้วยน้ำที่ใสกระจ่างพืชพันธุ์เขตร้อนชื้นเสียงนกร้องที่วิเศษสุดและท้องฟ้าสีครามงามจับตาน่ะครับ” ทิลเดสลีย์กล่าว 

เมื่อนึกถึงเกี่ยวกับการออกแบบตัวบ้านเองทีมผู้สร้างยึดหลักความจริงที่ว่าบอนด์รู้สึกมึนงง “เขาเป็นเหมือนปลาพ้นน้ำ” ทิลเดสลีย์กล่าว “เพราะเขาเกิดมาเพื่อเป็นสายลับที่ออกปฏิบัติการครับ”

“ดังนั้นบ้านของบอนด์ในจาไมก้าก็เลยเป็นภาพที่เขาขึ้นเรือตัวเองแล้วก็แล่นออกไป” เขากล่าวเสริม “เขาตกปลานิดหน่อยสำรวจนิดๆมันเหมือนกับว่าเขากำลังวางแผนการหลบหนีอยู่อย่างนั้นแหละเขาก็เลยมีแผนที่และหนังสือเกี่ยวกับการไปที่ไหนซักที่เพื่อที่เขาจะสามารถทดสอบตัวเองได้ตลอดวางเรียงรายอยู่” 

ทีมผู้สร้างตัดสินใจว่าตัวบ้านน่าจะมีการออกแบบแบบจาไมก้าแม้ว่ามันจะมีหลังคาเก๋ๆแบบญี่ปุ่นก็ตาม “ตัวบ้านสนุกมากครับ” ผู้ออกแบบงานสร้างกล่าว “ในจาไมก้าเวลาสร้างบ้านพวกเขาก็มักจะเข้าไปในป่าตัดต้นไม้แล้วก็แบกไม้กลับมา”

“ดังนั้นไม้ทั้งหมดก็จะสดใหม่และไม่เรียบมากๆไอเดียทั้งหมดของเราเกี่ยวกับการสร้างบ้านที่ดูเรียบเป๊ะก็เลยหายไปและมันก็กลายเป็นบ้านแบบจาไมก้าอย่างรวดเร็วมันให้กลิ่นไอของการสร้างด้วยมือน่ะครับ”

NO TIME TO DIEอีเวนต์สเป็คเตอร์ในคิวบา

ในตอนที่บอนด์ถูกเรียกตัวมาปฏิบัติการอีกครั้งเขาได้เดินทางหลายร้อยไมล์ไปคิวบาที่ซึ่งเขาได้แฝงตัวเข้าไปในงานเลี้ยงหรูที่จัดขึ้นโดยสเป็คเตอร์ฟุกุนากะอยากจะสร้างงานเลี้ยงสุดวิเศษที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ไม่ธรรมดาและทิลเดสลีย์ก็ได้ดูแลการสร้างโรงละครเก่าแก่ในคิวบาที่ให้ความรู้สึกแบบอาร์ตเดโคและสมบูรณ์พร้อมไปด้วยบันไดขนาดใหญ่หลายที่

“เราได้บีบอัดการออกแบบจริงๆ” เขากล่าว “เพื่อสร้างสิ่งที่มีกลิ่นไอเข้มข้นเรานำไอเดียที่ดีที่สุดทั้งหมดเท่าที่เราสามารถหาได้มาขัดเกลามันผมไปคิวบาในตอนที่หาข้อมูลอ้างอิงมันพิเศษสุดและสวยงามจับตาแต่โชคไม่ดีที่ชิ้นส่วนที่สวยที่สุดจะกระจัดกระจายอยู่โดยทั่วเราก็เลยพยายามรวมพวกมันทั้งหมดเข้าด้วยกันครับ”

พื้นที่โรงละครของเขาประกอบไปด้วยซุ้มประตูโค้งคลาสสิกซึ่งปรากฏขึ้นหลายครั้งในฉากนี้ “เราได้ทำซ้ำพวกเสาหินและบันไดโค้งแล้วมันก็มีรายละเอียดแบบอาร์ตเดโคด้วยเช่นกันครับ” เขาตั้งข้อสังเกต

นอกจากนี้ทิลเดสลีย์ยังต้องการสร้างความรู้สึกของความยิ่งใหญ่ที่เลือนหายไปอีกด้วย “ครั้งหนึ่งคิวบาเคยเป็นสนามเด็กเล่นที่เฟื่องฟูสำหรับชาวอเมริกันมันทั้งมั่งคั่งงดงามและวิเศษสุดแต่ตอนนี้มันเสื่อมโทรมและกำลังล่มสลายแม้ว่ามันจะมีความงามเลิศล้ำในสิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ก็ตามครับ”

NO TIME TO DIEเอ็มไอซิกส์

ด้วยความที่ออฟฟิศของเอ็มปรากฏอยู่ในแฟรนไชส์นี้มาโดยตลอดทีมผู้สร้างก็เลยต้องการที่จะรักษาองค์ประกอบคลาสสิกทั้งหมดของมันแม้จะมีการอัพเดทเพิ่มเติมเล็กน้อยก็ตาม

“ผมสนุกมากที่ได้สร้างฉากบอนด์คลาสสิกอย่างออฟฟิศของเอ็มและมันนีเพนนี” ทิลเดสลีย์กล่าว “และสิ่งต่างๆเช่นประตูหนังในออฟฟิศของเอ็มก็เป็นไอคอนสำหรับโลกของบอนด์ฉากนี้พัฒนาขึ้นตามกาลเวลาผ่านหนังหลายๆเรื่องแต่ผมคิดว่าโต๊ะและภาพวาดที่อยู่ด้านหลังรวมถึงสิ่งอื่นๆที่อยู่ในนั้นก็ยังเหมือนเดิมมาตั้งนานแล้วครับ”

ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงทีมออกแบบเลือกที่จะใช้การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆยกตัวอย่างเช่นการเปลี่ยนสีประตูหนังของเอ็ม “แล้วก็ออฟฟิศของมันนีเพนนีที่อยู่ด้านนอกคุณก็จะไม่พยายามออกแบบมันใหม่เยอะเกินไปคุณอยากรักษาให้มันคงภาษาเดิมเอาไว้น่ะครับ”

เช่นเดียวกับออฟฟิศของเอ็มทีมผู้สร้างต้องการรักษาความรู้สึกต่อเนื่องเมื่อหันไปหาห้องแล็บของคิว “เราต้องเพิ่มปีกเข้าไปซึ่งมันจะเป็นส่วนต่อขยายที่เป็นที่ตั้งของอุโมงค์ลมที่เขาใช้ทดสอบเครื่องยนต์แอโรไดนามิคของยานพาหนะต่างๆน่ะครับ”

บ้านของคิว

ในขณะที่ห้องแล็บของคิวเป็นหัวใจสำคัญของแฟรนไชส์การได้เห็นเสี้ยวหนึ่งของบ้านของตัวคิวเองจะเป็นความแปลกใหม่และทีมผู้สร้างก็ต้องการให้บ้านของเจ้าพ่อเทคโนโลยีคนนี้สะท้อนถึงนิสัยแปลกพิลึกของเขาออกมา

“เราได้หาบ้านที่ไม่ไกลจากสถานีวอเตอร์ลูให้เขาเพื่อที่เขาจะสามารถปั่นจักรยานไปทำงานได้” ทิลเดสลีย์กล่าว “มันเป็นกระท่อมวิคตอเรียนแบบดั้งเดิมซึ่งค่อนข้างจะอบอุ่นเหมือนคิวเองนิดๆเขาใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นกับแมวที่เขารักครับ”

“ตอนที่เรานึกถึงเขาในฐานะตัวละครเราพยายามทำให้เขาเป็นคนปกติที่รักบ้านไม่ใช่เป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องเราก็เลยนำเสนอภาพเขากำลังทำอาหารครับ” เขากล่าวต่อ

“แน่นอนว่าเขาทำอะไรเป๊ะมากๆเขาก็เลยตวงวัตถุดิบเป็นมิลลิกรัมระหว่างที่เขากำลังเตรียมทำอาหารสำหรับสองคนแต่ในแบ็คกราวน์เขาก็ยังทำงานค้างไว้อยู่ด้วยมันมีแบบโมเดลเครื่องบินร่อนเล็กๆที่จะปรากฏในช่วงท้ายๆเรื่องตั้งอยู่ด้านในเครื่องปรินท์ 3D ของเขาด้วย”

NO TIME TO DIEสภาพแวดล้อมของแมดเดอลิน

อีกหนึ่งพื้นที่ส่วนตัวซึ่งมีบทบาทสำคัญยิ่งกว่าในภาพยนตร์เรื่องนี้คือบ้านครอบครัวของแมดเดอลินในนอร์เวย์และทิลเดสลีย์ก็กล่าวว่านี่เป็นสถานที่ที่เจือไปด้วยความเศร้าภาพที่เราเห็นในช่วงเริ่มแรกคือภาพแมดเดอลินสมัยเด็กในบ้านของเธอ

“และเราก็จินตนาการบ้านของครอบครัวนี้ว่าเป็นบ้านที่ค่อนข้างเศร้าครับ” ทิลเดสลีย์ตั้งข้อสังเกต “แม่ของแมดเดอลินเหมือนคนที่เคว้งคว้างที่ไม่รู้จะสื่อสารยังไงกับมิสเตอร์ไวท์ [พ่อของแมดเดอลิน] และเขาก็ไม่ค่อยอยู่บ้านเธอเลือกจะดื่มเหล้าและแมดเดอลินก็เหมือนคนที่ทำหน้าที่ดูแลแม่ของเธอแม้ว่าเธอจะเป็นเด็กหญิงตัวน้อยอยู่ก็ตามมันก็เลยกลายเป็นภาพน่าเศร้าที่เราจะต้องจำลองขึ้นมาครับ”

ในการเสริมสร้างบรรยากาศที่ว่าบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ใน “ภูมิประเทศที่พิเศษสุด” ผู้ออกแบบงานสร้างกล่าว “ซึ่งห่างไกลผู้คนหนาวเย็นและค่อนข้างจะน่ากลัวมันเป็นบ้านสไตล์นอร์วีเจี้ยนเป็นกระท่อมที่เรียบง่ายมีห้องใต้ชายคาที่เป็นห้องนอนสมัยเด็กของแมดเดอลินน่ะครับ”

ในตอนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้กลับมาสู่บ้านหลังนี้อีกในภายหลังแมดเดอลินก็ได้ตกแต่งบ้านหลังนี้ใหม่ “เราก็เลยจะพบกับลุคที่ทันสมัยในช่วงหลังครับ” ทิลเดสลีย์กล่าว

เราได้เห็นเสี้ยวหนึ่งของชีวิตแมดเดอลินมากยิ่งขึ้นด้วยออฟฟิศจิตวิทยาในลอนดอนของเธอ “ตึกของเธอมีความเป็นจอร์เจียนแม้ว่าชั้นบนๆจะเป็นแบบเอ็ดเวิร์ดเดี้ยนพวกเขาก็เลยมีกระจกในแบบที่พิเศษสุดครับ”

“เราต้องการสร้างความรู้สึกแปลกใหม่ทันสมัยให้กับเธอเราก็เลยใช้เวลาทำงานอยู่ในโลเกชันด้วยการรื้อไม้สีเข้มทั้งหมดออกแล้วทำให้ห้องนั้นเรียบง่ายและราบเรียบมากขึ้นซึ่งสะท้อนถึงสไตล์ของเธอครับ”

กระทรวงกลาโหม

ทีมผู้สร้างทำงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงกลาโหมระหว่างการถ่ายทำ No Time To Die โดยที่ทั้งกองทัพอากาศและราชนาวีได้อนุญาตให้กองถ่ายเข้าถึงอุปกรณ์และบุคลากรสำคัญๆได้ในขณะเดียวกันทางกองทัพก็ได้สนับสนุนกองกำลังจากกรมทหารม้ารักษาพระองค์ด้วย

กองทัพเคยร่วมมือกับกองถ่ายมาก่อนผู้จัดการฝ่ายโลเกชันชาร์ลีย์เฮย์สตั้งข้อสังเกต “บอนด์มีประวัติในฐานะนายทหารราชนาวีและในหนังเรื่องนี้เราก็ได้ร่วมงานกับทั้งสามเหล่าทัพครับ” เขากล่าว “เราได้สานสายสัมพันธ์ที่พิเศษมากๆกับพวกเขา”

ในภาพยนตร์เรื่องนี้แมดเดอลินสวอนน์ได้เดินข้ามเดอะมอลล์ไปยังออฟฟิศของเธอที่ตั้งอยู่บนคาร์ลตันเฮาส์เทอร์เรซ “มันเป็นช่วงเวลาสำคัญครับ” เฮย์สกล่าว “มันเป็นตัวเซ็ทฉากและนำเราไปอยู่ในที่ที่ใช่ทั้งในแง่ของตัวตนของเธอและสถานที่ที่เธอทำงานด้วยครับ”

กรมทหารม้ารักษาพระองค์เป็นส่วนหนึ่งของกองพันทหารม้าบลูส์แอนด์รอยัลส์ซึ่งเป็นหนึ่งในสองกองพันที่เก่าแก่ที่สุดในกองทัพอังกฤษและรวมกันเป็นกรมทหารม้ารักษาพระราชวังพวกเขาได้เอื้อเฟื้อช่วงเวลาสำคัญในปฏิทินของพวกเขาก่อนที่จะมีพิธีการผลัดเปลี่ยนเวรยามหน้าพระราชวังบักกิ้งแฮม

ในขณะเดียวกันกองทัพอากาศก็เปิดอากาศให้พวกเขาเข้าถึงอาร์เอเอฟไบรซ์นอร์ตัตนซึ่งเป็นฐานทัพอากาศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของพวกเขาในอ็อกซ์ฟอร์ดไชร์มันเป็นโลเกชันสำคัญที่ถูกใช้แทนที่ฐานทัพอากาศของนาโต้ในนอร์เวย์ซึ่งเป็นการปูพื้นไปสู่ฉากสำคัญบอนด์และโนมิได้ไปเจอกับมิตรในเอ็มไอซิกส์ของพวกเขาที่ฐานทัพอากาศนาโต้และได้ขึ้นเครื่อง C-17 โกลบมาสเตอร์

เครื่อง C-17 โกลบมาสเตอร์เป็นเครื่องบินขนส่งขนาดใหญ่ระยะไกลที่สามารถใช้งานได้ใกล้ชิดกับพื้นที่ปฏิบัติการไม่ว่าจะเป็นสำหรับภารกิจต่อสู้ภารกิจเพื่อสันติหรือภารกิจเพื่อมนุษยธรรมฉากภายในเครื่องบิน C-17 เป็นช่วงเวลาคลาสสิกที่คิวจะมอบสิ่งประดิษฐ์ให้กับบอนด์และโนมิเพื่อช่วยเหลือพวกเขาในภารกิจใหม่นี้ขณะที่บอนด์และโนมิออกจากเครื่องบินคิวยังคงอยู่บนเครื่องเขามองดูพิกัดและแผนผังของเป้าหมายของพวกเขาเพื่อให้ข้อมูลและคอยนำทางพวกเขาระหว่างการบุกโจมตี

นอกจากนี้ราชนาวียังได้จัดหาอุปกรณ์สำคัญให้กับพวกเขาด้วยการยินยอมให้ยูนิทที่สองของกองถ่ายขึ้นไปถ่ายทำบนเรือเอชเอ็มเอสดราก้อนซึ่งเป็นหนึ่งในเรือพิฆาตป้องกันภัยทางอากาศไทป์ 45 ของพวกเขาเรือเอชเอ็มเอสดราก้อนเป็นหนึ่งในเรือรบที่ล้ำสมัยที่สุดในโลกและมันก็มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งยวดใน No Time To Die”

“ราชนาวีเอื้อเฟื้อมากๆค่ะ” ผู้อำนวยการสร้างบาร์บาราบร็อคโคลีกล่าว “พวกเขายอมให้เราส่งทีมงานยูนิทที่สองไปถ่ายทำบนเรือได้”

“เราได้รับความร่วมมือที่วิเศษสุดจากทุกหน่วยงานในอังกฤษเสมอมา” เธอกล่าวเสริม “กองทัพอากาศช่วยเหลือเราด้วยการให้เราได้ใช้ฐานทัพและเครื่องบินของพวกเขาและเราก็ซาบซึ้งมากๆกับความร่วมมือที่เราได้รับจากราชนาวีและกองทัพบกกระทรวงกลาโหมเองก็ให้การสนับสนุนหนังเจมส์บอนด์มาโดยตลอดค่ะ”

ดนตรี

ไม่มีแฟรนไชส์ภาพยนตร์เรื่องไหนที่จะนำเสนอดนตรีที่หลากหลายน่าประทับใจได้เท่ากับเจมส์บอนด์อีกแล้วและ No Time To Die ก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่ภาพยนตร์ 007 เรื่องที่ 25 ที่อีออนอำนวยการสร้างเท่านั้นแต่มันยังเป็นเรื่องสุดท้ายในการดำเนินเรื่องของแดเนียลเคร็กอีกด้วยทีมผู้สร้างก็เลยรู้ว่าพวกเขาต้องการนักประพันธ์ฝีมือเยี่ยมและพวกเขาก็หันไปหาฮันส์ซิมเมอร์เจ้าของสี่รางวัลแกรมมีและรางวัลอคาเดมีอวอร์ด

ตัวนักประพันธ์ซึ่งเป็นแฟนดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่อง James Bond มานานกระโจนใส่โอกาสที่จะได้ร่วมงานกับวิลสันและบร็อคโคลี “หาได้ยากนะครับที่คุณจะได้พบกับผู้อำนวยการสร้างที่คุ้นเคยกับหนังของพวกเขาขนาดนี้” เขาเริ่มต้น “จริงๆแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยไม่มีใครอีกแล้วในโลกที่หายใจเข้าออกเป็นผลงานของตัวเองแบบพวกเขาน่ะครับ”

“คุณก็แค่มองกลับไปดูว่าพวกเขามีปฏิกิริยาอย่างไรกับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆนั่นคุณก็จะรู้แล้วว่าคุณมาถูกทางแล้วรึเปล่าน่ะครับ”

นอกจากนั้นซิมเมอร์ยังตระหนักดีถึงความสำคัญที่ภาพยนตร์เรื่องนี้มีต่อพระเอกของเรื่อง “ด้วยความที่ผมเคยผ่านหนัง Batman มาสามเรื่องแล้วผมพูดกับคนอื่นว่า ‘สำหรับคุณมันเป็นแค่หนังสามเรื่องแต่สำหรับผมมันเป็นเวลา 12 ปีในชีวิตผม’ สำหรับแดเนียลบอนด์เป็นเวลา 15 ปีของชีวิตเขาดังนั้นคุณก็ต้องแสดงความเคารพและความอ่อนน้อมกับเรื่องนั้นครับ”

แม้ว่าเขาจะกระตือรือร้นกับการได้ร่วมงานกับไมเคิลจี. วิลสัน, บาร์บาราบร็อคโคลีและแดเนียลเคร็กอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือความรู้สึกที่เขามีต่อการดำเนินเรื่อง “หนังเรื่องนี้มีความอ่อนไหวแบบผู้ใหญ่ซึ่งเป็นเรื่องดีจริงๆครับ” เขากล่าว “หนังเรื่องนี้เริ่มต้นจากโศกนาฏกรรมและถ้าคุณให้อะไรที่มืดหม่นกับผมผมก็จะดีใจครับมันสร้างแรงบันดาลใจได้จริงๆ”

แรงบันดาลใจของซิมเมอร์ได้รับการกระตุ้นยิ่งขึ้นด้วยการเข้ามาของสตีฟมาสซาโรเพื่อนที่ร่วมงานกับเขามานานรบวมถึงจอห์นนีมาร์เพื่อนเก่าซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งมือกีตาร์ในตำนานและนักแต่งเพลงร่วมของวงเดอะสมิธส์ผู้ที่เขาได้ร่วมงานด้วยครั้งแรกใน Inception ในปี 2010

มาร์เล่าว่า “ฮันส์โทรมาถามผมว่า ‘เจมส์บอนด์คุณอยากทำมั้ย’ แล้วผมก็บอกว่า ‘ทำไมคุณหายไปนานจังล่ะ’ ผมรู้สึกปลาบปลื้มและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ทำงานนี้ผมเชื่อมโยงบอนด์กับกีตาร์มาโดยตลอดเลยล่ะครับ”

ซิมเมอร์สนับสนุนให้มาร์ใส่สไตล์ของตัวเองเข้าไปในเพลงโดยไม่ถูกจำกัดอยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงคอร์ดของตัวเขาเอง “หน้าที่ของกีตาร์ในดนตรีคือตอนที่มีแอ็กชันครับ” มาร์กล่าว “ตอนที่เขากำลังจะเข้าสู่โหมดบอนด์ไม่ว่าจะเป็นการไล่ล่าทางรถยนต์หรืออะไรที่เป็นวีรกรรมคุณจะได้ยินเสียงกีตาร์นอกจากนั้นยังมีลูกเล่นบางอย่างในเสียงซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่มาจากจอห์นแบร์รีด้วยครับ”

แบร์รีเคยทำงานในภาพยนตร์บอนด์ 11 เรื่องและผลงานที่น่าตื่นตาตื่นใจของเขาก็ส่งผลกระทบที่ยาวนานซิมเมอร์ตั้งข้อสังเกตว่าตัวแครีฟุกุนากะเองเป็นผู้ที่สนับสนุนบรรดานักประพันธ์ให้เชื่อใจสัญชาตญาณตัวเองและค่อยๆกำจัดผลกระทบนั้นออกไป

“แครีเป็นคนดีมากๆเพราะในตอนแรกเราเหมือนจอห์นแบร์รีมากกว่านี้อีกครับ” ซิมเมอร์อธิบาย “เขาพูดเบาๆว่า ‘ผมคิดว่าผมอยากได้ความเป็นซิมเมอร์ใส่เข้าไปในนี้มากขึ้นอีกนิด’ ไม่ว่ามันจะหมายความยังไงก็ตามทีเถอะ”

มาร์กล่าวว่า “ความเป็นซิมเมอร์มากขึ้นอีกนิด” หมายถึง “การแสดงความเคารพต่อประวัติศาสตร์ของเจมส์บอนด์แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการทำให้มันเหมาะสมกับหนังเรื่องนี้คุณจะเคารพมันมากจนคุณไม่มีเสียงของตัวเองไม่ได้ในตอนที่ฟังดนตรีแบบไม่มีกีตาร์ผมก็จะได้ยินทั้งเสียงของฮันส์และสตีฟครับ”

มาสซาร์โรกล่าวเสริมว่า “และถึงกระนั้นมันก็ยังให้ความรู้สึกของความเป็นบอนด์อยู่ดีมันยังคงเป็นภาษาที่จอห์นแบร์รีสร้างขึ้นในรูปแบบหนึ่งน่ะครับ”

แนวทางนวัตกรรมของแบร์รีในการผสมผสานแนวป๊อปแจ๊สและคลาสสิกเข้าด้วยกันมีบทบาทอย่างมากในการหล่อหลอมดนตรีประกอบภาพยนตร์แนวใหม่ขึ้นมาและเขาก็เป็นเพื่อนร่วมงานขาประจำของนักร้องและวงดนตรีร่วมสมัยยอดนิยมไม่ว่าจะเป็นเชอร์ลีย์บาสซีย์และดูรานดูรานผู้อำนวยการสร้างบอนด์ยังคงรักษาธรรมเนียมนั้นไว้ด้วยการเชื้อเชิญศิลปินระดับโลกให้มาร่วมงานด้วยในไตเติลแทร็ค

สำหรับ No Time To Die ทีมผู้สร้างเลือกบิลลีไอลิชเจ้าของรางวัลแกรมมีห้าสมัย 

“ผมได้ฟังเพลงของบิลลีไอลิชที่เธอและฟินเนียสโอ’ คอนเนลน้องชายเธอได้ทำขึ้นมามันเป็นแค่เดโมแต่ผมก็บอกว่า ‘ผมไม่อยากฟังอะไรอย่างอื่นแล้วนี่แหละใช่เลย’ น่ะครับ” ซิมเมอร์กล่าว “ตอนนั้นพวกเขายังไม่รู้เรื่องราวนี้แต่เพลงของพวกเขากลับให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องราวสำหรับนผมมันให้ความรู้สึกว่ามีส่วนเกี่ยวข้องและเหมือนกับคนหนุ่มสาวที่มีหัวใจแก่ชราอย่างน่าทึ่งน่ะครับ”

มาร์กล่าวเห็นพ้องด้วย “มันทันสมัยมากๆและมันก็เป็นเรื่องที่ว่าน้อยกว่าคือมากกว่าเพราะเพลงนี้เต็มไปด้วยความเข้มข้นมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะแปลกใหม่ทีเดียวเพราะมันเปราะบางมากและความแข็งแกร่งของมันก็อยู่ตรงแง่มุมมินิมอลลิสต์ของมันครับ”

“สำหรับผมมันเป็นการเดินทางข้ามเวลาครับ” ซิมเมอร์กล่าวเสริม “ผมบอกว่า ‘ให้พวกเขานั่งเครื่องบินมานี่เลย’ น่ะครับ”

ไอลิชและโอ’ คอนเนลเดินทางมา “ฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่าเราจะได้ร้องเพลงบอนด์น่ะค่ะ” ไอลิชกล่าว “เราอยากจะทำแบบนี้มาโดยตลอดเราคุยกันเรื่องนี้บ่อยๆและเราก็บอกให้ทุกคนในทีมฟังว่า ‘ถ้ามีโอกาสที่เราจะได้เกี่ยวข้องอะไรกับบอนด์ล่ะก็ได้โปรด…’ และการได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังบอนด์เรื่องสุดท้ายที่แดเนียลแสดงก็วิเศษที่สุดค่ะ”

การสิ้นสุดของยุคสมัย

No Time To Die ไม่เพียงแต่เป็นภาพยนตร์บอนด์เรื่องที่ 25 ของอีออนเท่านั้นมันยังเป็นบทสุดท้ายในยุคของแดเนียลเคร็กและบาร์บาราบร็อคโคลียังพูดด้วยว่านี่เป็นเรื่องราวที่มีความเป็นส่วนตัวอย่างเข้มข้น

“ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องราวที่มีความเป็นส่วนตัวที่สุดนอกเหนือจาก On Her Majesty’s Secret Service และ Casino Royale” เธอกล่าว “มันเป็นบทสรุปที่น่าพึงพอใจสำหรับความเปลี่ยนแปลงด้านตัวละครของแดเนียลเคร็กค่ะ”

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ No Time To Die จะเป็นโปรเจ็กต์ที่สะเทือนอารมณ์สำหรับทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยเฉพาะสำหรับตัวเคร็กเอง “ในตอนที่ผมหยุดเพื่อนนึกถึงสิ่งที่เราทำสำเร็จในหนังห้าเรื่องที่ผ่านมามันก็กระทบใจผมมากๆมันเป็นช่วงเวลาเกือบ 15 ปีของชีวิตผมเลยนะครับ” เขากล่าว

“และผมก็รู้สึกว่าด้วย No Time To Die มันมีเรื่องราวที่เราต้องปิดฉากและมีเรื่องให้ต้องขมวดปมผมรู้สึกว่าเราทำแบบนั้นแล้วผมภูมิใจกับมันอย่างยิ่งและผมก็ภูมิใจกับความอุตสาหะทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นในการสร้างหนังบอนด์เรื่องหนึ่งๆการได้เป็นส่วนเล็กๆของกระบวนการนั่นนับเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ”

ช่วงเวลาที่สะเทือนอารมณ์มากที่สุดเกิดขึ้นในฉากสุดท้ายของเคร็กซึ่งถ่ายทำที่ไพน์วู้ดซึ่งนับเป็นบ้านของภาพยนตร์บอนด์ทุกเรื่องไมเคิลจี. วิลสันเล่าถึงความรู้สึกในกองถ่ายว่า “มันเป็นช่วงกลางดึกและปกติแล้วพอเสร็จงานคนก็จะกลับบ้านกันแต่ทุกคนกลับมากองถ่ายกันมันก็ไม่ใช่บรรยากาศแบบงานเลี้ยงหรอกนะครับแต่มันเป็นช่วงเวลาพิเศษสุดและคนอยากจะอยู่กันตรงนั้นครับ”

“พวกเขาบอกว่า ‘ปิดกล้อง’ แล้วแดเนียลก็พูดอะไรบางอย่างที่ซาบซึ้งทำให้ทุกคนน้ำตาซึมและกอดกันใหญ่เราทุกคนต่างก็เสียใจที่ได้เห็นยุคสมัยนี้จบลงมันเป็นอะไรที่สะเทือนอารมณ์มากๆสำหรับทีมงานครับ”

ทีมผู้สร้างภูมิใจอย่างยิ่งกับสิ่งที่พวกเขาทำสำเร็จในภาพยนตร์ห้าเรื่องล่าสุด “ในหนังพวกนี้แดเนียลได้ใส่ความเป็นมนุษย์มากมายให้กับบอนด์และได้พัฒนาตัวละครที่มีเลือดเนื้อจริงๆขึ้นมา” วิลสันสรุป “นั่นคือสิ่งที่เขาใส่ลงไปในหนังเรื่องหลังๆเขาเดินหน้าพัฒนาตัวละครตัวนั้นและสร้างมันขึ้นมาปณิธานแน่วแน่ความเข้าใจและพรสวรรค์ที่เหลือล้นของแดเนียลเคร็กทำให้เขาได้พัฒนาเจมส์บอนด์เวอร์ชันที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นมาครับ”

NTTD_INTL_APAC_21x30ins_INTH_THA.indd

ประวัติทีมนักแสดง

แดเนียล เคร็ก (Daniel Craig)

แดเนียลเคร็กได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงที่เก่งกาจที่สุดในรุ่นของเขาทั้งในละครเวทีจอเงินและจอแก้ว

ล่าสุดเคร็กได้แสดงในภาพยนตร์โดยริอันจอห์นสันที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง Knives Out ในปริศนาฆาตกรรมร่วมสมัยที่หาตัวฆาตกรเรื่องนี้แดเนียลรับบท ‘เบนัวต์บลังค์’ ประกบเจมีลีเคอร์ติส, ไมเคิลแชนนอน, คริสอีวานส์และโทนีคอลเล็กต์การแสดงที่โดดเด่นของเคร็กทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำเขาจะกลับมารับบทเดิมอีกครั้งในซีเควลของเรื่องประกบทีมนักแสดงชั้นนำซึ่งรวมถึงแคธรินฮาห์น, เดฟเบาติสต้า, เอ็ดเวิร์ดนอร์ตัน, เคทฮัดสันและเจสสิกาเฮนวิค

ในปี 2018 แดเนียลรับบท ‘โอบีฮาร์ดิสัน’ ใน Kings ประกบฮัลลีเบอร์รีและริคราวาเนลโลภาพยนตร์เรื่องนี้ที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงเหตุรุนแรงหลังการไต่สวนคดีของร็อดนีย์คิงในปี 1992 เล่าเรื่องของครอบครัวบุญธรรมในภาคใต้ตอนกลางและความนัยที่คำพิพากษามีต่อชีวิตของพวกเขาก่อนหน้านี้แดเนียลได้แสดงในภาพยนตร์โดยสตีเวนโซเดอร์เบิร์กห์เรื่อง Logan Lucky ในบท ‘โจแบงค์’ ประกบอดัมไดรเวอร์, แชนนิงทาทัมและเซบาสเตียนสแตนภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องของสองพี่น้องผู้พยายามทำการปล้นระหว่างการแข่งขันนาสการ์ในนอร์ธแครอไลนา

ในปี 2015 แดเนียลได้แสดงในภาพยนตร์ที่หลายคนรอคอยเรื่อง Spectre โดยเคร็กได้กลับมารับบท ‘เจมส์บอนด์’ อีกเป็นครั้งที่สามในภาพยนตร์ที่ทำรายได้ถล่มทลายในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง Skyfall นอกจากนี้เขายังได้รับบท ‘บอนด์’ อีกใน Quantum of Solace และ Casino Royale ในปี 2011 เขาได้แสดงใน The Girl with the Dragon Tattoo ที่กำกับโดยเดวิดฟินเชอร์โดยเขาได้รับบทมิคาเอลบลอมค์วิสต์ตัวเอกของเรื่องประกบรูนีย์มารา

ผลงานภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ของเคร็กรวมถึง Love and Rage, Obsession, The Power of One, Road to Perdition, Layer Cake, Infamous และภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์โดยสตีเวนสปีลเบิร์กเรื่อง Munich

นอกจากนี้เคร็กยังเป็นนักแสดงละครเวทีที่ประสบความสำเร็จอีกด้วยในปี 2013 เขาได้แสดงในละครบรอดเวย์ชื่อดังเรื่อง Betrayal ที่เขาแสดงประกบเรฟสปอลและราเชลไวซ์ละครเวทีเรื่องนี้ภายใต้การกำกับของไมค์นิโคลส์ได้เปิดการแสดงนาน 14 สัปดาห์และกวาดรายได้ไปถึง 17.5 ล้านเหรียญในช่วงเวลานั้นผลงานละครเวทีเรื่องล่าสุดของแดเนียลคือละครออฟบรอดเวย์เรื่อง Othello ประกบเดวิดโอเยลโลโอและกำกับโดยแซมโกลด์ที่นิวยอร์กเธียเตอร์ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2016 ในปี 2009 แดเนียลนำแสดงในละครบรอดเวย์เรื่อง A Steady Rain ที่เปิดการแสดงสิบสองสัปดาห์เคร็กได้แสดงประกบฮิวจ์แจ็คแมนในละครเวทีอเมริกันร่วมสมัยเรื่องนี้

ผลงานละครเวทีเรื่องอื่นๆของเขารวมถึงการแสดงนำใน Hurlyburly ร่วมกับปีเตอร์ฮอลคัมปะนีที่โอลด์วิค, Angels in America ที่เนชันแนลเธียเตอร์และ A Number ที่รอยัลคอร์ทประกบไมเคิลแกมบอน

รามี มาเล็ค (Rami Malek)

รามีมาเล็คนักแสดงผู้ได้รับรางวัลอคาเดมีอวอร์ด, ลูกโลกทองคำ, แซ็กและเอ็มมีอวอร์ดชาวอเมริกันชนะใจผู้ชมทั่วโลกด้วยการแสดงบทเฟร็ดดี้เมอร์คิวรีในภาพยนตร์ฟ็อกซ์ที่เล่าชีวประวัติของควีนเรื่อง Bohemian Rhapsody ซึ่งกวาดรายได้ไปกว่า 900 ล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศการแสดงนำของเขาทำให้เขาได้รับรางวัลอคาเดมีอวอร์ด, แซ็ก, บาฟตาและลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในดรามาภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขาภาพยนตร์ดรามายอดเยี่ยมและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย

มาเล็คได้แสดงในดรามาชื่อดังและได้รับรางวัลของยูเอสเอโดยแซมเอสมาอิลเรื่อง Mr. Robot ซึ่งปิดฉากซีซันที่สี่ซึ่งเป็นซีซันสุดท้ายในเดือนธันวาคมปี 2019 การแสดงของเขาในบทเอลเลียตอัลเดอร์สันทำให้เขาได้รับรางวัลเอ็มมีและคริติกส์ชอยส์อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในซีรีส์ดรามา

มาเล็คเปิดตัวในโลกภาพยนตร์ในปี 2006 ในบทฟาโรห์อัคเมนราห์ใน Night At The Museum ประกบเบนสติลเลอร์หลังจากนั้นเขากลับมารับบทเดิมในซีเควล Night At The Museum: Battle Of The Smithsonian และ Night At The Museum: Secret Of The Tomb ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆรวมถึงภาพยนตร์โดยไมเคิลโนร์เรื่อง Papillon, ภาพยนตร์โดยพอลโธมัสแอนเดอร์สันเรื่อง The Master, ภาพยนตร์โดยทอมแฮงค์เรื่อง Larry Crown, ภาพยนตร์โดยสไปค์ลีเรื่อง Old Boy และภาพยนตร์โดยเดสตินแดเนียลเครตตันเรื่อง Short Term 12 นอกจากนี้เขายังได้แสดงในมินิซีรีส์เอชบีโอเรื่อง The Pacific และเมื่อเร็วๆนี้เขายังได้พากย์เสียงภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันปี 2020 เรื่อง The Voyage Of Doctor Dolittle ประกบโรเบิร์ตดาวนีย์จูเนียร์อีกด้วย

ล่าสุดเขาได้แสดงประกบเดนเซลวอชิงตันและจาเร็ดเลโตในทริลเลอร์โดยจอห์นลีแฮนค็อกเรื่อง The Little Things หลังจากนี้มาเล็คจะได้แสดงในภาพยนตร์โดยเดวิดโอ. รัสเซลประกบคริสเตียนเบล, มาร์ก็อทร็อบบี้และจอห์นเดวิดวอชิงตัน

เลอา แซดู (Lea Seydoux)

เลอาแซดูจะกลับมารับบท ‘แมดเดอลินสวอนน์’ ใน No Time To Die ภาคใหม่ของแฟรนไชส์เจมส์บอนด์ประกบแดเนียลเคร็ก, รามีมาเล็คและลาชานาลินช์

ปัจจุบันแซดูอยู่ระหว่างการถ่ายทำไซไฟทริลเลอร์ที่เขียนบทและกำกับโดยเดวิดโครเนนเบิร์กเรื่อง Crimes Of The Future ประกบวิกโก้มอร์เตนเซนและคริสเตนสจวร์ตนีออนมีแผนการที่จะจัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่องนี้

ล่าสุดเธอเพิ่งปิดกล้องภาพยนตร์โดยไมอาฮันเซน-เลิฟเรื่อง Un Beau Matin ประกบปาสคัลเกร็กกอรี, นิโคลการ์เซียและเมลวิลพูพ็อดภาพยนตร์รักเรื่องนี้เล่าเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งและครอบครัวของเธอขณะที่พวกเขาต้องรับมือกับความยากลำบากในการหาสถานที่ให้พ่อของเธอได้อาศัยระหว่างที่เขาทุกข์ทรมานจากโรคการเสื่อมของระบบประสาท

หลังจากนี้แซดูยังจะได้แสดงในภาพยนตร์ใหม่ของเวสแอนเดอร์สันเรื่อง The French Dispatch ประกบเอเดรียนโบรดี้และเบนิซิโอเดลโทโรภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องของจดหมายรักที่ส่งไปถึงนักข่าวที่อยู่ในฐานด่านหน้าของหนังสือพิมพ์อเมารริกันในเมืองสมมติในฝรั่งเศสศตวรรษที่ 20 ที่เนรมิตชีวิตให้กับคอลเล็กชันเรื่องราวที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร “The French Dispatch” ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวรอบปฐมทัศน์โลกในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 74 ในวันที่ 12 กรกฎาคมและเสิร์ชไลท์พิคเจอร์สจะนำภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในวันที่ 22 ตุลาคมปี 2021

หลังจากนี้แซดูจะรับบทนางเอก ‘ชู้รักอังกฤษ’ ในภาพยนตร์โดยอาร์น็อดเดสเพลชินเรื่อง Deception ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่สร้างขึ้นจากนิยายชื่อเดียวกันของฟิลิปร็อธในปี 1990 เล่าเรื่องของนักเขียนนิยายชาวอเมริกันผู้อาศัยอยู่ในลอนดอนผู้คุยกับภรรยาชู้รักและตัวละครหญิงคนอื่นๆที่เขาอาจจะคิดฝันขึ้นมาภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวรอบปฐมทัศน์โลกในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 74 ในเดือนกรกฎาคมและจะถูกนำเข้าฉายโดยเลอแพ็คท์ในปลายปีนี้

นอกเหนือจากนั้นแซดูยังจะนำแสดงในภาพยนตร์โดยบรูโนดูมอนท์เรื่อง France อีกด้วยภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องของนักข่าวคนดัง (แซดู) ที่ต้องรับมือกับการงานและชีวิตส่วนตัวที่ยุ่งเหยิงไปพร้อมๆกันแต่แล้วชีวิตเธอกลับต้องพลิกผันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์หลังจากนี้แซดูก็จะรับบท ‘ลิซซี’ ในดรามาเรื่องใหม่ของผู้กำกับอิลดิโก้เอนเยดิเรื่อง The Story Of My Wife ประกบกิจส์นาเบอร์, หลุยส์การ์เรล, โจเซฟฮาเดอร์, ซาร์จิโอ้รูบินีและจัสมินทรินก้าภาพยนตร์เรื่องนี้ที่สร้างจากนิยายชื่อเดียวกันเล่าเรื่องของกัปตันเรือที่พนันกับเพื่อนว่าเขาจะแต่งงานกับผู้หญิงคนแรกที่เดินเข้ามาด้านในภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องเปิดตัวรอบปฐมทัศน์โลกในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 74 ในเดือนกรกฎาคม

ก่อนหน้านี้เธอได้แสดงประกบยวนแม็คเกรเกอร์ในภาพยนตร์โดยเดรคโดเรมัสเรื่อง Zoe และประกบโคลินเฟิร์ธและแมทเธียสโชแนร์ทส์ในภาพยนตร์โดยโธมัสวินเทอร์เบิร์กเรื่อง Kursk นอกเหนือจากนั้นเธอยังได้แสดงประกบมาริยงคอติยาร์ด, วินเซนต์คาสเซลและแกสพาร์ดยูลลิเอลในภาพยนตร์โดยซาเวียร์โดแลนเรื่อง It’s Only The End Of The World ที่ได้รับรางวัลกรังด์ปรีซและรางวัลเอคิวเมนิคัลจูรีไพรซ์จากงานเทศกาลเมืองคานส์ผลงานอื่นๆของเธอรวมถึงภาพยนตร์โดยมอสโกโบคอลท์เรื่อง French Drama, Oh Mercy! ภาพยนตร์โดยแซมเมนเดส Spectre, ภาพยนตร์โดยเบนัวต์แจ็คควอทเรื่อง Diary Of A Chambermaid และภาพยนตร์โดยยอร์กอสแลนธิมอส The Lobster ประกบราเชลไวส์, โคลินฟาร์เรลและจอห์นซี. ไรลีย์ซึ่งได้รับรางวัลจูรีไพรซ์จากงานเทศกาลเมืองคานส์

ในปี 2014 เธอได้แสดงในภาพยนตร์หลายเรื่องรวมถึงภาพยนตร์โดยเบอร์แทรนด์ โบเนลโลเรื่อง Saint Laurent ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงหลายรางวัลที่เมืองคานส์, ภาพยนตร์โดยเวส แอนเดอร์สันเรื่อง The Grand Budapest Hotel ประกบเอ็ด นอร์ตัน, ราล์ฟ ไฟน์, เอเดรียน โบรดี้และบิล เมอร์เรย์ ซึ่งได้รับสี่รางวัลออสการ์, ภาพยนตร์โดยคริสตอฟ กันส์เรื่อง Beauty And The Beast ประกบวินเซนต์ คาสเซล และคว้ารางวัลซีซาร์ อวอร์ดมาได้ในสาขา “ออกแบบงานสร้างยอดเยี่ยม”

ในปี 2013 แซดูได้แสดงประกบอเดลเอ็กซ์ซาร์โชพูลอสในภาพยนตร์โดยแอ็บเดลลาทีฟเคชิเชเรื่อง Blue Is The Warmest Color ดรามาโรแมนติกเกี่ยวกับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่สัญชาติฝรั่งเศสเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่คว้ารางวัลปาล์มทองคำให้กับทั้งผู้กำกับและนักแสดงนำหญิงโดยที่แซดูและเอ็กซ์ซาร์โชพูลอสกลายเป็นผู้หญิงเพียงสองคน (นอกเหนือจากผู้กำกับเจนแคมเปียน) ที่ได้รับรางวัลนี้

ผลงานอื่นๆของแซดูรวมถึงภาพยนตร์โดยแบรดเบิร์ดเรื่อง Mission: Impossible – Ghost Protocol ประกบทอมครูซ, ภาพยนตร์โดยเควนตินทารันติโนเรื่อง Inglourious Basterds ประกบแบรดพิตต์, คริสตอฟวอลซ์และไมเคิลฟาสเบนเดอร์, ภาพยนตร์โดยริดลีย์สก็อตเรื่อง Robin Hood ประกบรัสเซลโครว์และเคทบลังเช็ตต์

ปัจจุบันเธอเป็นหนึ่งในนางแบบตัวแทนของหลุยส์วิตตอง

ลาชานา ลินช์ (Lashana Lynch)

  ลาชานา ลินช์ เป็นนักแสดงหญิงผู้สดใสและมีความสามารถหลากหลาย เธอสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะนักแสดงดาวรุ่งในแวดวงภาพยนตร์ โทรทัศน์และละครเวที

หลังจากนี้เธอจะได้แสดงประกบแดเนียลเคร็กและรามีมาเล็คในภาพยนตร์โดยแครีโจจิฟุกุนากะเรื่อง No Time To Die

ปลายปีนี้เธอจะได้แสดงในภาพยนตร์โดยเด็บบี้ทัคเกอร์กรีนเรื่อง ear for eye ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่กรีนดัดแปลงจากละครเวทีที่ได้รับการตอบรับอย่างดีชื่อเดียวกันของเธอซึ่งเปิดตัวที่โรงละครรอยัลคอร์ทในปี 2018 ซึ่งลาชานาก็ได้แสดงบทนางเอกของเรื่องด้วยนี่เป็นผลงานเรื่องที่สามที่เธอได้ร่วมงานกับกรีนด้วย

ปัจจุบันลาชานาอยู่ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์มิวสิคัลโดยแมทธิววอร์ชูสเรื่อง Matilda ประกบอาลิชาเวียร์และเอ็มมาธอมป์สันภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากละครเวทีปี 2010 ของวอร์ชูสเรื่อง Matilda the Musical เกี่ยวกับเด็กหญิงวัย 5 ขวบ (เวียร์) ผู้ซึ่งนิสัยแก่แดดและพรสวรรค์ในการใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายสิ่งของของเธอช่วยให้เธอผ่านพ้นการถูกรังแกจากพ่อแม่ของเธอเพื่อนร่วมชั้นหรือกระทั่งมิสทรันช์บุล (ธอมป์สัน) ครูใหญ่ของโรงเรียนอีกด้วยเธอจะได้รับบท ‘มิสฮันนีย์’ ครูนิสัยดีของมาทิลดาเน็ตฟลิกซ์วางแผนที่จะแพร่ภาพภาพยนตร์เรื่องนี้ในปีหน้า

ในปี 2019 ลาชานาได้ร่วมแสดงใน Captain Marvel โดยแอนนาโบเดนและไรอันเฟล็คประกบบรีลาร์สันโดยเธอรับบท ‘มาเรียแรมโบ’ เพื่อนซี้ของแครอลแดนเวอร์ส (ลาร์สัน) และเพื่อนนักบินกองทัพอากาศผู้ใช้รหัสเรียกว่าโฟตอนนอกเหนือจากบทพลขับเครื่องบินต่อสู้ในภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วเธอยังรับบทคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีลูกสาวตัวน้อยหนึ่งคนผู้มีความใฝ่ฝันอยากเป็นซูเปอร์ฮีโรเองเช่นกัน Captain Marvel เป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดที่มีตัวเอกเป็นผู้หญิงและเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้เปิดตัวสูงสุดเป็นอันดับสองของภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร

ลาชานาเปิดตัวในโลกภาพยนตร์ในดรามาปี 2011 เรื่อง Fast Girls ที่ร่วมแสดงโดยลิลลีเจมส์และลีโนราไครช์โลว์ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องของผู้หญิงสองคนที่กลายเป็นนักวิ่งมืออาชีพและพวกเธอก็ได้ร่วมทีมวิ่งผลัดของอังกฤษเพื่อชิงชัยในเวทีระดับโลก

ด้านจอแก้วลาชานาแจ้งเกิดในซีรีส์ดรามาพีเรียดทางเอบีซีโดยชอนดาไรมส์เรื่อง Still Star-Crossed ในบทนำ ‘โรซาลินคาปูเล็ต’ ซีรีส์เรื่องนี้ที่สร้างจากหนังสือชื่อเดียวกันโดยเมลินดาท็อบเล่าเรื่องของ ‘โรซาลิน’ ลูกพี่ลูกน้องของจูเลียตในเวโรนาศตวรรษที่ 16 ผู้หมั้นหมายกับ ‘เบนโวลิโอมอนตาคิว’ โดยไม่เต็มใจจากคำสั่งของ ‘เจ้าชายเอสคาลัส’ เพื่อยุติความบาดหมางระหว่างทั้งสองตระกูลผลงานอื่นๆรวมถึง Silent Witness ซีรีส์ดรามาอาชญากรรมทางบีบีซีวัน, Death In Paradise คอเมดีอาชญากรรมที่ออกอากาศทางบีบีซีวันเช่นเดียวกัน, Atlantis ซีรีส์แฟนตาซีผจญภัยทางบีบีซีและ Crims ซีรีส์คอเมดีทางบีบีซีธรีในปี 2015

ด้านละครเวทีลาชานาได้แสดงใน ‘a profoundly affectionate, passionate devotion to someone (-noun)’ ที่เขียนบทและกำกับโดยเด็บบี้ทัคเกอร์กรีนที่รอยัลคอร์ทในกรุงลอนดอนในปี 2017 นอกจากนี้เธอยังได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างล้นหลามจากการแสดงของเธอใน Educating Rita ที่ชิเชสเตอร์เฟสติวัลเธียเตอร์ที่ซึ่งเธอได้รับบทนำประกบเซอร์เลนนีเฮนรีนอกจากนี้เธอยังเป็นที่รู้จักดีจากบท ‘ทีบอลท์’ ใน Romeo And Juliet สำหรับเดอะเช็ดแห่งรอยัลเนชันแนลเธียเตอร์

ลาชานาเป็นผู้ได้รับรางวัลลอว์เรนซ์โอลิวิเยร์เบอร์ซารีอวอร์ดซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับนักเรียนดีเด่นในตอนจบปีสองของโรงเรียนการละครเธอสำเร็จการศึกษาจากอาร์ตส์เอดูเคชันแนลสคูลส์แห่งกรุงลอนดอน

เบน วิชอว์ (Ben Wishaw)

ผลงานภาพยนตร์ของนักแสดงรางวัลเบนวิชอว์รวมถึง My Brother Tom (รางวัลบริติชอินดีเพนเดนท์ฟิล์มอวอร์ดสาขานักแสดงดาวรุ่งยอดเยี่ยม) และ I’m Not There (รางวัลโรเบิร์ตอัลท์แมนอวอร์ดอันทรงเกียรติจากเวทีอินดีเพนเดนท์สปิริตอวอร์ด) เขารับบทเกรนุยล์ในภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง Perfume: The Story of a Murderer ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆรวมถึง Enduring Love, Layer Cake, Stoned, The Tempest, Brideshead Revisited, Bright Star, The International, Suffragette, The Lobster, The Zero Theorem, In the Heart of the Sea, Lilting, Cloud Atlas, The Danish Girl และบทคิวในภาพยนตร์เจมส์บอนด์เรื่อง Skyfall และ Spectre นอกจากนั้นเขายังได้พากย์เสียงตัวเอกหมีแพดดิงตันใน  Paddington และ Paddington 2 ด้วย

ผลงานจอแก้วของวิชอว์รวมถึง A Very English Scandal (รางวัลลูกโลกทองคำปี 2019 สาขาการแสดงยอดเยี่ยมโดยนักแสดงสมทบชายในซีรีส์, ซีรีส์จำกัดหรือภาพยนตร์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อโทรทัศน์รวมถึงรางวัลคริติกส์ชอยส์อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในภาพยนตร์หรือซีรีส์จำกัดและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาทีวี), Criminal Justice (รางวัลเอ็มมีอวอร์ดปี 2009 สาขาการแสดงยอดเยี่ยมโดยนักแสดงชายและรางวัลรอยัลเทเลวิชันโซไซตี้, ยูเค [อาร์ทีเอส] อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม) รวมถึงได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาทีวีอวอร์ดด้วยผลงานอื่นๆรวมถึงซีรีส์ไอทีวีเรื่อง The Booze Cruise, Nathan Barley, ซีรีส์บีบีซี The Hour, Richard II (ได้รับรางวัลบาฟตาสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม) London Spy และ A Very British Scandal

ด้านละครเวทีวิชอว์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโอลิวิเยร์อวอร์ดจากการแสดงของเขาใน His Dark Materials (โอลด์วิคย้ายมาจากเนชันแนลเธียเตอร์) ผลงานละครเวทีเรื่องอื่นๆรวมถึง Mojo (ฮาโรลด์พินเตอร์เธียเตอร์), Peter and Alice (โนเอลโคเวิร์ดเธียเตอร์), The Pride (ลูซิลล์ลอร์เทลเธียเตอร์), Cock (รอยัลคอร์ทเธียเตอร์), Some Trace of Her and The Seagull (เนชันแนลเธียเตอร์), Leaves of Glass (โซโหเธียเตอร์), Hamlet (โอลด์วิค), Bakkhai and Against (อัลเมดาเธียเตอร์), Julius Caesar (เดอะบริดจ์เธียเตอร์) และThe Crucible บนเวทีบรอดเวย์

วิชอว์ได้แสดงบทไมเคิลแบงค์ประกบเอมิลีบลันท์และเอมิลีมอร์ติเมอร์ในซีเควลภาพยนตร์ดิสนีย์เรื่อง ‘Mary Poppins’ ในชื่อ Mary Poppins Returns และได้รับบทยูเรียห์ฮีพในภาพยนตร์โดยอาร์มานโด้เอียนนุชชีเรื่อง The Personal History of David Copperfield

เมื่อเร็วๆนี้เขาได้แสดงในซีซันล่าสุดของ Fargo รวมถึง Surge โดยเอนีลคาเรียและอีกไม่นานเขาก็จะได้รับบทอดัมในซีรีส์ใหม่เรื่อง This Is Going To Hurt ที่สร้างจากอนุทินเบสต์เซลเลอร์ชื่อเดียวกันของอดัมเคย์

นาโอมิ แฮร์ริส (Naomie Harris)

นาโอมิแฮร์ริสนักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาลูกโลกทองคำและอคาเดมีอวอร์ดเป็นหนึ่งในนักแสดงที่เป็นที่ต้องการตัวสูงสุดในรุ่นของเธอด้วยความสามารถราวกับกิ้งก่าในการสวมบทบาทที่หลากหลายตั้งแต่ในบล็อกบัสเตอร์ฟอร์มยักษ์ไปจนถึงภาพยนตร์อินดีเล็กๆ

แฮร์ริสจะได้แสดงใน Bond 25 (No Time To Die) โดยแครีฟุกุนากะในบท ‘อีฟมันนีเพนนี’ อีกครั้งเธอได้ปรากฏตัวในแฟรนไชส์บอนด์ครั้งแรกในภาพยนตร์โดยแซมเมนเดสเรื่อง Skyfall ซึ่งได้รับรางวัลบาฟตาอวอร์ดปี 2013 สาขาภาพยนตร์อังกฤษยอดเยี่ยมและกลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้ในบ็อกซ์ออฟฟิศสูงสุดของโซนีพิคเจอร์สด้วยรายได้กว่า 918 ล้านเหรียญทั่วโลกนอกจากนี้เธอยังจะได้แสดงในภาพยนตร์โดยแอนดี้เซอร์คิสเรื่อง Venom: Let There be Carnage ประกบทอมฮาร์ดี้, มิเชลล์วิลเลียมส์และวู้ดดี้ฮาร์เรลสันซึ่งจะเข้าฉายในวันที่ 15 ตุลาคมปี 2021 อีกด้วย

หลังจากนี้แฮร์ริสถูกวางตัวให้มาร่วมงานกับมาเฮอร์ชาลาอาลีเพื่อนร่วมงานจาก Moonlight อีกครั้งในภาพยนตร์ออริจินอลโดยแอปเปิลทีวีพลัสเรื่อง Swan Song ดรามาที่ผสมผสานหลากหลายแนวเข้าด้วยกันเล่าเรื่องของการที่คนๆหนึ่งจะยอมทำถึงขนาดไหนหรือพวกเขาจะเสียสละมากน้อยแค่ไหนเพื่อทำให้ชีวิตของคนที่พวกเขารักมีความสุขยิ่งขึ้นนอกจากนั้นเธอยังถูกวางตัวให้นำแสดงในซีรีส์ใหมม่ทางโชว์ไทม์เรื่อง The Man Who Fell To Earth ประกบชิเวเทลเอจิโอโฟร์โดยแฮร์ริสจะแสดงบทจัสตินฟอลส์นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรคนเก่งผู้ต้องเอาชนะปีศาจในใจเธอในการแข่งขันเพื่อช่วยเหลือโลกทั้งสองใบเอาไว้ให้ได้

ล่าสุดเธอได้แสดงในซีรีส์จำกัดทางสกาย/เอชบีโอเรื่อง The Third Day ประกบจู๊ดลอว์นอกจากนี้นักแสดงหญิงยังได้แสดงใน Black and Blue ที่ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็นเอเอซีพีด้วยภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องของตำรวจมือใหม่ (แฮร์ริส) ผู้บังเอิญเจอกับการซื้อขายยาเสพติดที่เกิดผิดพลาดและได้บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกล้องติดตัวโดยไม่ได้ตั้งใจ

การแสดงที่ยอดเยี่ยมของแฮร์ริสในบทแม่ผู้ติดยาในภาพยนตร์รางวัลอคาเดมีอวอร์ดโดยแบร์รีเจนกินส์เรื่อง Moonlight ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ, แซ็ก, บาฟตาและอคาเดมีอวอร์ดรวมถึงรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ลอนดอนสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมด้วยวาไรตี้กล่าวถึงการแสดงของเธอในภาพยนตร์เรื่องนั้นว่า “…แฮร์ริสทั้งน่าเดือดดาลและน่าสงสารอย่างลึกซึ้งแต่เธอก็มีความสามารถเกินกว่าที่จะทำให้ตัวละครของเธอกลายเป็นแค่สัตว์ประหลาด…บทพูดคนเดียวครั้งสุดท้ายของเธอเป็นการแสดงชั้นปรมาจารย์ที่เอ่อล้นไปด้วยความเสียใจและความเจ็บปวดมันเป็นงานที่บาดหัวใจมากๆ”

ในปี 2013 แฮร์ริสได้แสดงบท ‘วินนี แมนเดลา’ ในภาพยนตร์เรื่อง Mandela: Long Walk To Freedom ประกบไอดริส เอลบา เธอได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ลอนดอนและรางวัลเอ็นเอเอซีพี อิเมจ อวอร์ดจากการแสดงที่ทรงพลังของเธอในบทผู้นำอื้อฉาว ผลงานล่าสุดเรื่องอื่นๆ ของเธอรวมถึงภาพยนตร์โดยแอนดี้ เซอร์คิสเรื่อง Mowgli, Rampage ประกบดเวย์น “เดอะ ร็อค” จอห์นสัน, ภาพยนตร์โดยแซม เมนเดสเรื่อง Spectre, Collateral Beauty ประกบวิล สมิธ, ภาพยนตร์โดยอังตวน ฟูกัวเรื่อง Southpaw, Our Kind of Traitor, The First Grader, Sex & Drugs & Rock & Roll, Pirates of the Caribbean: At Worlds End, Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest, ภาพยนตร์โดยไมเคิล แมนน์เรื่อง Miami Vice, After The Sunset, และมินิซีรีส์ชื่อดังทางบีบีซีเรื่อง White Teeth  

นักแสดงหญิงชาวลอนดอนผู้นี้ได้แจ้งเกิดจากการแสดงในปี 2002 ของเธอในภาพยนตร์โดยแดนนี บอยล์เรื่อง 28 Days Later และหลังจากนั้น เธอก็ได้แสดงในละครเวทีของบอยล์เรื่อง Frankenstein ประกบเบเนดิคท์ คัมเบอร์แบทช์และจอนนี ลี มิลเลอร์  ที่โรงละครเนชันแนล เธียเตอร์ในกรุงลอนดอน

แฮร์ริสสำเร็จการศึกษาเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์สาขา “รัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์” และได้ฝึกฝนฝีมือที่บริสทอล โอลด์ วิค เธียเตอร์ สคูลที่โด่งดัง

เจฟฟรีย์ ไรท์ (Jeffrey Wright)

เจฟฟรีย์ ไรท์ เป็นนักแสดงรางวัลโทนี, เอ็มมี, เอเอฟไอและลูกโลกทองคำ ผู้มีผลงานที่ประสบความสำเร็จมากมาย ที่ครอบคลุมทั้งในวงการละครเวที ภาพยนตร์และโทรทัศน์ ล่าสุด เขาได้รับบท ‘เบอร์นาร์ด โลว์’ ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมในซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “Westworld” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงสามรางวัลเอ็มมี เมื่อเร็วๆ นี้ ซีซันที่สี่ของซีรีส์ยอดนิยมเรื่องนี้เพิ่งเริ่มถ่ายทำ นอกจากนี้ ในปีหน้า เขาก็จะได้กลับมารับบทเจ้าหน้าที่ซีไอเอ ‘เฟลิกซ์ ไลเตอร์’ ในภาคใหม่ของเจมส์ บอนด์ในชื่อ No Time to Die ที่มีกำหนดจะเข้าฉายในวันที่ 8 ตุลาคม ปี 2021 นอกจากนี้ เขายังจะได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์โดยเวส แอนเดอร์สันเรื่อง The French Dispatch ที่มีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 22 ตุลาคม ปี 2021

เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งปิดกล้องภาคล่าสุดของ The Batman: Vengeance ในกรุงลอนดอนและสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นชาวแอฟริกัน/อเมริกันคนแรกที่ได้รับบท ‘ผู้บัญชาการกอร์ดอน’ ภาพยนตร์เรื่องนี้ในชื่อ Vengeance นำแสดงโดยโรเบิร์ต แพททิสัน ในบทวีรบุรุษในผ้าคลุม และกำกับโดยแมทท์ รีฟส์ (Dawn of the Planet of the Apes) และมีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 4 มีนาคม ปี 2022

โปรเจ็กต์ล่าสุดของเขายังรวมถึงการแสดงในซีรีส์เน็ตฟลิกซ์เรื่อง All Day And A Night (May 2020) ดรามาที่เขียนบทและกำกับโดยโจโรเบิร์ตโคล (Black Panther) และอำนวยการสร้างโดยนีนาจาค็อบสัน, จาเร็ดเอียนโกลด์แมนและนำแสดงโดยแอชตันแซนเดอร์ส (Moonlight), Hold the Dark และภาพยนตร์เอชบีโอเรื่อง O.G. ที่เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ไทรเบกาปี 2018 ที่เขาได้รับรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมในภาพยนตร์อเมริกันและในปี 2019 เขาก็ได้รับบทนำ ‘โฮบี้’ ในภาพยนตร์วอร์เนอร์บราเธอร์สเรื่อง The Goldfinch และภาพยนตร์ขวัญใจเทศกาลซันแดนซ์เรื่อง All Rise (ชื่อเก่า Monster) นอกจากนี้เขายังได้แสดงบทสมทบในซีรีส์เน็ตฟลิกซ์เรื่อง The Laundromat และได้พากย์เสียง ‘แม็ควิงเคิล’ ในซีรีส์เน็ตฟลิกซ์เรื่อง Dr. Seuss’s’ “Green Eggs and Ham”

ไรท์แจ้งเกิดบนจอเงินในปี 1996 ด้วยการแสดงบาดใจในภาพยนตร์เรื่อง Basquiat ในบทฌอนมิเกเลบาสควอทจิตรกรพรสวรรค์ผู้ล่วงลับนับตั้งแต่นั้นมาเขาก็ได้แสดงในภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น Syriana, The Manchurian Candidate, The Hunger Games, Casino Royale และซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “Boardwalk Empire”

ไรท์เปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์ในปี 1993 ในละครเวทีชื่อดังเรื่อง “Angels in America: Millennium Approaches” ในสามบทบาทเขาได้กลับมาแสดงอีกในตอนต่อของเรื่องราวนี้ใน “Angels in America: Perestroika” ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลโทนีอวอร์ดและดรามาเดสก์อวอร์ดจากการแสดงของเขาสิบปีให้หลังไรท์กลายเป็นสมาชิกทีมนักแสดงบรอดเวย์ดั้งเดิมเพียงคนเดียวที่ได้แสดงในภาพยนตร์เอชบีโอที่ดัดแปลงมาจาก “Angels in America” ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลลูกโลกทองคำและเอ็มมีอวอร์ด

ไรท์เกิดในกรุงวอชิงตัน, ดี.ซี. เขาสำเร็จการศึกษาจากแอมเฮิร์สท์คอลเลจและได้รับปริญญาตรีสาขารัฐศาสตร์หลังจากนั้นเขาก็ได้รับปริญญาอักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิตมนุษยธรรมจากสถาบันเก่าของเขาเขาใช้ชีวิตอยู่ในบรู๊คลินรัฐนิวยอร์กกับครอบครัวของเขา

คริสตอฟ วอลซ์ (Christoph Waltz) 

คริสตอฟ วอลซ์ เป็นนักแสดงเจ้าของหลายรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ในปี 2009 เขาได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด, แซ็ก อวอร์ด, บาฟตา, ลูกโลกทองคำและรางวัลจากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์จากบทผู้พันนาซีฮันส์ แลนดาในภาพยนตร์โดยเควนติน ทารันติโนเรื่อง Inglourious Basterds เขาได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดครั้งที่สองจากการแสดงของเขาในภาพยนตร์โดยเควนติน ทารันติโนเรื่อง Django Unchained บทดร.คิง ชูลซ์ทำให้เขาได้รับรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากเวทีลูกโลกทองคำปี 2013 และบาฟตา อวอร์ดด้วยเช่นกัน ในวันที่ 1 ธันวาคม ปี 2014 วอลซ์ได้ประดับดวงดาวของเขาบนฮอลลีวูด วอล์ค ออฟ เฟม

ผลงานที่โดดเด่นเรื่องอื่นๆรวมถึงการแสดงของเขาใน Alita: Battle Angel, Downsizing, The Legend of Tarzan, Spectre, Big Eyes, The Zero Theorem, Carnage และ Water for Elephants

ในปี 2013 วอลซ์ได้กำกับโอเปราเรื่องแรก Der Rosenkavarlier โดยริชาร์ด สเตราส์ ผลงานของเขาเปิดตัวในเดือนธันวาคม ปี 2013 ที่วลามส์ โอเปราในแอนท์เวิร์ป โดยมีดิมิทรี จูโรว์สกี้และฟิลิปป์ พอยท์เนอร์ เป็นผู้อำนวยการดนตรี ในปี 2017 วอลซ์ได้กำกับ Falstaff โดยกิเซปเป้ เวอร์ดี้ กับวลามส์ โอเปราด้วยเช่นกัน

ผลงานของวอลซ์ในแวดวงจอแก้ว จอเงินและละครเวทีของยุโรปครอบคลุมสามทศวรรษ ผลงานจอเงินของเขารวมถึง Gun-Shy, ภาพยนตร์ที่ได้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลินเรื่อง Lapislazuli, Dorian, She, Falling Rocks, Ordinary Decent Criminal, Our God’s Brother, The Beast, Berlin Blues และ Angst ด้านจอแก้ว เขาได้แสดงในภาพยนตร์รางวัลโดยอดอล์ฟ กริมม์เรื่อง  Der Tanz mit dem Teufel – Die Entführung des Richard Oetker และ Dienstreise – Was für eine Nacht Dienstreise ผลงานของเขาใน Du Bist Nicht Allein – Die Roy Black Story ทำให้วอลซ์ได้รับรางวัลบาวาเรียนและเยอรมัน ทีวี อวอร์ด รวมถึงรางวัลสิงโตทองคำอาร์ทีแอลอีกด้วย

ราล์ฟ ไฟน์ (Ralph Fiennes)

ราล์ฟไฟน์ได้เปิดตัวในโลกภาพยนตร์ด้วยบทฮีธคลิฟฟ์ในภาพยนตร์ปี 1992 เรื่อง Wuthering Heights ผลงานภาพยนตร์หลังจากนั้นของเขารวมถึง Schindler’s List, The English Patient, The Constant Gardener, The End of the Affair, The Reader, Quiz Show, Oscar and Lucinda, Onegin, Spider, Sunshine, Strange Days และ The Hurt Locker เขารับบทลอร์ดโวลเดอมอร์ทในภาพยนตร์เรื่อง Harry Potter และบทเอ็มใน  Skyfall และ Spectre

ผลงานล่าสุดของไฟน์รวมถึงThe Dig, Dolittle, Coup 53, Official Secrets, The Lego Movie 2: The Second Part, Holmes & Watson, The Grand Budapest Hotel, A Bigger Splash, Kubo and the Two Strings, Hail Caesar! และ The Lego Batman Movie โปรเจ็กต์หลังจากนี้ของเขารวมถึง No Time To Die, The King’s Man, The Forgiven, Farnsworth House และ The Menu

เขาเปิดตัวผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกในปี 2011 ด้วย Coriolanus ซึ่งเขารับบทนำ ในปี 2013 เขาได้กำกับและนำแสดงใน The Invisible Woman ผลงานภาพยนตร์ของเขาเรื่อง The White Crow เกี่ยวกับรูดอล์ฟ นูเรเยฟ เข้าฉายในเดือนมีนาคม ปี 2019

ผลงานจอแก้วของเขารวมถึงไตรภาคโดยเดวิดแฮร์เรื่อง Page Eight, Turks and Caicos และ Salting the Battlefield เขารับบทที.อี. ลอว์เรนซ์ใน A Dangerous Man: Lawrence After Arabia รวมถึงได้แสดงใน Prime Suspect และ Rev ด้วยผลงานของเขาที่โรงละครเนชันแนลเธียเตอร์รวมถึงAntony and Cleopatra ประกบโซฟีโอโคเนโดซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลอีฟนิงสแตนดาร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, Man & Superman, Oedipus, The Talking Cure, Six Characters In Search Of An Author, Fathers And Sons และTing Tang Mine

ผลงานของเขากับรอยัล เชคสเปียร์ คัมปะนีรวมถึง  Troilus & Cressida, King Lear, Love’s Labour Lost, Henry VI in The Plantagenets, Much Ado About Nothing, King John, The Man Who Came To Dinner และละครอิบเซนเรื่อง Brand ซึ่งภายหลังถูกนำไปแสดงที่เฮย์มาร์เก็ต เธียเตอร์

สำหรับโรงละครอัลเมดาเธียเตอร์เขาได้รับบทริชาร์ดที่สามซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลอีฟนิงสแตนดาร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, ริชาร์ดที่สอง, โคริโอลานัส, อิวานอฟและแฮมเล็ตภายใต้การกำกับของโจนาธานเคนท์ทุกเรื่อง Hamlet เปิดการแสดงที่เดอะแฮ็คนีย์เอ็มไพร์ตามด้วยเดอะเบลาสโก้เธียเตอร์ในบรอดเวย์ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลโทนีอวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม 

เขาหวนคืนสู่เวทีบรอดเวย์อีกครั้งในปี 2006 และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนีจากการแสดงของเขาในละครเวทีโดยไบรอัน ฟรีเอลเรื่อง The Faith Healer หลังจากที่เปิดการแสดงที่เดอะ เกท เธียเตอร์ ดับลิน

ในปี 2016 เขารับบท โซลเนสในละครเรื่อง The Master Builder ที่กำกับโดยแมทธิว วอร์ชัสที่โรงละครโอลด์ วิค ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลอีฟนิง สแตนดาร์ด อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม

เขาได้รับรางวัลและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสำคัญๆมากมายจากผลงานภาพยนตร์และละครเวทีของเขาโดยเขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ดรางวัลลูกโลกทองคำและบาฟตาจากการแสดงของเขาในภาพยนตร์เรื่อง The English Patient และ Schindler’s List  และเขาก็ได้รับรางวัลบาฟตาสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากเรื่องหลัง นอกจากนี้ เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาจากภาพยนตร์เรื่อง The End of the Affair และ The Constant Gardener อีกด้วย ล่าสุด เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลบาฟตาจากการแสดงนำใน The Grand Budapest Hotel นอกจากนี้ เขายังได้รับรางวัลวาไรตี้ อวอร์ดสาขาความสำเร็จในภาพยนตร์ รางวัลริชาร์ด แฮร์ริส อวอร์ดจากเวทีบริติช อินดีเพนเดนท์ ฟิล์ม อวอร์ดและเดอะ เอ็มไพร์ ฟิล์ม ลีเจนด์ อวอร์ดอีกด้วย

รอรี คินเนียร์ (Rory Kinnear)

รอรีคินเนียร์เป็นนักแสดงผู้ได้รับรางวัลชาวอังกฤษผู้อาจเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบท “บิลแทนเนอร์” ในภาพยนตร์เจมส์บอนด์เรื่องQuantum Of Solace, Skyfall และ Spectreผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆรวมถึงPeterloo, Trespass Against Us, iBoy, Man Up, Cuban Fury, Broken (ได้รับรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากเวทีบีฟา), Wild Target และภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ดและบาฟตาเรื่อง The Imitation Game ประกบเบเนดิคท์คัมเบอร์แบทช์และเคียราไนท์ลีย์ผลงานจอแก้วของคินเนียร์รวมถึง No. 9, Guerrilla, Quacks, The Casual Vacancy, Penny Dreadful, ซิทคอมเรื่อง Count Arthur Strong, Southcliffe ที่เขียนบทโดยโทนีกริโซนี (ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม), 

Loving Miss Hatto, Black Mirror โดยชาร์ลีย์ บรู๊คเกอร์, Richard II โดยรูเพิร์ต กูลด์ในบท “โบลิงโบร๊ค” และดรามาไอทีวีเรื่อง Lucan ซึ่งเขาแสดงนำ 

นอกจากนี้คินเนียร์ยังได้รับการยกย่องอย่างสูงจากงานละครเวทีโดยเขาได้รับรางวัลอีฟนิงสแตนดาร์ดอวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในปี 2010 จากการแสดงของเขาใน Measure For Measure (อัลเมดาเธียเตอร์) และ Hamlet (เนชันแนลเธียเตอร์) และอีกครั้งหนึ่งในปี 2013 จากการแสดงของเขาในบท “เอียโก้” ใน Othello (เนชันแนลเธียเตอร์) นอกจากนี้บทหลังนี้ยังทำให้เขาได้รับรางวัลโอลิวิเยร์อวอร์ดซึ่งเป็นรางวัลที่เขาได้รับ (“นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม”) จากการแสดงของเขาในบท “เซอร์ฟอปลิงฟลัตเตอร์” ใน The Man Of Mode ในปี 2008 นอกจากนี้เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสองครั้งก่อนหน้านี้จากการแสดงของเขาใน Hamlet และ Burnt By The Sun ผลงานละครเวทีล่าสุดของรอรีรวมถึงละครเวทีโดยรูฟัสนอร์ริสเรื่อง The Threepenny Opera และ Macbeth และ Young Marx ที่บริดจ์เธียเตอร์

ผลงานล่าสุดของเขารวมถึง Penny Dreadful: City of Angels, Catherine the Great, Years and Years และ Brexit ผลงานที่กำลังจะเข้าฉายของเขารวมถึง Ridley Road, Men ภาพยนตร์ที่หลายคนรอคอยของอเล็กซ์การ์แลนด์ซึ่งเขาแสดงประกบเจสซีบัคลีย์และซีรีส์โดยไทก้าไวตีติเรื่อง Our Flag Means Death ที่นำแสดงโดยริสดาร์บี้

คินเนียร์เป็นนักเขียนบทละครเวทีที่ได้รับรางวัลเขามีผลงานละครเวทีเรื่องแรกคือ The Herd ในปี 2013 นอกจากนี้เขายังเปิดตัวผลงานการกำกับเรื่องแรกด้วย A Winter’s Tale โปรดักชันของอิงลิชเนชันแนลโอเปราในปี 2017 อีกด้วย

เดวิด เดนซิค (David Dencik)

เดวิดเดนซิคเป็นนักแสดงเชื้อสายสวีดิช/เดนิชเขาสำเร็จการศึกษาจากทีเทอร์ฮ็อกสโคแลนในสต็อคโฮล์มในปี 2003 และนับตั้งแต่นั้นมาเขาก็ได้แสดงบทสำคัญๆทั้งในภาพยนตร์ภาษาอังกฤษและภาพยนตร์ภาษาสแกนดิเนเวียนซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลและการยกย่องมากมายเขาเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการแสดงของเขาใน Tinker, Tailor, Soldier, Spy และ Top of the Lake: China Girl

เดวิดเปิดตัวในโลกภาพยนตร์ด้วยภาพยนตร์ที่โด่งดังโดยคริสโตเฟอร์โบเรื่อง Reconstruction หลังจากนั้นเขาก็ได้รับบทนำในซีรีส์ The Laser Man และในภาพยนตร์โดยผู้กำกับเพอร์นิลล์ฟิชเชอร์คริสเตนเซนเรื่อง A Soap ในบทเวโรนิกาหญิงข้ามเพศการแสดงนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลเดนิชอคาเดมีอวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมนอกจากนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับรางวัลหมีเงินจากงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลินอีกด้วย

เดวิดได้รับความสนใจจากทั่วโลกโดยเฉพาะในปี 2011 ด้วยการแสดงของเขาในภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง Tinker, Tailor, Soldier, Spy โดยโธมัสอัลเฟรดสันซึ่งเขาแสดงบทโทบี้เอสเตอร์เฮสภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลกว่าสามสิบรางวัลและได้รับการเสนอชื่อชิงสามรางวัลอคาเดมีอวอร์ดนอกจากนี้เดวิดยังได้แสดงใน War Horse โดยสตีเวนสปีลเบิร์กซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงหกรางวัลอคาเดมีอวอร์ดและ The Girl with the Dragon Tattoo โดยเดวิดฟินเชอร์ซึ่งได้รับรางวัลอคาเดมีอวอร์ดและคว้ารางวัลอื่นๆอีก 27 รางวัล

ในปี 2012 เดวิดรับบทกูลด์เบิร์กจอมเจ้าเล่ห์ผู้ชอบคิดแผนการใน A Royal Affair ที่กำกับโดยนิโคลัจอาร์เซลภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เข้าประกวดในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลินครั้งที่ 62 และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ด

เดวิดได้แสดงภาพยนตร์ที่โดดเด่นอีกหลายเรื่องในหลายปีถัดมารวมถึง All That Matters is Past, Hotell, The Absent One, Serena, Gentlemen, Regression, Men & Chicken, Kidnapping Mr. Heineken, Across the Waters และ Satisfaction 1720

ในปี 2017 เดนซิคได้รับบทผู้ร้ายพัสหนึ่งในตัวละครหลักใน Top of the Lake: China Girl ที่เขียนบทและกำกับโดยเจนแคมเปียนเดวิดได้แสดงประกบนิโคลคิดแมนและเขาก็ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอเอซีทีเออวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและซีรีส์เรื่องนี้ก็ได้รับรางวัลซีรีส์ดรามายอดเยี่ยมและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำด้วย

นอกจากนี้เขายังได้แสดงในภาพยนตร์โดยโทมัสอัลเฟรดสันเรื่อง The Snowman ในบทหมอน่าขนลุกอิดาร์เว็ทเลสันประกบไมเคิลฟาสเบนเดอร์และรีเบ็กก้าเฟอร์กูสันและในซีรีส์ Genius: Einsteinin ในบทนิลส์โบห์นักฟิสิกส์สัญชาติเดนิชอีกด้วย

ในปี 2018 เดวิดรับบทโบริสก็อดแมนผู้ร่าเริงและเสียงดังในซีรีส์บีบีซีเรื่อง McMafia ซึ่งได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมและเขายังได้แสดงในซีรีส์ไอทีวีเรื่อง Rig 45 อีกด้วย

ในปี 2019 เขาได้แสดงใน The Kindness of Strangers โดยโลนเชอร์ฟิกซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลินปี 2019 และรับททนายความฝ่ายจำเลยเพเดอร์ในซีรีส์เน็ตฟลิกซ์เรื่อง Quicksand นอกจากนี้เขายังได้แสดงบทผู้ที่กล่าวอ้างว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องโธมัสควิกในภาพยนตร์เรื่อง The Perfect Patient เกี่ยวกับหนึ่งในเรื่องอื้อฉาวทางกฎหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สวีดิช

เขาได้แสดงในซีรีส์โดยคริสโตเฟอร์โบส์เรื่อง Face To Face และรับบทกออร์บาชอฟอดีตประธานาธิบดีสหภาพโซเวียตในมินิซีรีส์เอชบีโอเรื่อง Chernobyl

อนา เดอ อาร์มาส (Ana De Armas)

อนาเดออาร์มาสได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำจากการแสดงแจ้งเกิดของเธอในบทมาร์ทาคาเบรราในภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ดโดยริอันจอห์นสันเรื่อง Knives Out หลังจากนี้เธอจะได้แสดงในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนิยายของจอยซ์แครอลโอทส์เรื่อง Blonde โดยแอนดรูว์โดมินิคในบทมาริลินมอนโรว์ไอคอนแห่งฮอลลีวูดรวมถึงภาพยนตร์เรื่อง The Gray Man ที่กำกับโดยพี่น้องรุสโซ 

ผลงานที่โดดเด่นของเธอรวมถึง Sergio, Blade Runner 2049, War Dogs, Hands of Stone และ Knock Knock ในปี 2021 นิตยสารไทม์ได้เลือกอาร์มาสให้ติดอันดับลิสต์ไทม์ 100 เน็กซ์ลิสต์ของพวกเขาด้วยการยกย่องให้เธอเป็นหนึ่งใน 100 ผู้นำศิลปินและนวัตกรรุ่นใหม่ที่กำลังก่อร่างสร้างอนาคตขึ้นมา 

บิลลี แม็กนัสเซน (Billy Magnussen)

บิลลีแม็กนัสเซนกำลังสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะหนึ่งในนักแสดงดาวรุ่งที่มีความสามารถหลากหลายและอนาคตไกลที่สุดด้วยการได้ร่วมงานกับผู้กำกับที่ได้รับรางวัลมากมายรวมถึงสตีเวนสปีลเบิร์ก, แครีฟุกุนากะ, แดนกิลรอยและกายริทชี

ล่าสุดเขาได้แสดงประกบคริสตินมิลิโอติและเรย์โรมาโนในซีรีส์คอเมดีตลกร้ายทางเอชบีโอแม็กซ์เรื่อง MADE FOR LOVE ซีรีส์ยอดนิยมเรื่องนี้ได้รับการอนุมัติให้สร้างซีซันที่สองต่อ

ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้แม็กนัสเซนจะได้เผยโฉมทางจอเงินในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ฟอร์มยักษ์สองเรื่องได้แก่ THE MANY SAINTS OF NEWARK ภาพยนตร์ที่เป็นพรีเควลของซีรีส์ “The Sopranos” ที่เข้าฉายทางโรงภาพยนตร์พร้อมๆกับที่แพร่ภาพทางเอชบีโอแม็กซ์ในวันที่ 1 ตุลาคมปี 2021 และภาพยนตร์ที่กำกับโดยแครีฟุกุนากะเรื่อง NO TIME TO DIE ภาคที่ห้าของแฟรนไชส์ภาพยนตร์เจมส์บอนด์ที่มีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 8 ตุลาคมปี 2021 

ผลงานใหม่ที่กำลังจะเข้าฉายของแม็กนัสเซนรวมถึงการแสดงนำใน THE SURVIVOR ภาพยนตร์ชีวประวัติช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่กำกับโดยแบร์รีเลวินสัน, ภาพยนตร์คอเมดีรวมดาราเรื่อง REUNION ซึ่งเขาจะรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างด้วยและซีรีส์คอเมดีโดยชารอนฮอร์แกนสำหรับอเมซอน

ก่อนหน้านี้เขาได้แสดงในภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันที่สร้างจากเรื่อง ALADDIN ของดิสนีย์ภายใต้การกำกับของกายริทชี, VELVET BUZZSAW ทริลเลอร์สยองขวัญในโลกศิลปะที่เขียนบทและกำกับโดยแดนกิลรอยซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลซันแดนซ์ปี 2019, ซีรีส์จำกัดโดยแครีฟุกุนากะเรื่อง MANIAC ทางเน็ตฟลิกซ์ประกบเอ็มมาสโตนและโจนาห์ฮิลและซีรีส์ซีบีเอสออลแอคเซสเรื่อง TELL ME A STORY

ในปี 2018 แม็กนัสเซนได้แสดงในภาพยนตร์โดยไอค์บารินโฮลท์เรื่อง THE OATH ประกบทิฟฟานีแฮดดิช, ในภาพยนตร์วอร์เนอร์บรอส. เรื่อง GAME NIGHT ประกบเจสันเบทแมนและราเชลแม็คอดัมส์, ในภาพยนตร์โดยแมทท์สไปเซอร์เรื่อง INGRID GOES WEST ซึ่งได้รับรางวัลอินดีเพนเดนท์สปิริตอวอร์ดสาขาภาพยนตร์เรื่องแรกยอดเยี่ยมในปี 2018 รวมถึงดรามาศิลปะการต่อสู้โดยจอร์จโนลิฟเรื่อง BIRTH OF THE DRAGON ด้านจอแก้วแม็กนัสเซนได้แสดงในเอพิโซด “U.S.S. Callister” ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีของซีรีส์ดังทางเน็ตฟลิกซ์เรื่อง BLACK MIRROR และซีรีส์อีพิกซ์โดยเดวีย์โฮล์มส์เรื่อง GET SHORTY ประกบคริสโอ’ ดาวด์และเรย์โรมาโนในปี 2015 เขารับบทคาโต้เคลินในมินิซีรีส์ชื่อดังทางเอฟเอ็กซ์โดยไรอันเมอร์ฟีย์เรื่อง AMERICAN CRIME STORY: THE PEOPLE VS. O.J. SIMPSON รวมถึงซีรีส์เน็ตฟลิกซ์เรื่อง UNBREAKABLE KIMMY SCHMIDT

นอกเหนือจากบทบาทในหน้าจอแล้วแม็กนัสเซนยังได้แสดงในละครเวทีบรอดเวย์อีกหลายเรื่องด้วยที่น่าสนใจคือการที่เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนีอวอร์ดจากการแสดงบทสไปค์คนรักของซิเกอร์นีย์วีฟเวอร์ในละครเวทีรางวัลโทนีเรื่อง ANYA AND SONIA AND MASHA AND SPIKE

แม็กนัสเซนสำเร็จการศึกษาจากนอร์ธแครอไลนาสคูลออฟเดอะอาร์ตส์เขาเริ่มต้นงานแสดงตั้งแต่ปี 2007

ดาลี เบนซาลาห์ (Dali Benssalah)

หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีดาลีก็ศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเรนส์และในขณะเดียวกันเขาก็ฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อลงแข่งมวยไทยด้วย

ในปี 2012 เขาออกจากวิทยาลัยและย้ายไปปารีสด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำงานในแวดวงภาพยนตร์เขาได้ร่วมงานกับคูร์สฟลอเรนท์ที่ซึ่งเขาได้พบกับศิลปะการละครและตัดสินใจอุทิศเวลาให้กับมันเต็มตัวเขาฝึกฝนฝีมือตัวเองที่เนชันแนลเธียเตอร์ออฟลาคอลลินตามด้วยสตราส์บวร์กกับสเตนส์ลาสและที่ฟาบริกาดาวิญองกับโอลิวิเยร์พาย

ในปี 2017 เขาได้เปิดตัวต่อสาธารณชนในคลิปวิดีโอสำหรับเพลง Territory โดยเดอะเบลซซึ่งได้รับรางวัลมากมายจากงานเทศกาลต่างๆ 

ผู้กำกับหลายคนมองเห็นเขาในตอนนั้นและขอพบกับเขาสำหรับการร่วมงานกันในโปรเจ็กต์จอแก้วและจอเงินเขาได้แสดงใน Nox โดยมาบรู๊คเอลเมครี (แคนัลพลัส), ในภาพยนตร์โดยหลุยส์การ์เรลเรื่อง A Faithful Man, ภาพยนตร์โดยเคอร์รีเจมส์และเลลาไซเรื่อง Banlieusards และล่าสุดในผลงานออริจินอลเรื่องใหม่ทางแคนัลพลัสเรื่อง Les Sauvages ซีรีส์โดยรีเบ็กก้าซโลโทว์สกี้ที่ร่วมแสดงโดยรอสช์ดี้เซมและมารินาฟัวส์

ประวัติหัวหน้าแผนกต่างๆ

แครี โจจิ ฟุกุนากะ (Cary Joji Fukunaga)—ผู้กำกับ

ผลงานของแครีโจจิฟุกุนากะในฐานะมือเขียนบทผู้กำกับและผู้กำกับภาพได้นำพาเขาไปทั่วโลกผลงานจอแก้วของเขารวมถึงการกำกับและควบคุมงานสร้างซีซันแรกของซีรีส์เอชบีโอเรื่อง True Detective ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลเอ็มมีสาขากำกับยอดเยี่ยมเมื่อเร็วๆนี้เขาเพิ่งมีผลงานเป็นซีรีส์ชื่อดังเรื่อง Maniac สำหรับเน็ตฟลิกซ์ซี่งนำแสดงโดยเอ็มมาสโตนและโจนาห์ฮิล

ฟุกุนากะได้เปิดตัวผลงานการเขียนบทและกำกับภาพยนตร์ด้วยภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง Sin Nombre ตามด้วยภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายโดยชาร์ล็อตต์บรองเต้เรื่อง Jane Eyre ที่ทั้งสองเรื่องจัดจำหน่ายโดยโฟกัสฟีเจอร์สภาพยนตร์เรื่องที่สามของเขา Beasts of No Nation ที่แพร่ภาพโดยเน็ตฟลิกซ์ได้รับเลือกให้เข้าฉายอย่างเป็นทางการที่เทศกาลภาพยนตร์เวนิส, เทลลูไรด์และโตรอนโตและทำให้อิดริสเอลบาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำและบาฟตาสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม

ฟุกุนากะได้เข้าศึกษาทิสช์โปรแกรมของมหาวิทยาลัยนิวยอร์กที่ซึ่งเขาได้รับรางวัลทุนการศึกษาเจ้าหญิงเกรซในปี 2005 มันนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนระหว่างฟุกุนากะและมูลนิธิเจ้าหญิงเกรซซึ่งเป็นองค์กรที่สนันบสนุนศิลปินหน้าใหม่ด้านละครเวทีการเต้นและภาพยนตร์หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ให้ทุนโปรเจ็กต์พิเศษกับฟุกุนากะในปี 2004 และมอบรางวัลรูปปั้นเจ้าหญิงเกรซให้กับเขาในปี 2015 โดยรางวัลนี้จะมอบให้กับอดีตผู้ได้รับทุนการศึกษาซึ่งสร้างคุณูปการใหญ่หลวงแก่วงการที่พวกเขาเลือก

ปัจจุบันเขาอยู่ระหว่างการอำนวยการสร้างและกำกับ Masters of the Air อีพิคสงครามโลกครั้งที่สองทางแอปเปิลทีวีพลัสจากแอมบลินเทเลวิชันของสตีเวนสปีลเบิร์กและเพลย์โทนของทอมแฮงค์แกรีโกทซ์แมน

ฮันส์ ซิมเมอร์ (Hans Zimmer)—นักประพันธ์

ฮันส์ซิมเมอร์ได้แต่งดนตรีประกอบโปรเจ็กต์ต่างๆกว่า 200 งานในสื่อทุกประเภทซึ่งรวมกันแล้วกวาดรายได้ไปกว่า 28,000 ล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกซิมเมอร์เคยได้รับรางวัลอคาเดมีอวอร์ด, สองรางวัลลูกโลกทองคำ, สามรางวัลแกรมมี, รางวัลอเมริกันมิวสิคอวอร์ดและรางวัลโทนีอวอร์ดผลงานยอดเยี่ยมของเขารวมถึง Gladiator, The Thin Red Line, As Good as It Gets, Rain Man, ไตรภาค The Dark Knight, Inception, Thelma and Louise, The Last Samurai, 12 Years A Slave, Blade Runner 2049 (ร่วมแต่งดนตรีกับเบนจามินวอลฟิสช์) และ Dunkirk รวมถึงผลงานดนตรีประกอบภาพยนตร์ล่าสุดเรื่อง Wonder Woman 1984, ภาพยนตร์โดยรอนโฮเวิร์ดเรื่อง Hillbilly Elegy และ The SpongeBob Movie: Sponge on the Run ในปี 2019 ซิมมเอร์ได้แต่งดนตรีประกอบรีเมกไลฟ์แอ็กชันเรื่อง The Lion King ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแกรมมีสาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมสำหรับวิชวลมีเดีย

ผลงานภาพยนตร์ของซิมเมอร์ในปี 2021 รวมถึงภาพยนตร์เจมส์บอนด์เรื่อง No Time to Die, ภาพยนตร์โดยเดนิสวิลเลอเนิฟเรื่อง Dune, Top Gun: Maverick และ The Boss Baby: Family Business ซิมเมอร์ได้ประสบความสำเร็จในการทัวร์คอนเสิร์ตฮันส์ซิมเมอร์ไลฟ์ทั่วโลกและจะได้แสดงดนตรีในทัวร์รอบยุโรปที่จะเริ่มต้นในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2022 อีกด้วย

นีล เพอร์วิส & โรเบิร์ต เว้ด (Neal Purvis & Robert Wade)—มือเขียนบท

นีลเพอร์วิสและโรเบิร์ตเว้ดประสบความสำเร็จครั้งแรกในปี 1991 ด้วยบทภาพยนตร์ดรามาอื้อฉาวเรื่อง Let Him Have It ภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์แพร่หลายภายใต้การกำกับของปีเตอร์มีดัคเรื่องนี้ได้เข้าฉายสำหรับสภาและมีบทบาททำให้มีการอภัยโทษให้กับดีเร็คเบนท์ลีย์หลังจากที่เขาเสียชีวิตอีกด้วย 

พวกเขาได้ทำงานกับบทภาพยนตร์หลากหลายแนวเช่น Plunkett & Macleane ที่นำแสดงโดยโรเบิร์ตคาร์ไลล์และลีฟไทเลอร์, Johnny English ที่นำแสดงโดยโรวันแอทคินสันและจอห์นมัลโควิชนอกจากพวกเขาจะได้เขียนบทภาพยนตร์เจมส์บอนด์เรื่อง The World Is Not Enough และ Die Another Day แล้วพวกเขายังได้เขียนบทและร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Return To Sender สำหรับผู้กำกับบิลลีออกัสต์และได้ทำหน้าที่เดียวกันนี้ในภาพยนตร์เรื่อง Stoned สำหรับผู้กำกับสตีเฟนวูลลีย์อีกด้วย

สำหรับ Casino Royale พวกเขาได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลบาฟตารวมถึงได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็ดการ์จากมิสเทรีไรเตอร์สออฟอเมริกาหลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Quantum Of Solace, Skyfall ซึ่งทำให้พวกเขาได้รับรางวัลบาฟตาสาขาภาพยนตร์อังกฤษยอดเยี่ยมและ Spectre

พวกเขาได้ดัดแปลงและควบคุมงานสร้าง SS-GB นิยายโดยเลนดีห์ตันสำหรับซิดเจนเทิลฟิล์มส์และบีบีซีวันที่นำแสดงโดยแซมไรลีย์และล่าสุดพวกเขาได้ดัดแปลง The Son โดยโจเนสโบสำหรับบริษัทไนน์สโตรีส์โดยเจคจิลเลนฮัลรวมถึงบทภาพยนตร์สงครามโลกครั้งที่สองสำหรับจีเคฟิล์มส์อีกด้วย No Time To Die เป็นภาพยนตร์เจมส์บอนด์เรื่องที่เจ็ดของพวกเขา

ฟีบี้ วอลเลอร์-บริดจ์ (Phoebe Waller-Bridge)—มือเขียนบท

ฟีบี้วอลเลอร์-บริดจ์เป็นมือเขียนบทและนักแสดงหลายรางวัลผู้เป็นที่รู้จักจากซีรีส์บีบีซีทรี/อเมซอนเรื่อง Fleabag ซึ่งเธอได้แสดงสร้างและอำนวยการสร้างวอลเลอร์-บริดจ์ได้รับสามรางวัลไพรม์ไทม์เอ็มมีอวอร์ดจากซีซันที่สองซึ่งรวมถึงสาขาซีรีส์คอเมดียอดเยี่ยม, สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์คอเมดีและสาขาเขียนบทยอดเยี่ยมสำหรับซีรีส์คอเมดีนอกจากนี้เธอยังได้รับสองรางวัลลูกโลกทองคำ (สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม – ซีรีส์มิวสิคัลหรือคอเมดีและสาขาซีรีส์ยอดเยี่ยม – มิวสิคัลหรือคอเมดี), สองรางวัลคริติกส์ชอยส์อวอร์ด (สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์คอเมดีและซีรีส์คอเมดียอดเยี่ยม) และรางวัลสมาพันธ์นักแสดง (การแสดงยอดเยี่ยมโดยนักแสดงหญิงในซีรีส์คอเมดี) รวมถึงรางวัลบาฟตาเทเลวิชันอวอร์ดสาขาการแสดงของนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมในรายการโทรทัศน์

เมื่อเร็วๆนี้มีการประกาศว่าวอลเลอร์-บริดจ์ถูกวางตัวให้แสดงประกบแฮร์ริสันฟอร์ดในภาคที่ห้าของ Indiana Jones ที่กำกับโดยเจมส์แมนโกลด์ปัจจุบันดิสนีย์มีกำหนดจะนำภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในวันที่ 29 กรกฎาคมปี 2022

ในฐานะมือเขียนบทและผู้อำนวยการสร้างวอลเลอร์-บริดจ์เป็นที่รู้จักจากผลงานของเธอในซีซันหนึ่งของซีรีส์ดังทางบีบีซีอเมริกาเรื่อง Killing Eve เธอมีส่วนร่วมในการเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง No Time to Die ภาพยนตร์เจมส์บอนด์เรื่องล่าสุดที่จะเข้าฉายปลายปีนี้ด้านจอแก้วเธอได้แสดงใน Crashing ซึ่งเธอเขียนบทด้วย, Broadchurch และ Run ที่เธอควบคุมงานสร้างกับวิคกี้โจนส์ด้านภาพยนตร์วอลเลอร์-บริดจ์ได้แสดงใน Solo: A Star Wars Story, Goodbye Christopher Robin และ The Iron Lady

เธอสำเร็จการศึกษาจากสถาบันรอยัลอคาเดมีออฟดรามาติกอาร์ตส์ละครเวทีเรื่องแรกของเธอ “Fleabag” ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโอลิวิเยร์อวอร์ดปี 2014 และได้รับการชื่นชมพิเศษจากเวทีซูซานสมิธแบล็คเบิร์นไพรซ์ในปี 2013 นอกเหนือจากซีรีส์ยอดนิยมแล้วละครเวทีเรื่องดังกล่าวยังได้ถูกนำไปสร้างเป็นละครออฟบรอดเวย์และเวสต์เอนด์ (ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูซิลล์ลอร์เทลอวอร์ด, ดรามาลีก, ดรามาเดสก์และโอลิวิเยร์อวอร์ด) และนำไปสู่การตีพิมพ์หนังสือเรื่อง Fleabag: The Scriptures อีกด้วยวอลเลอร์-บริดจ์ได้ก่อตั้งเวลส์สตรีทฟิล์มส์บริษัทโปรดักชันของเธอเองและรับตำแหน่งผู้อำนวยการศิลป์ร่วมของดรายไรท์เธียเตอร์คัมปะนี

ไมเคิล จี. วิลสัน (Michael G. Wilson)—ผู้อำนวยการสร้าง 

 ไมเคิล จี. วิลสัน เป็นผู้อำนวยการสร้างแฟรนไชส์ภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ร่วมกับบาร์บารา บร็อคโคลี พี่สาวของเขา วิลสันเข้าทำงานในอีออน โปรดักชันส์ในตำแหน่งผู้บริหารฝ่ายกฎหมายในปี 1972 และได้รับตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้างในภาพยนตร์เรื่อง The Spy Who Loved Me เขากลายเป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารในภาพยนตร์เรื่อง Moonraker และยังคงดำรงตำแหน่งนั้นในภาพยนตร์บอนด์อีกสองเรื่อง ความสามารถเชิงสร้างสรรค์ของเขาปรากฏชัดจากเรื่อง For Your Eyes Only, Octopussy, A View to a Kill, The Living Daylights และ License to Kill  ที่เขาร่วมเขียนบทภาพยนตร์ เขากลายเป็นผู้อำนวยการสร้างร่วมกับพ่อเลี้ยงของเขา อัลเบิร์ต อาร์. บร็อคโคลี ผู้ล่วงลับในภาพยนตร์เรื่อง   A View to a Kill ตามด้วย The Living Daylights และ License to Kill วิลสันและพี่สาวของเขาได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง GoldenEye ตามด้วยภาพยนตร์บอนด์อีกแปดภาครวมถึง Skyfall และ Spectre ภาพยนตร์เรื่อง No Time To Die ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 25 ในแฟรนไชส์นี้ จะเข้าฉายในเดือนเมษายน ปี 2021 ปัจจุบัน เขาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการอีออน โปรดักชันส์

วิลสันและบร็อคโคลีได้ร่วมกันอำนวยการสร้างและควบคุมงานสร้างโปรเจ็กต์ภาพยนตร์อินดีหลายเรื่อง รวมถึง The Rhythm Section, The Silent Storm, Radiator และ Nancy วิลสันได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง Film Stars Don’t Die In Liverpool โดยมีบร็อคโคลีและโคลิน เวนส์ อำนวยการสร้าง

วิลสันได้อำนวยการสร้างละครเวทีโปรดักชันที่ประสบความสำเร็จหลายเรื่อง รวมถึง Chitty Chitty Bang Bang (2002 เวสต์เอนด์, 2005 บรอดเวย์), A Steady Rain (2009 บรอดเวย์), Chariots Of Fire (2012 เวสต์เอนด์), Once ที่ได้รับรางวัลโทนี อวอร์ด (2012 บรอดเวย์, 2013 เวสต์เอนด์), Strangers On A Train (2013 เวสต์เอนด์), Love Letters (2014 บรอดเวย์), Othello (นิวยอร์ก เธียเตอร์ เวิร์คช็อป ธันวาคมปี 2016), The Kid Stays In The Picture (2017 ลอนดอน) และ Sing Street (2019 นิวยอร์ก เธียเตอร์ เวิร์คช็อป)

วิลสันเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าด้านการถ่ายภาพศตวรรษที่ 19 เขาและภรรยาของเขา เจน วิลสัน ได้ก่อตั้งเดอะ วิลสัน เซ็นเตอร์ ฟอร์ โฟโต้กราฟฟี ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยด้านประวัติศาสตร์ สุนทรียศาสตร์และการอนุรักษ์ภาพถ่าย วิลสันดำรงตำแหน่งรองประธานกิตติมศักดิ์ของมูลนิธิพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ เป็นสมาชิกของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ลอนดอนและเป็นสมาชิกทรัสตีของสถาบันวิทยาศาสตร์คาร์เนกี้, ฮาร์วีย์ มัดด์ คอลเลจและพิพิธภัณฑ์ศิลปะซานตา บาร์บาราด้วย วิลสันและบร็อคโคลีดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการมูลนิธิดานา แอนด์ อัลเบิร์ต อาร์ บร็อคโคลี พวกเขาเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันลอนดอน สกรีน อคาเดมี (แอลเอสเอ) ซึ่งวิลสันรับตำแหน่งรองผู้อำนวยการคณะกรรมทรัสตี เดย์ วัน ทรัสต์ด้วยเช่นกัน ระหว่างการถ่ายทำ No Time To Die วิลสันและบร็อคโคลีได้สร้างโครงการรับลูกศิษย์ ซึ่งเปิดโอกาสให้คนหนุ่มสาวยี่สิบเอ็ดคนที่มีความเป็นมาหลากหลาย ได้มีโอกาสทำงานเป็นเด็กฝึกงานที่ได้รับค่าจ้างในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว

ในปี 2008 วิลสันและบร็อคโคลีได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นออร์เดอร์ ออฟ เดอะ บริติช เอ็มไพร์ (โอบีอี) ในปี 2013 พวกเขาได้รับรางวัลบาฟตา อวอร์ดสาขาภาพยนตร์อังกฤษดีเด่นจาก Skyfall  และในปี 2014 พวกเขาก็ได้รับรางวัลความสำเร็จเดวิด โอ. เซลส์นิคด้านภาพยนตร์จากสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกา

บาร์บารา บร็อคโคลี (Barbara Broccoli)—ผู้อำนวยการสร้าง

บาร์บารา บร็อคโคลี เป็นผู้อำนวยการสร้างแฟรนไชส์ภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ร่วมกับไมเคิล จี. วิลสัน น้องชายของเธอ บร็อคโคลีได้ทำหน้าที่ผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้างกับทอม เพฟส์เนอร์ใน The Living Daylights และ Licence To Kill บร็อคโคลีได้ร่วมมือกับวิลสันในการอำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง GoldenEye ตามด้วยภาพยนตร์บอนด์อีกแปดภาครวมถึง Skyfall, Spectre และ No Time To Die 

ผ่านทางบริษัทโปรดักชันอิสระของเธอในชื่อ แอสโทเรีย โปรดักชันส์ บร็อคโคลีได้อำนวยการสร้าง Crime Of The Century สำหรับเอชบีโอ บร็อคโคลีและวิลสันได้ร่วมกันอำนวยการสร้างและควบคุมงานสร้างโปรเจ็กต์ภาพยนตร์อินดีหลายเรื่อง รวมถึง The Rhythm Section, The Silent Storm, Radiator และ Nancy นอกจากนั้น บร็อคโคลียังได้ควบคุมงานสร้างเรื่อง Trauma Is A Time Machine และได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง Film Stars Don’t Die In Liverpool โดยมีวิลสันควบคุมงานสร้าง เมื่อเร็วๆ นี้ บร็อคโคลีได้ควบคุมงานสร้าง Till ที่นำแสดงโดยวู้ปปี้ โกลด์เบิร์กและกำกับโดยชินอนเย ชูคิว

ความรักที่มีต่อละครเวทีของบร็อคโคลีขับเคลื่อนให้เธอประสบความสำเร็จในฐานะผู้อำนวยการสร้างโปรดักชันละครเวทีหลายเรื่อง รวมถึง Chitty Chitty Bang Bang (2002 เวสต์เอนด์, 2005 บรอดเวย์), A Steady Rain (2009 บรอดเวย์), Chariots Of Fire (2012 เวสต์เอนด์), the Tony Award- winning Once (2012 บรอดเวย์, 2013 เวสต์เอนด์), Strangers On A Train (2013 เวสต์เอนด์), Love Letters (2014 บรอดเวย์), Othello (นิวยอร์ก เธียเตอร์ เวิร์คช็อป ธันวาคมปี 2016 – มกราคม ปี 2017), The Kid Stays In The Picture (2017 ลอนดอน), The Country Girls (ฤดูร้อนปี 2017 ชิเชสเตอร์ เฟสติวัล เธียเตอร์) และเมื่อเร็วๆ นี้ The Band’s Visit (บรอดเวย์ 2017) ที่ได้รับรางวัลโทนี อวอร์ด 10 รางวัล รวมถึงสาขามิวสิคัลยอดเยี่ยม, Cyprus Avenue (2018 เดอะ พับลิค เธียเตอร์, นิวยอร์ก ซิตี้), Ear for Eye (2018 รอยัล คอร์ท เธียเตอร์, ลอนดอน), Fleabag (2019 โซโห เพลย์เฮาส์ นิวยอร์ก ซิตี้) และ Sing Street (2019 นิวยอร์ก เธียเตอร์ เวิร์คช็อป) 

บร็อคโคลีดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายภาพยนตร์ของบาฟตา (สถาบันศิลปะภาพยนตร์และโทรทัศน์อังกฤษ), ประธานเนชันแนล ยูธ เธียเตอร์, ผู้อำนวยการของไทมส์ อัพ ยูเคและสมาชิกทรัสตีของอินทู ฟิล์ม องค์กรการกุศลด้านการศึกษาภาพยนตร์ที่ทำงานร่วมกับเยาวชนอายุระหว่าง 5-19 ปี วิลสันและบร็อคโคลีดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการมูลนิธิดานา แอนด์ อัลเบิร์ต อาร์ บร็อคโคลี พวกเขาเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันลอนดอน สกรีน อคาเดมี (แอลเอสเอ) ซึ่งบร็อคโคลีรับตำแหน่งผู้ดูแลด้วยเช่นกัน ระหว่างการถ่ายทำ No Time To Die วิลสันและบร็อคโคลีได้สร้างโครงการรับลูกศิษย์ ซึ่งเปิดโอกาสให้คนหนุ่มสาวยี่สิบเอ็ดคนที่มีความเป็นมาหลากหลาย ได้มีโอกาสทำงานเป็นเด็กฝึกงานที่ได้รับค่าจ้างในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว

บร็อคโคลีดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการยูเค ฟิล์ม สกิลส์ ทาสค์ ฟอร์ซในปี 2016-17 ซึ่งทำงานร่วมกับสถาบันภาพยนตร์อังกฤษ (บีเอฟไอ) เพื่อสร้างกลยุทธและการตรวจสอบทักษะเพื่อเพิ่มจำนวนคนที่ทำงานในวงการภาพยนตร์ภายในอังกฤษ มีการริเริ่มโครงการฟิวเจอร์ ฟิล์ม สกิลส์โดยบีเอฟไอและฟิล์ม เซ็คเตอร์ ทาสค์ ฟอร์ซ ทั่วอังกฤษในเดือนมิถุนายน ปี 2017 ที่สภาสามัญชน โครงการดังกล่าวได้ระบุถึงความต้องการงานด้านภาพยนตร์เพิ่ม 10,000 ตำแหน่งและการฝึกฝนสำหรับทีมงานมือใหม่ที่มีประมาณการไว้ 30,000 คน ตลอดช่วงเวลา 5 ปีหลังจากนั้น รวมถึงความทุ่มเทที่นำโดยวงการเพื่อทำให้แน่ใจว่าจะมีตัวแทนแรงงานและโอกาสจะมีสำหรับทุกคน

ในปี 2008 บร็อคโคลีและวิลสันได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นออร์เดอร์ ออฟ เดอะ บริติช เอ็มไพร์ (โอบีอี) ในปี 2013 พวกเขาได้รับรางวัลบาฟตา อวอร์ดสาขาภาพยนตร์อังกฤษดีเด่นจาก Skyfall  และในปี 2014 พวกเขาก็ได้รับรางวัลความสำเร็จเดวิด โอ. เซลส์นิคด้านภาพยนตร์จากสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกา

คริส บริกแฮม (Chris Brigham)—ผู้ควบคุมงานสร้าง

คริสบริกแฮมผู้คร่ำหวอดในวงการบันเทิงมานานได้ทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างในภาพยนตร์ยอดนิยมและได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมหลายเรื่องในรอบสองทศวรรษที่ผ่านมาก่อนหน้าการทำงานใน No Time To Die บริกแฮมได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์แฟนตาซีผจญภัยโดยพาราเมาท์พิคเจอร์สเรื่อง Bumblebee สปินออฟเรื่องแรกจากแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง Transformers นอกจากนี้เขายังได้คบคุมงานสร้างภาพยนตร์รางวัลเรื่อง Argo ซึ่งกวาดรางวัลมากมายรวมถึงสามรางวัลออสการ์ที่รวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี, รางวัลลูกโลกทองคำสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยมและรางวัลบาฟตาอวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

ผลงานอื่นๆของบริกแฮมในฐานะผู้ควบคุมงานสร้างรวมถึงดรามารางวัลโดยคริสโตเฟอร์โนแลนด์เรื่อง Inception, ภาพยนตร์สองเรื่องที่กำกับโดยมาร์ตินสกอร์เซซีเรื่อง Shutter Island และ The Aviator รวมไปถึง Live by Night, Noah, The Good Shepherd, Analyze This, The Count of Monte Cristo, The Legend of Bagger Vance และ The Mummy: Tomb of the Dragon Emperor

ผลงานอื่นๆของเขาในฐานะผู้จัดการกองถ่ายรวมถึง Six Degrees of Separation, Interview with the Vampire, Lorenzos Oil และ Born of the 4th of July ปัจจุบันเขาอยู่ระหว่างการทำงานในภาพยนตร์เรื่อง Emancipation ซึ่งนำแสดงโดยวิลสมิธและกำกับโดยอังตวนฟูกัวสำหรับแอปเปิลฟิล์มส์

มาร์ค ทิลเดสลีย์ (Mark Tildesley)—ผู้ออกแบบงานสร้าง

มาร์คทิลเดสลีย์เป็นผู้ออกแบบงานสร้างผู้ได้รับรางวัลชาวอังกฤษนอกเหนือจากการได้ทำงานใน No Time To Die ทิลเดสลีย์ยังเพิ่งได้ถ่ายทำภาพยนตร์โดยเฟอร์นานโดเมอเรลเลสเรื่อง The Two Popes ที่นำแสดงโดยแอนโธนีฮ็อปกินส์และโจนาธานไพรซ์ก่อนหน้านี้ทิลเดสลีย์และเมอเรลเลสเคยร่วมงานกันมาก่อนใน The Constant Gardener ซึ่งทำให้ทิลเดสลีย์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์ผู้กำกับศิลป์ผลงานอื่นๆเมื่อเร็วๆนี้รวมถึงภาพยนตร์ชื่อดังโดยพอลโธมัสแอนเดอร์สันเรื่อง Phantom Thread, ภาพยนตร์ชีวประวัติโดยโอลิเวอร์สโตนเรื่อง Snowden และภาพยนตร์โดยรอนโฮเวิร์ดเรื่อง In the Heart of the Sea

ผลงานของทิลเดสลีย์รวมถึงการได้ร่วมมือกับผู้กำกับคนอื่นๆมากมายเช่นแดนนีบอยล์ที่เขาออกแบบ T2: Trainspotting, Trance, Millions, 28 Days Later และ Sunshine ซึ่งทำให้ทิลเดสลีย์ได้รับรางวัลบริติชอินดีเพนเดนท์ฟิล์มอวอร์ด (บีฟา) นอกจากนี้เขายังได้ร่วมงานเป็นประจำกับผู้กำกับไมเคิลวินเทอร์บทอททอมโดยพวกเขาได้ร่วมงานกันใน The Killer Inside Me, Code 46, 24 Hour Party People, The Claim, Wonderland, With Or Without You และ I Want You นอกเหนือจากนั้นทิลเดสลีย์ยังได้ร่วมออกแบบพิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิคฤดูร้อนในกรุงลอนดอนปี 2012 ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลไพรม์ไทม์เอ็มมีอวอร์ดด้วย

ลีนัส แซนด์เกรน (Linus Sandgren)—ผู้กำกับภาพ

ลีนัสแซนด์เกรนเติบโตขึ้นในสต็อคโฮล์มประเทศสวีเดนและได้ศึกษาด้านการออกแบบกราฟิกและการวาดภาพประกอบจากเบิร์กห์สคูลออฟคอมมิวนิเคชันและด้านภาพยนตร์ที่สต็อคโฮล์มฟิล์มสคูลและได้ทำงานเป็นผู้ช่วยส่วนตัวช่างไฟและผู้ช่วยกล้องก่อนที่เขาจะเริ่มทำงานเป็นผู้กำกับภาพในปี 1999

ผลงานภาพยนตร์เปิดตัวของเขาในปี 2004 ดรามาแฟนตาซีสัญชาติสวีดิชที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง Storm ภายใต้การกำกับโดยมาร์ลินด์และสไตน์ทำให้เขาได้รับรางวัลกูลด์แบ็กก์สาขากำกับภาพยอดเยี่ยม (รางวัลสถาบันภาพยนตร์สวีดิช) ในปี 2006 เขาย้ายไปลอสแองเจลิสและทำงานโฆษณาด้วยการร่วมงานกับผู้กำกับมากมายเช่นจอห์นฮิลโค้ท, อดัมเบิร์ก, รูเพิร์ทแซนเดอร์ส, ทอมฮูเปอร์, ดูกัลป์วิลสัน, เฟรดริคบอนด์ตลอดหลายปีที่ผ่านมาแซนด์เกรนได้รับหลายรางวัลจากเวทีเมืองคานส์ไลออนส์, ดีแอนด์เอดีและคลิโออวอร์ดจากผลงานของเขา

ในปี 2012 แซนด์เกรนได้รับการว่าจ้างจากผู้กำกับกัสแวนแซงต์ให้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Promised Land และนับตั้งแตนั้นมาเขาก็ได้ร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังเดวิดโอ. รัสเซลใน American Hustle และ Joy, แลสซีฮอลสตรอมใน The Hundred Foot Journey และ The Nutcracker And The Four Realms, โจนาธานเดย์ตันและวาเลรีฟาริสใน Battle Of The Sexes และกับเดเมียนชาแซลใน La La Land และ First Man

แซนด์เกรนได้รับรางวัลอคาเดมีอวอร์ดและรางวัลบาฟตาอวอร์ดจากผลงานของเขาใน La La Land ผลงานของเขาใน First Man ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตา, รางวัลเอเอสซีอวอร์ดและรางวัลกบทองคำเขาเป็นสมาชิกของเอเอสซี (สมาคมผู้กำกับภาพอเมริกัน), เอฟเอสเอฟ (สมาคมผู้กำกับภาพสวีดิช) และสถาบันภาพยนตร์, แอมพาสและบาฟตา

เอลเลียต เกรแฮม (Elliot Graham)—มือลำดับภาพ

เอลเลียตเกรแฮมเป็นมือลำดับภาพโฆษณาและภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ดเกรแฮมได้รับปริญญาควบจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กในสาขาภาพยนตร์และประวัติศาสตร์และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ได้ทำงานในผลงานหลากหลายแนวกับผู้กำกับออเทอร์มากมายรวมถึงกัสแวนแซงต์, สตีเฟนดัลดรี้, แดนนีบอยล์และแอรอนซอร์คิน

เกรแฮมเริ่มต้นจากการทำงานในภาพยนตร์แอ็กชันซึ่งรวมถึง X-Men 2 และ Superman Returns ก่อนที่จะขยับไปดรามาเช่น Milk ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์, ภาพยนตร์โดยบอยล์เรื่อง Steve Jobs ซึ่งเขารับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารอัลบัมด้วย, ภาพยนตร์ผจญภัยภาษาโปรตุเกสของดัลดรี้เรื่อง Trash และผลงานการกำกับเรื่องแรกของซอร์คินเรื่อง Molly’s Game ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอซีอีเอ็ดดี้อวอร์ดนอกจากนี้เมื่อเร็วๆนี้เขายังเพิ่งทำงานในภาพยนตร์เรื่องแรกของมาร์เวลที่มีตัวเอกเป็นผู้หญิงเรื่อง Captain Marvel นอกเหนือจากเอพิโซดไพล็อตสำหรับซีรีส์ยอดนิยมเรื่อง House MD แล้วเกรแฮมยังได้ลำดับภาพให้กับสามเอพิโซดแรกของดรามาพีเรียดโดยบอยล์เรื่อง Trust  ที่เขารับหน้าที่ผู้ร่วมอำนวยการสร้างด้วยเช่นกัน ปัจจุบัน เขาทำงานเป็นมือลำดับภาพเสริมในทริลเลอร์สายลับของพี่น้องรุสโซเรื่อง The Grey Man

นอกจากนี้เกรแฮมยังได้ลำดับภาพให้กับโฆษณาสำหรับแบรนด์ต่างๆรวมถึงไนกี้, แอปเปิลและเร้ดบูลอีกด้วยเขาและแครีโจจิฟุกุนากะได้ร่วมงานกันครั้งแรกในสปอตโฆษณาสำหรับลีวาย America ในปี 2009 ซึ่งได้รับรางวัลมากมายในวงการหลังจากนั้นเขาก็ได้ลำดับภาพให้กับงานสร้างทั้งหมดในอเมริกาของผู้กำกับผู้นี้ใน Beasts of No Nation ก่อนที่จะได้ร่วมงานกับฟุกุนากะอีกครั้งใน No Time To Die

ทอม ครอส (Tom Cross)—มือลำดับภาพ

ทอมครอสเป็นมือลำดับภาพภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลบาฟตาและอคาเดมีอวอร์ดจากผลงานของเขาใน Whiplash เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาทัศนศิลป์จากเพอร์เชสคอลเลจและเริ่มต้นทำงานโฆษณาในนิวยอร์กซิตี้ก่อนที่จะเปลี่ยนไปทำงานภาพยนตร์อินดีเขาได้ลำดับภาพให้กับสารคดีไซไฟของมิเกลนีโกรพอนเต้เรื่อง W.I.S.O.R. และได้ทำหน้าที่มือลำดับภาพเสริมในภาพยนตร์โดยเจมส์เกรย์เรื่อง We Own The Night และ Two Lovers และเขายังได้ลำดับภาพให้กับ The Space Between และ Any Day Now โดยผู้กำกับทราวิสไฟน์อีกด้วย

หลังจากนั้นเขาก็ได้ลำดับภาพเวอร์ชันภาพยนตร์ขนาดสั้นของ Whiplash ให้กับผู้กำกับเดเมียนชาแซลหลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ร่วมงานกันอีกในภาพยนตร์เรื่อง Whiplash, La La Land และ First Man

ผลงานอื่นๆรวมถึงคอเมดีดรามาเรื่อง Joy สำหรับเดวิดโอ. รัสเซล, ภาพยนตร์เวสเทิร์นโดยสก็อตคูเปอร์เรื่อง Hostiles ที่นำแสดงโดยคริสเตียนเบลและโรซามุนด์ไพค์และมิวสิคัลโดยทเวนตี้เซ็นจูรีฟ็อกซ์เรื่อง The Greatest Showman (กำกับโดยไมเคิลเกรซีย์)

นับตั้งแต่ที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับแครีฟุกุนากะใน No Time To Die ครอสก็ได้ทำหน้าที่มือลำดับภาพเสริมในคอเมดีมิวสิคัลโดยเคย์แคนนอนเรื่อง Cinderella ที่นำแสดงโดยคามิลาคาเบลโลปัจจุบันเขาอยู่ระหว่างการลำดับภาพให้กับภาพยนตร์โดยเดเมียนชาแซลเรื่อง Babylon สำหรับพาราเมาท์พิคเจอร์ส

สุทธิรัตน์ แอนน์ ลาลาภ (Suttirat Anne Larlarb)—ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย

สุทธิรัตน์แอนน์ลาลาภทำงานในเวทีระดับโลกในฐานะผู้ออกแบบสำหรับงานภาพยนตร์โทรทัศน์และการแสดงไลฟ์ผลงานการออกแบบเครื่องแต่งกายของเธอสำหรับภาพยนตร์รววมถึง Obi Wan Kenobi, Gemini Man, American Gods, The Walk, The American, Cinema Verite, The Extra Man และภาพยนตร์โดยแดนนีบอยล์เรื่อง Slumdog Millionaire, Steve Jobs, 127 Hours (ผู้ออกแบบงานสร้างและผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย), Sunshine และพิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิคปี 2012 ที่กรุงลอนดอนผลงานละครเวทีของเธอรวมถึงละครบรอดเวย์เรื่อง Straight White Men, Waitress, Of Mice and Men ผลงานละครออฟบรอดเวย์รวมถึง Hold on to Me Darling and Dying For It, Macbeth, The Killer (ออกแบบฉาก), Macbeth ที่แอลเอโอเปราและ Frankenstein ที่รอยัลเนชันแนลเธียเตอร์ในกรุงลอนดอน

เธอได้รับรางวัลไอรีนชาราฟฟ์ยังค์มาสเตอร์อวอร์ดในปี 2016 ได้รับรางวัลเอ็มมีอวอร์ดในปี 2012 และได้รับรางวัลสมาพันธ์ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยมปี 2009 ในสาขาภาพยนตร์ร่วมสมัยเธอสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากเยลสคูลออฟดรามา

อเล็กซานเดอร์ วิทท์ (Alexander Witt)—ผู้กำกับยูนิทที่สอง

อเล็กซานเดอร์วิทท์สร้างชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในนักวิชวลที่มีพรสวรรค์สูงสุดของโลกด้วยผลงานของเขาในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลายเรื่อง No Time To Die เป็นภาพยนตร์บอนด์เรื่องที่สี่ของเขาในฐานะผู้กำกับยูนิทที่สองหลังจาก Casino Royale, Skyfall และ Spectre

วิทท์เริ่มต้นทำงานเป็นผู้ช่วยช่างกล้องและได้ฝึกฝนฝีมือภายใต้ผู้กำกับชื่อดังอย่างสเวนนิควิสต์, เกอร์รีฟิชเชอร์, ดักกลาสสโลคอมป์, แอนโธนีริชมอนด์, ดอนแม็คอัลไพน์และฯลฯในปี 1984 วิทท์ได้รับการทาบทามจากแจนเดอบอนท์ให้รับหน้าที่ผู้กำกับภาพยูนิทที่สองและผู้กำกับยูนิทที่สองในภาพยนตร์เรื่อง The Hunt for Red October, The Jewel of the Nile Speed, Speed 2: Cruise Control และ Twister

นับตั้งแต่นั้นมาผลงานของเขาก็ได้ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ยอดนิยมหลายๆเรื่องเช่น The Italian Job, Daredevil, ภาพยนตร์สงครามอีพิคโดยริดลีย์สก็อตและเจอร์รีบรั๊คไฮเมอร์เรื่อง Black Hawk Down, ภาพยนตร์โดยสก็อตที่ได้รับรางวัลอคาเดมีอวอร์ดเรื่อง Gladiator และ The Bourne Identity สำหรับ The Italian Job และ The Bourne Identity วิทท์ได้จัดฉากซีเควนซ์การไล่ล่าทางรถยนต์อ็อกเทนสูงซึ่งนักวิจารณ์หลายคนยกย่องให้เป็นซีเควนซ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ผลงานล่าสุดของเขาในฐานะผู้กำกับยูนิทที่สองรวมถึง Bird Box, Avengers: Infinity War, Terminator Genisys และภาพยนตร์ปี 2015 เรื่อง Cinderella รวมถึงภาพยนตร์ใหม่เรื่อง Jungle Cruise

ลี มอร์ริสัน (Lee Morrison)—ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์

ลีมอร์ริสันกลับมาทำงานในภาพยนตร์เจมส์บอนด์เรื่องที่ห้าของเขาหลังจากที่เขาทำงานใน Casino Royale และ Quantum Of Solace มอร์ริสันก็ได้กลายเป็นผู้ช่วยผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์ใน Skyfall และ Spectre และกลับมาทำหน้าที่ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์ใน No Time To Die

มอร์ริสันได้รับการทาบทามให้ทำงานใน Lara Croft: Tomb Raider หลังจากที่เขาได้แสดงในการแสดงฟรีสไตล์ในแอลเอผลงานหลากหลายของมอร์ริสันในแผนกสตันท์รวมถึง First They Killed My Father ทางเน็ตฟลิกซ์, The Bourne Ultimatum, Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull, Children of Men, X-Men: First Class, Avengers: Age of Ultron, The Man from U.N.C.L.E. และภาพยนตร์ปี 2018 เรื่อง Tomb Raider ผลงานล่าสุดของเขาในฐานะผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์ได้แก่  Race 3 และ The Rhythm Section ปัจจุบัน เขาดำรงตำแหน่งผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์/ผู้กำกับยูนิทที่สองสำหรับภาพยนตร์แอมบลินเรื่อง Masters of the Air หลังจากที่ทำการกำกับยูนิทที่สสองให้กับแอ็กชันคอเมดีใหม่โดยไลออนส์เกทเรื่อง Shotgun Wedding ที่นำแสดงโดยเจนนิเฟอร์ โลเปซ

โอลิวิเยร์ ชไนเดอร์ (Olivier Schneider)—หัวหน้าผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์

โอลิวิเยร์ชไนเดอร์เริ่มต้นอาชีพการเป็นสตันท์แมนของเขาในภาพยนตร์กว่าร้อยเรื่องก่อนที่จะได้ทำหน้าที่ผู้ออกแบบท่าต่อสู้และผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์ในปี 2007 เขาได้เซ็นสัญญาเพื่อออกแบบการต่อสู้ในภาพยนตร์เรื่อง Taken ที่มีเลียมนีสันนำแสดงความสำเร็จของ Taken ทั่วโลกรวมถึงอเมริกาทำให้กองถ่ายสัญชาติอเมริกันทาบทามให้เขาออกแบบท่าต่อสู้ให้กับ UNKNOWN, SAFE HOUSE, FAST AND FURIOUS 6 นอกจากนี้เขายังได้ทำงานในภาพยนตร์บอนด์สองเรื่องได้แก่ SPECTRE ในตำแหน่งผู้ออกแบบท่าต่อสู้และ NO TIME TO DIE ในตำแหน่งซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายสตันท์เขาเริ่มต้นทำงานเป็นผู้กำกับยูนิทที่สองในภาพยนตร์เรื่อง CHILD 44 นอกจากนี้การออกแบบท่าต่อสู้ที่สมจริงและมีประสิทธิภาพของเขายังเป็นที่ชื่นชมและยกย่องในฝรั่งเศสทำให้ฌาคส์ออเดียร์ดทาบทามเขาให้มาทำงานใน A PROPHET , RUST AND BONE และ THE SISTERS BROTHERS

ในปี 2016 โอลิวิเยร์ได้ร่วมกำกับซีรีส์ PLAYGROUND (10 เอพิโซดความยาว 10 นาที) ที่ถ่ายทำในภาษาอังกฤษร่วมกับทีมนักแสดงนานาชาติโดยซีรีส์นี้แพร่ภาพในวันที่ 22 มีนาคมปี 2017 (อเมริกาและยุโรป) ทางแพลทฟอร์มใหม่ในชื่อ “แบล็คพิลส์”

ปีหน้าโอลิวิเยร์จะกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา

คริส คอร์บูลด์ (Chris Corbould)—ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายสเปเชียล เอฟเฟ็กต์

  คริส คอร์บูลรับหน้าที่ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ในภาพยนตร์เจมส์ บอนด์แปดเรื่องก่อนหน้านี้ และได้ทำงานในแผนกสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ในการผจญภัยของเจมส์ บอนด์ทั้งหมด 15 ครั้ง ผลงานในหนังบอนด์ของเขาเริ่มต้นในปี 1977 ที่เขารับตำแหน่งช่างเทคนิคใน The Spy Who Loved Me ในปี 1995 เมื่อบรอสแนนได้รับบทบอนด์ใน GoldenEye เขาก็ได้ทำงานเป็นซูเปอร์ไวเซอร์เป็นครั้งแรกและนับตั้งแต่นั้น เขาก็เป็นผู้รับผิดชอบสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ในหนังบอนด์ทุกเรื่อง 

คอร์บูลด์ได้รับรางวัลออสการ์และบาฟตาจากภาพยนตร์เรื่อง Inception ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาในฐานะซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายสเปเชียล เอฟเฟ็กต์รวมถึง The Mummy, Lara Croft Tomb Raider, Tomb Raider: Cradle of Life, X-Men: First Class, Batman Begins, The Dark Knight, Dark Knight Rises, Star Wars Episode VII: The Force Awakens, Star Wars: The Last Jedi ล่าสุด เขารับหน้าที่ผู้กำกับยูนิทที่สองในภาพยนตร์เรื่อง Christopher Robin, Nutcracker and the Four Realms และ Rhythm Section เขาได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์โอบีอีจากสมเด็จพระราชินีนาถในโอกาสปีใหม่ปี 2014 จากคุณูปการที่เขามีต่อภาพยนตร์ 

เด็บบี้ แม็ควิลเลียมส์ (Debbie McWilliams)—ผู้กำกับฝ่ายคัดเลือกนักแสดง

เด็บบี้ แม็ควิลเลียมส์เป็นผู้กำกับฝ่ายคัดเลือกนักแสดงระดับแนวหน้าในเวทีระดับโลก และได้ทำการคัดเลือกนักแสดงให้กับภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ 14 เรื่องล่าสุด ประสบการณ์ที่เธอมีกับภาพยนตร์บอนด์ได้นำเธอไปทั่วโลก โดยเธอได้เลือกทั้งนักแสดงระดับเอลิสต์รวมถึงนักแสดงที่ไม่โด่งดังในสถานที่ที่แหวกขนบมากมาย เธอได้ร่วมงานกับผู้กำกับที่หลากหลาย รวมถึงดีเร็ค จาร์แมน, โรมัน โปแลนสกี้, สตีเฟน เฟรียส์, แอนโธนี มิงเกลลา, แซม เมนเดส, มาร์ติน แคมป์เบล, มาร์ค ฟอร์สเตอร์, รอน โฮเวิร์ด

ผลงานเริ่มแรกของเขารวมถึง Superman 2 และ 3, American Werewolf in London, My Beautiful Laundrette, Prick Up Your Ears และ Henry V (เคนเนธ บรานาห์) ในหลายปีที่ผ่านมา เธอได้ทำงานในภาพยนตร์เรื่อง Angels and Demons, Centurion, ซีรีส์ 12 ตอนเรื่อง Borgia สำหรับแคนัล พลัส ภายใต้การกำกับของโอลิเวอร์ เฮิร์ชบีเกลSkyfall, Spectre, No Time To Die, The Silent Storm, One Child สำหรับบีบีซี ภายใต้การกำกับของจอห์น อเล็กซานเดอร์ ผลงานล่าสุดรวมถึงภาพยนตร์เรื่อง  Film Stars Don’t Die in Liverpool ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลสมาพันธ์สมาพันธ์ผู้กำกับฝ่ายคัดเลือกนักแสดงสาขาคัดเลือกนักแสดงสำหรับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและ  The Rhythm Section สำหรับรี้ด โมราโน เมื่อเร็วๆ นี้ เธอได้ตะลุยวงการรายการจอแก้วที่ไม่มีบท และได้ก่อตั้งบริษัทโปรดักชันของตัวเอง

แม็ควิลเลียมส์เป็นสมาชิกของสมาพันธ์ผู้กำกับฝ่ายคัดเลือกนักแสดง สถาบันภาพยนตร์ เครือข่ายผู้กำกับฝ่ายคัดเลือกนักแสดงนานาชาติและสมาคมคัดเลือกนักแสดงแห่งอเมริกา เธอเป็นหนึ่งในคณะกรรมการตัดสินของเทศกาลภาพยนตร์โตเกียวในปี 2015

เจไมมา แม็ควิลเลียมส์ (Jemima McWilliams)—ผู้ช่วยคัดเลือกนักแสดง

เจไมมา แม็ควิลเลียมส์ เริ่มต้นการทำงานในวงการด้วยการแสดงงานในแผนกนักแสดงในเดอะ เคอร์ติส บราวน์ กรุ๊ป ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา เธอได้ทำงานฝ่ายคัดเลือกนักแสดงในภาพยนตร์เรื่อง The Amazing Maurice, Fatima, The Rhythm Section, Dark Corners, Robin Hood, The Foreigner และ Knightfall ทั้งทางจอแก้วและจอเงิน เธอได้ทำงานอิสระในภาพยนตร์ขนาดสั้นหลายเรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่สำหรับเนชันแนล ฟิล์ม แอนด์ เทเลวิชัน สคูล เธอเป็นสมาชิกของสมาพันธ์ผู้กำกับฝ่ายคัดเลือกนักแสดง

แดเนียล ไคลน์แมน (Daniel Klienman)—ผู้ออกแบบเมน ไตเติล

แดเนียล ไคลน์แมน ได้รับการยกย่องในฐานะหนึ่งในผู้กำกับที่โด่งดังที่สุดในแวดวงโฆษณา เขาได้รับรางวัลระดับสูงจากผลงานของเขาในเวทีเมืองคานส์, ดีแอนด์เอดี, วัน โชว์, บริติช แอร์โรว์ส, คลีโอ, ครีเอทีฟ เซอร์เคิล และ ฯลฯ หลายปีก่อนหน้านั้น เขาได้รับรางวัลเพรซิเดนท์ อวอร์ดจากครีเอทีฟ เซอร์เคิล, รางวัลแชร์แมนส์ อวอร์ดจากเวทีบริติช แอร์โรว์สและได้รับการยกย่องให้เป็นผู้กำกับที่ได้รับรางวัลมากที่สุดในโลกโดยเดอะ กันน์ รีพอร์ท นอกจากนี้ เขายังได้รับการโหวตให้เป็นผู้กำกับโฆษณาอเมริกันแห่งทศวรรษในแอดวีคอีกด้วย

ในยุค 80s ไคลน์แมนได้บุกเบิกการใช้สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ในขั้นตอนโพสต์โปรดักชันในช่วงการกำกับวิดีโอกว่า 100 เพลงนับตั้งแต่นั้นมาเขาก็ยังคงสานต่อเทรนด์ในการสร้างโฆษณาที่ต้องใช้สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ที่ซับซ้อนให้กับลูกค้าต่างๆเช่นไครส์เลอร์, โซนี, ออดี้และฯลฯเขาอาจเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการกำกับ ‘noitulovE’ ที่เต็มไปด้วยวิชวลเอฟเฟ็กต์ให้กับกินเนสซึ่งได้รับรางวัลกรังด์ปีซ์จากเมืองคานส์ปี 2006 และในช่วงที่โฆษณาชิ้นนี้ออกอากาศมันก็ช่วยทำให้กินเนสทำยอดขายได้สูงสุดและมีมูลค่าหุ้นสูงสุดจนถึงปัจจุบัน

ความสามารถของไคลน์แมนในการกำกับคอเมดีและไดอะล็อคนำไปสู่ผลงานที่โดดเด่นสำหรับบ็อดดิงตันส์และจอห์นสมิธส์โดย ‘Bear’ สำหรับจอห์นเวสต์ได้รับการยกย่องว่าเป็น “โฆษณาที่ตลกที่สุดตลอดกาล” โดยนิตยสารแคมเปญล่าสุดเขาได้กำกับแคมเปญระยะยาวสำหรับบัดเจทไดเร็ครวมถึงแคมเปญทุนหนาที่นำแสดงโดยคนดังสำหรับบรูท, อีอี, เป็ปซี, โวดาโฟนและฯลฯ

ในแวดวงจอแก้วและจอเงินภาพยนตร์เรื่อง Smashie & Nicey – The End Of An Era โดยแฮร์รีเอนฟิลด์และพอลไวท์เฮาส์ภายใต้การกำกับของไคลน์แมนได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาและได้รับรางวัลกุหลาบที่มอนโทรซ์ด้วยนอกจากนี้เขายังได้สานต่องานของมอริซบินเดอร์ในการสร้างซีเควนซ์ไตเติลสำหรับภาพยนตร์เจมส์บอนด์แปดเรื่องจากเก้าเรื่องล่าสุดอีกด้วย 

เขาหวนกลับมาทำงานมิวสิควิดีโออีกครั้งโดยเมื่อปีที่แล้วเขาได้กำกับซูเปอร์สตาร์เพลงป๊อปบิลลีไอลิชใน No Time To Die ที่มาคู่กับการเข้าฉายภาพยนตร์บอนด์ภาคล่าสุดที่หลายคนรอคอย

เกร็ก วิลสัน (Gregg Wilson)—ผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้าง

เกร็ก วิลสันเป็นลูกชายคนเล็กของผู้อำนวยการสร้างไมเคิล จี. วิลสัน และหลานชายของอัลเบิร์ต อาร์.บร็อคโคลี อดีตผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์บอนด์ผู้ล่วงลับ งานแรกของเขาในแฟรนไชส์บอนด์คือการเป็นผู้ช่วยของนักประพันธ์เดวิด อาร์โนลด์ใน ดนตรีประกอบ The World is Not Enough ใน Die Another Day ซึ่งเป็นภาพยนตร์บอนด์เรื่องถัดมา หน้าที่ของเขารวมถึงการพัฒนา การเป็นผู้ช่วยงานสร้างและการออกแบบเสียง เขายังคงทำงานเป็นนักออกแบบเสียงฟรีแลนซ์ในภาพยนตร์ โฆษณาและวิดีโอเกม รวมไปถึงงานเขียนบทและพัฒนาบทด้วย 

ในปี 2006 วิลสันได้เข้าทำงานกับอีออน โปรดักชันส์เต็มเวลาหลังจากที่ได้ร่วมงานกับมือลำดับภาพ สจวร์ต เบิร์ดในฐานะผู้ช่วยลำดับภาพใน Casino Royale นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ได้ทำหน้าที่ผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้างใน Quantum of Solace และผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้างใน Skyfall, Spectre และ Film Stars Don’t Die In Liverpool และผู้ควบคุมงานสร้างใน The Rhythm Section

ชาร์ลีย์ โนเบิล (Charlie Noble)—ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์

ชาร์ลีย์ โนเบิลเป็นซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ที่มีประสบการณ์กว่า 30 ปีในวงการวิชวล เอฟเฟ็กต์และเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งดีเอ็นอีจี เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งทำงานเป็นซูเปอร์ไวเอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ในกองถ่ายของยูนิทที่สอง ของซีเควลเรื่อง Wonder Woman 1984 โดยวอร์เนอร์ บรอส. ผลงานล่าสุดเรื่องอื่นๆ ในฐานะซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ในกองถ่าย รวมถึง The Kid Who Would Be King (ยูนิทที่สอง), Mission: Impossible – Fallout (ถ่ายทำเพิ่มเติม), Pacific Rim Uprising (ซึ่งเขาดูแลงานวิชวล เอฟเฟ็กต์ในกองถ่ายหลักและยูนิทที่สอง ในออสเตรเลีย) และ The Mummy (ถ่ายทำเพิ่มเติม)

ในปี 2016 โนเบิลได้กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับพอล กรีนกราสอีกครั้งในตำแหน่งซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ของการกลับมาอีกครั้งที่หลายคนรอคอยของเจสัน บอร์น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เคยร่วมงานกับผู้กำกับผู้นี้มาแล้วใน The Bourne Ultimatum, Green Zone และภาพยนตร์ชีวประวัติชื่อดัง Captain Phillips ผลงานของเขาใน Bourne ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลวีอีเอสเป็นครั้งที่สี่

หลังจาก Captain Phillips โนเบิลก็ได้ควบคุมงานวิชวล เอฟเฟ็กต์ของดีเอ็นอีจีในอีพิคไบเบิลโดยริดลีย์ สก็อตเรื่อง Exodus: Gods and Kings และในทริลเลอร์สงครามเย็นโดยสตีเฟน สปีลเบิร์กเรื่อง Bridge of Spies ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลวีอีเอส อวอร์ดสาขาวิชวล เอฟเฟ็กต์สนับสนุนยอดเยี่ยมในปี 2016

นับตั้งแต่การร่วมก่อตั้งดีเอ็นอีจีในปี 1998 โนเบิลก็ได้แสดงฝีมือในภาพยนตร์ชื่อดังมากมาย รวมถึง Harry Potter & The Prisoner of Azkaban, Attack the Block, Batman Begins, The Duchess และ Captain America: The First Avenger ในปี 2004 เขาได้รับรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ดจากผลงานของเขาในซีรีส์เอชบีโอเรื่อง Dreamkeeper

ไซมอน เฮย์ส (Simon Hayes)—ผู้ผสมเสียงงานสร้าง

ไซมอนเฮย์สได้รับรางวัลออสการ์สาขาผสมเสียงจากภาพยนตร์โดยทอมฮูเปอร์เรื่อง Les Miserables ผลงานของเขาใน Les Miserables ยังได้รับรางวัลบาฟตาสาขาเสียงและรางวัลซีเอเอสอวอร์ดสาขาความสำเร็จด้านการผสมเสียงอีกด้วยผลงานล่าสุดรวมถึงภาพยนตร์โดยร็อบมาร์แชลเรื่อง The Little Mermaid & Mary Poppins Returns และภาพยนตร์โดยกายริทชีเรื่อง Aladdin

เขาได้ร่วมมือเป็นประจำกับแมทธิววอห์นนับตั้งแต่ผลงานการกำกับเรื่องแรกของเขาเรื่อง Layer Cake ซึ่งทำให้ไซมอนเฮย์สได้รู้จักกับแดเนียลเคร็กนำไปสู่ความสัมพันธ์ในการทำงานที่ยอดเยี่ยมนอกจากนี้เขายังได้ร่วมมือกับกายริทชีหลายครั้งใน Lock, Stock & Two Smoking Barrels, Snatch, Revolver และ King Arthur: Knights of the Round Table

ผลงานภาพยนตร์อื่นๆของเขารวมถึงภาพยนตร์โดยเดวิดเยทส์เรื่อง Fantastic Beasts และ Where to Find Them, ภาพยนตร์โดยริดลีย์สก็อตเรื่อง Prometheus และ The Counselor, ภาพยนตร์โดยแดนนีบอยล์เรื่อง Yesterday และ Trance, ภาพยนตร์โดยแดเนียลบาร์เบอร์เรื่อง Harry Brown, ภาพยนตร์โดยพอลกรีนกราสเรื่อง Green Zone, ภาพยนตร์โดยฟิลลิดาลอยด์เรื่อง Mamma Mia! และภาพยนตร์โดยเอ็ดการ์ไรท์เรื่อง Shaun of the Dead

แอนดรูว์ โนคส์ (Andrew Noakes)—ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง

แอนดรูว์โนคส์มีประสบการณ์การทำงานในวงการภาพยนตร์ครั้งแรกจากการทำงานในช่วงวันหยุดฤดูร้อนให้กับพ่อของเขาผู้เป็นผู้ควบคุมด้านการเงินใน Superman จากจุดเริ่มต้นที่ต่ำต้อยในฐานะเด็กเสิร์ฟน้ำและเสมียนงานเอกสารใน Octopussy ตอนนี้โนคส์มีผลงานภาพยนตร์ 33 เรื่องแล้วรวมถึงภาพยนตร์เจมส์บอนด์ทุกภาคนับตั้งแต่ Octopussy ด้วย

ใน Tomorrow Never Dies โนคส์ได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้ควบคุมด้านการเงินซึ่งเป็นการสานต่องานของพ่อของเขาผู้ทำงานในภาพยนตร์ 007 มาตั้งแต่ปี 1981 ในปี 2006 เนื่องด้วยตระหนักถึงบทบาทที่เพิ่มมากขึ้นของเขาภายในแฟรนไชส์เจมส์บอนด์โนคส์จึงได้รับตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้างใน Casino Royale และ Quantum Of Solace รวมถึงตำแหน่งผู้ร่วมอำนวยการสร้างใน Skyfall และ Spectre ล่าสุดเขาได้รับหน้าที่ผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้างใน Film Stars Don’t Die in Liverpool และผู้ร่วมอำนวยการสร้างใน The Rhythm Section

เดวิด โป๊ป (David Pope)—ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง

เดวิดโป๊ปทำงานเป็นทนายความก่อนที่จะเข้าสู่วงการภาพยนตร์ในภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา GoldenEye ในปี 1995 หลังจากทำงานในลอสแองเจลิสนาน 23 ปีตอนนี้เขาทำงานในกรุงลอนดอนและทำหน้าที่กรรมการผู้จัดการของอีออนโปรดักชันส์ลิมิเต็ดโดยเขาได้ทำงานเต็มเวลาในผลงานภาพยนตร์ละครเวทีและธุรกิจลิขสิทธิ์ของไมเคิลจี. วิลสันและบาร์บาราบร็อคโคลีก่อนหน้านี้โป๊ปได้รับตำแหน่งผู้ร่วมอำนวยการสร้างในภาพยนตร์บอนด์เรื่อง Skyfall และ Spectre