Jurassic Park 3D (จูราสสิค พาร์ค กำเนิดใหม่ไดโนเสาร์) พร้อมกลับมาในระบบ 3 มิติ 30 พฤษภาคม นี้!!!

ขอต้อนรับกลับสู่ จูราสสิค พาร์ค

เนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปีของภาพยนตร์ที่เป็นหนึ่งในผลงานฮิตที่คงความนิยมมายาวนานที่สุดของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ทางสตูดิโอตัดสินใจนำภาพยนตร์ดังเรื่องนี้กลับเข้าโรงฉายทั่วโลกอีกครั้ง โดยมีการแปลงภาพยนตร์ผจญภัยซึ่งเป็นที่ชื่นชอบและโปรดปรานของยูนิเวอร์แซลเรื่องนี้ให้กลายเป็นภาพยนตร์ 3D ด้วยความละเอียดและคมชัดของภาพระดับ 4K

ขณะที่เทคโนโลยีปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงรูปแบบจนทำให้ผู้สร้างภาพยนตร์สามารถเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้ เทคโนโลยี 3D สามารถนำคนดูก้าวเข้าสู่โลกของ Jurassic Park ที่ สตีเว่น สปีลเบิร์ก เคยจินตนาการงานถ่ายทำเอาไว้ในหัว รูปแบบของการออกแบบนี้ไม่เพียงแต่ทำให้คนดูได้ก้าวสู่การเดินทางผจญภัยที่เหมือนหวนรำลึกถึงอดีตอย่างคาดไม่ถึงสำหรับคนที่เคยชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในปี 1993 แต่ยังเป็นโอกาสให้คนดูรุ่นใหม่ได้ร่วมผจญภัยเกินคาดฝันไปพร้อมกับเหล่าไดโนเสาร์ที่เหมือนจริงจนสุดมหัศจรรย์ที่เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของ สแตน วินสตัน และอินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ เมจิค

ถึงแม้คนรุ่นใหม่อาจเคยได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ทางจอเล็กๆ ของทีวี เมื่อ เล็กซ์และทิม ต้องหลอกล่อกับเจ้าเวโลซีแร็พเตอร์จอมเจ้าเล่ห์ และเคยต้องนั่งมองด้วยความยำเกรงเมื่อดร.แซ็ทท์เลอร์ และดร.แกรนท์ เดินไปเจอเข้ากับฝูงแบร็คซิโอซอรัสที่ดูงดงามตระการตาอย่างยิ่ง แต่ถึงกระนั้นพวกเขาไม่สามารถที่จะดื่มด่ำไปกับภาพและเสียงของเกาะอิสลา นูบลาร์ที่เต็มไปด้วยอันตรายในแบบที่ ไมเคิล ไครชตัน และเดวิด โค๊ปป์ ได้เคยฝันเอาไว้ จนกระทั่งบัดนี้

เป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคนที่ต้องแน่ใจว่า Jurassic Park ยังคงสร้างความสนุกสนานให้กับคนทุกวัย อันที่จริงเมื่อถูกสร้างออกมาเป็นอย่างดี เทคนิค  3D ได้นำภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าสู่โรงภาพยนตร์อย่างสมบูรณ์แบบ คนดูไม่ควรจะมุ่งหน้ากลับบ้านพร้อมกับพูดว่า “ฉากนั้นมีเอฟเฟ็กต์ 3D ที่ยอดเยี่ยมมาก!” แต่คุณควรได้รับประสบการณ์ที่โอบล้อมความคิดของคุณในจินตนาการที่ทรงพลัง เสียงดนตรีและเสียงสภาพแวดล้อมที่พุ่งทะยาน เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อภาพยนตร์ถูกแปลงไปเป็น 3D ทางทีมผู้สร้างได้ตั้งคำถามไว้ข้อหนึ่งว่า มันจะให้ความรู้สึกเช่นไรเมื่อนั่งอยู่ ณ ใจกลางวงออร์เคสตร้า

เมื่อสปีลเบิร์กจับมือร่วมงานกับ สเตอริโอ ดี (STEREO D) ทีมที่เคยออกแบบให้กับงานแปลง 3D ของภาพยนตร์ Titanic พวกเขาได้นั่งพิจารณาภาพในภาพยนตร์ Jurassic Park แบบชอตต่อชอต เพื่อหาวิธีที่จะพัฒนาภาพยนตร์เรื่องนี้ และขยายประสาทสัมผัสของคุณออกไปในทิศทางใหม่ บัดนี้ เมื่อคุณได้ยินเสียงผีเท้าของทีเร็กซ์ และได้เห็นแก้วน้ำขยับสั่นกระเพื่อม เฝ้ารอให้ลูกแร็พเตอร์ฝักออกจากไข่ และได้เห็นรถเอ็กซ์พลอเรอร์พลัดตกจากที่กั้น คุณจะรู้สึกราวกับคุณได้ก้าวเข้าสู่JurassicPark เป็นครั้งแรก

ยูนิเวอร์แซลหวังว่าคนดูคงจะเพลินเพลินไปกับ Jurassic Park ในรูปแบบ 3D เช่นเดียวกับที่ทีมงานที่ประกอบไปด้วยสมาชิกกว่า 700 คน ได้ทุ่มเทให้กับการปรับปรุงหนังให้เยี่ยมขึ้น สำหรับเพื่อนๆ ผู้รักภาพยนตร์ของเรา เราเฝ้ารอเวลาอย่างใจจดใจจ่อถึงวินาทีที่คุณจะได้ยินงานดนตรีที่ยิ่งใหญ่ของ จอห์น วิลเลี่ยมส์ ที่นำพาเราย้อนกลับคืนสู่จุดที่ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น ในฐานะของผู้แสวงหาการผจญภัยและนักโบราณคดี เราได้ร่วมแบ่งปันความมหัศจรรย์ของการได้เห็นไดโนเสาร์เดินท่องไปบนโลกอีกครั้ง…และในความยำเกรงเมื่อมนุษย์บุกไปที่นั่นเพื่อทักทายพวกมัน

เบื้องหลังการแปลงภาพยนตร์ให้เป็น 3D

เมื่อตอนที่ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Jurassic Park นั้น ทั้งทีมนักแสดงและทีมงานของเขาต่างโชคดีที่ได้อยู่ท่ามกลางฉากหลังเหล่าไดโนเสาร์ที่เป็นงาน 3D ที่น่าตื่นตาจากฝีมือของ สแตน วินสตัน และพวกมันได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาในกองถ่าย ผสมรวมเข้ากับงานซีจีระดับสุดยอดของไอแอลเอ็ม และการแสดงอันสุดเข้มข้นของเหล่านักแสดงที่เป็นมนุษย์ จึงเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่ Jurassic Park จะกลายเป็นประสบการณ์การแปลงงานให้เป็น 3D ในแบบที่ทุกคนทุ่มเทสุดตัว

ไม่ว่าจะเป็นในฉากที่อัดแน่นไปด้วยแอ็กชั่น อย่างเช่นฉากที่เวโลซีแร็พเตอร์ต่อสู้กับทีเร็กซ์อย่างยิ่งใหญ่ หรือจะเป็นฉากเงียบๆ ที่ต้องใช้ความคิด เมื่อดร.แซ็ทท์เลอร์และจอห์น แฮมมอนด์ คุยกันเหนือถ้วยไอศกรีมเกี่ยวกับปัญหาด้านวิสัยทัศน์ของแฮมมอนด์ สปีลเบิร์กได้สร้างเฟรมชอตภาพต้นฉบับเหล่านี้เพื่อทำให้รู้สึกเหมือนเป็นภาพที่มีหลายมิติอยู่แล้ว เมื่อถึงเวลาต้องลงมือแปลงภาพให้เป็น 3D การตัดสินใจเลือกในอดีตของสปีลเบิร์ก ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นองค์ประกอบที่ช่วยทาง สเตอริโอ ดี ได้มาก เมื่อทางสตูดิโอได้แปลงเนื้อหาของ Jurassic Park ให้กลายเป็นภาพ 3D อันยิ่งใหญ่

เพื่อพัฒนาภาพยนตร์แอ็กชั่นผจญภัยที่ยิ่งใหญ่เรื่องนี้ ต้องใช้ศิลปินกว่า 700 ชีวิตเพื่อจัดการกับรายละเอียดเล็กๆ แต่ละอย่างภายในทุกเฟรมภาพ เพิ่มความลึกให้กับชอตภาพ จากนั้นก็สร้างมิติให้กลายเป็นงาน 3D เพื่อขยายจอภาพ.

งานนี้เดินหน้าลุยกันแบบไม่กลัวเกรงใดๆ ในระหว่างการแปลงภาพ สปีลเบิร์กคอยระมัดระวังที่จะไม่ปรับเปลี่ยนความหมายของฉากต่างๆ หรือเพิ่มซาวน์เอฟเฟ็กต์ให้กับตัวภาพยนตร์ต้นฉบับ เป้าหมายของเขาคือการปรับฟอร์แม็ตภาพให้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มเม็ดฝนเข้าไปในส่วนของโฟร์กราวน์เมื่อเราได้เห็นทีเร็กซ์ครั้งแรก หรือการเพิ่มความเร็วเข้าหาดวงตาของเราเมื่อรถเอ็กซ์พลอเรอร์ไถลตกไปตามต้นไม้ เป้าประสงค์ของสปีลเบิร์กก็เพื่อทำให้เรามุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าและหลังกล้อง

การแปลง Jurassic Park ให้กลายเป็นภาพยนตร์ 3D ใช้เวลาทำงานนานกว่าเก้าเดือน ทีมงานต้องทำงานกันเช่นไร สเตอริโอ ดี ได้รับงานมาในรูปแบบของภาพยนตร์สองมิติ และได้ใส่ข้อมูลเข้าไปในงานและระบบจัดการ

หลังจากกระบวนการเสร็จสิ้นลง ทีมโรโตสโคปปิ้งและทีมสร้างความลึกของ สเตอริโอ ดี เริ่มต้นทำงานของพวกเขา โดยได้วิเคราะห์องค์ประกอบที่อยู่ภายในแต่ละเฟรมภาพของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทีมสร้างความลึกของภาพได้ใช้ซอฟต์แวร์ของ สเตอริโอ ดี ที่เรียกว่า วีดีเอ็กซ์ จากนั้น ถ้าชอตไหนมีความจำเป็น ทีมวิชวลเอฟเฟ็กต์ภายในของบริษัทจะเพิ่มกำลังขยายของปัจจัยต่างๆ อาทิเช่น (แต่ไม่จำกัด) ควัน ประกายไฟ ฝน หรือแม้แต่เศษธุลีเล็กๆ

สุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด ทีมสีของ สเตอริโอ ดี ได้ขัดสีฉวีวรรณชอตภาพเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อใหแน่ใจว่าจะได้ผลลัพธ์สุดท้ายที่มีความสวยงาม โดยได้ใส่รายละเอียดที่หายไปที่ถูกเผยให้เห็นด้วยการทำให้ชอตภาพนั้นๆ เป็น 3D

กับภาพยนตร์ในปัจจุบัน  บ่อยครั้งที่การแปลงภาพยนตร์ให้เป็น 3D จะเกิดขึ้นในช่วงหลังการถ่ายทำ และสเตอดิโอ ดีจะได้รับองค์ประกอบต่างๆ ในทุกชั่วโมงหรือทุกวัน กับภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่อย่าง Jurassic Park ความยาวนานของเวลาในการดัดแปลง ขึ้นอยู่กับปัจจัยมากมาย อาทิ สภาพของฟิล์มเนกาทีฟต้นฉบับ ความยาวของภาพยนตร์ และความยากหรือรายละเอียดในเนื้อหา

เพราะองค์ประกอบด้านธรรมชาติ อย่างเช่น ฝนและใบไม้ในป่า ถูกมองว่าเป็นงานที่ยากที่สุดที่จะสร้างขึ้นในการแปลงให้เป็นภาพ 3D Jurassic Park ในเวอร์ชั่น 3D จึงกลายเป็นแบบฝึกหัดที่น่าสนใจสำหรับสมาชิกในทีมหลายร้อยคน อันที่จริง เม็ดฝนที่ถูกแปลงให้เป็น 3D ในภาพยนตร์เรื่องนี้มีมากกว่าที่เคยถูกสร้างกันมาในงาน 3D เพื่อให้แน่ใจว่าคนดูจะรู้สึกเหมือนพวกเขาย่ำไปในการผจญภัยนี้พร้อมกับเหล่าฮีโร่ของเราจริงๆ

การเพิ่มภาพแนวระนาบให้กับภาพโฟร์กราวน์ มิดเดิลกราวน์ และแบ็คกราวน์ ให้กับภาพยนตร์ Jurassic Park ในเวอร์ชั่น 3D จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนคุณอยู่ในรถกับทิมและเล็กซ์ เมื่อทีเร็กซ์โจมตีรถของพวกเขา อันที่จริง การแปลงภาพเป็น 3D กลับทำให้ขนาดรายละเอียดของไดโนเสาร์ดีขึ้นจนถึงจุดที่คุณรู้สึกราวกับว่าคุณอาจเอื้อมมือออกไปและสัมผัสตัวของพวกมันได้เลยทีเดียว

การนำคนดูบุกเข้าไปใน Jurassic Park เสียงมีความสำคัญมากพอๆ กับภาพ เสียงฝีเท้าของทีเร็กซ์ขณะวิ่งเข้าหาคนดูในภาพยนตร์เวอร์ชั่นสามมิตินี้ จะให้เสียงที่อลังการมากกว่าในเวอร์ชั่นสองมิติ ดังนั้น ทีมออกแบบเสียงจึงใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีในปัจจุบัน และโรงภาพยนตร์สมัยใหม่เพื่อให้เสียงมีความลึกและมีความแตกต่างของระดับเสียงมากขึ้น

สำหรับคนดู ไม่เพียงแต่เสียงร้องระดับต่ำของแบร็คชิโอซอว์รัสจะฟังดูระรื่นหูมากขึ้นเท่านั้น แต่เสียงคำรามก้องของทีเร็กซ์ที่กำลังโกรธ ก็ฟังดูน่าสยดสยองมากขึ้นด้วย สำหรับเสียงคำรามของทีเร็กซ์ ผู้ออกแบบเสียงได้ทำการปรับแต่งการบันทึกเสียงร้องของลูกช้าง เมื่อนำมาตัดต่อ เปิดถอยหลังกลับและยืดเสียงออก เสียงที่ได้ก็คือการสร้างมิติของเสียงให้กับไดโนเสาร์ตัวเอกของเรา และเพื่อกระชากคนดูให้เข้าไปอยู่กลางฉาก 3D เสียงจะพุ่งเข้าหาคนดูมากขึ้นกว่าเดิม

บัดนี้ ขอพาทุกคนย้อนกลับไปในเวลาที่ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น

 

เบื้องหลังงานสร้างJurassic Parkต้นฉบับ:วันที่ 7 พฤษภาคม1993

 

นี่ไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์ แต่มันคือเรื่องราวผลของวิทยาศาสตร์

 

—สตีเว่น สปีลเบิร์ก

 

คุณตัดสินใจจะควบคุมธรรมชาติ นับจากวินาทีนั้น

คุณถลำลึกสู่ปัญหา เพราะคุณไม่มีทางทำได้

คุณสร้างเรือได้ แต่คุณสร้างทะเลไม่ได้

คุณสร้างเครื่องบินได้ แต่คุณสร้างท้องฟ้าไม่ได้

อำนาจของคุณมีน้อยกว่าที่ความฝันทำให้คุณเชื่อนัก

 

—ไมเคิล ไครชตัน

 

ลองจินตนาการว่าคุณคือหนึ่งในแขกกลุ่มแรกที่ได้มาเยือน Jurassic Park ซึ่งเป็นการผสมรวมการค้นพบทางวิทยาศาสตร์เข้ากับจินตภาพ คุณมาถึงในสภาพที่ไม่ต่างไปจากเด็ก หลุดพ้นจากอคติใดๆ และพร้อมที่จะเผชิญกับทุกอย่าง การผจญภัยของคุณกำลังจะเริ่มต้น

เมื่อก้าวผ่านประตูของพาร์ค ประสาทสัมผัสของคุณรู้สึกเต็มตื้นเพราะโลกรอบตัว เสียง กลิ่น แม้แต่ความรู้สึกของพื้นดินก็ต่างออกไปจนชวนให้อยากรู้อยากเห็น ในบางแห่งระยะไกลๆ คุณได้ยินการเคลื่อนไหวของสัตว์ขนาดใหญ่ พื้นสั่นสะเทือนเมื่อพวกมันเดินผ่าน คุณคือคนแปลกหน้าในโลกที่แสนประหลาด

คุณมองดูท้องฟ้ามืดมิด มองดูดวงดาวที่ก่อกำเนิดแสงขึ้นนานก่อนมนุษย์จะมีตัวตน เมื่อเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตเดินอยู่บนโลก เป็นสัตว์ที่ทรงพลัง เป็นผู้ปกครองโลกมานานกว่า 160 ล้านปี เช่นเดียวกับดวงดาวที่แสนเก่าแก่เหล่านี้ จูราสสิคเหลือทิ้งไว้เพียงร่องรอย ในซากฟอสซิล รอยเท้า เซลล์เลือดที่ติดค้างอยู่ในอำพัน แคปซูลกาลเวลาที่ยังคงเหลืออยู่มานานเป็นพันปี

บัดนี้ แคปซูลกาลเวลาถูกเปิดออก มนุษย์และไดโนเสาร์ สองผู้ปกครองโลก จะได้มาเผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรก

แหล่งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดของเราอุทิศให้กับการนำ Jurassic Park มาสู่ความเป็นจริง จินตนาการในวัยเด็กเป็นจริง สถานที่ที่ความมหัศจรรย์มีชีวิต มันถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นสวนสนุกสุดอัศจรรย์ แต่ใครบางคนหลงลืมที่จะบอกพวกไดโนเสาร์

การเผชิญหน้ากับไดโนเสาร์ในสภาพแวดล้อมของพวกมัน เรารู้ดีว่าพวกมันไม่ใช่สัตว์ประหลาด แต่เป็นสัตว์ที่มีความว่องไวมีความเฉลียวฉลาด และมีอันตรายเกินกว่าที่เราคาดคิด เราสามารถให้กำเนิดไดโนเสาร์ได้ แต่ไม่มีสิ่งใดเตรียมเราให้พร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อไข่ไดโนเสาร์ฟักตัว

Jurassic Park คือที่ที่วิทยาศาสตร์สิ้นสุด และสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เริ่มต้นขึ้น

ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย สตีเว่น สปีลเบิร์ก จากหนังสือเบสต์เซลเลอร์ของ ไมเคิล ไครชตัน  Jurassic Park นำแสดงโดย แซม นีลล์ ในบท ดร.อลัน แกรนท์ นักโบราณคดีชื่อดังที่ได้รับการขอร้องให้มาเป็นผู้สำรวจตรวจสอบสวนสนุกอันน่าตื่นตา ลอร่า เดิร์น รับบทเพื่อนร่วมงานของเขา ดร.เอลลี่ แซ็ทท์เลอร์, เจฟฟ์ โกลด์บลัม รับบทเป็นนักคณิตศาสตร์ผู้เก่งกาจแต่นิสัยแปลกประหลาด เจ้าของทฤษฎีความวุ่นวายที่อธิบายถึงอันตรายที่สุ่มซ่อนอยู่ในโครงการนี้ และเซอร์ ริชาร์ด แอ็ทเทนเบอโรห์ ในบท จอห์น แฮมมอนด์ ผู้สร้างสุดทะเยอทะยานของสวนสนุกแห่งนี้, อาเรียน่า ริชาร์ดส์ และโจเซฟ มาซเซลโล่ รับบทหลานชายและหลานสาวของแฮมมอนด์ ที่ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ก็คือ บ็อบ เพ็ค, มาร์ติน เฟอร์เรโร่, บีดี หว่อง, ซามวล แอล แจ็คสัน และเวย์น ไนท์

แคธลีน เคนเนดี้ และเจอรัลด์ อาร์ โมเลน อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เป็นผลงานของแอมบลิน เอนเตอร์เทนเม้นต์ ที่สร้างให้กับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ลาทา ไรอันคือแอสโซซิเอท โปรดิวเซอร์ ไมเคิล ไครชตัน และเดวิด โค๊ปป์รับหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์ งานหลังกล้องประกอบไปด้วย ผู้กำกับภาพ ดีน คันดี้, โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ ริค คาร์เตอร์ และผู้ลำดับภาพ ไมเคิล คาห์น

นอกเหนือจากทีมนักแสดงที่มีความสามารถแล้ว Jurassic Park ยังเต็มไปด้วยดาราผู้ยิ่งใหญ่ต่างกันไป เป็นเวลานานมากกว่า 18 เดือนก่อนหน้าการถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้น ทีมออกแบบระดับคว้ารางวัล ได้คิดสร้างสรรค์และลงมือสร้างไดโนเสาร์ที่จะอาศัยอยู่ในสวนสนุกแห่งนี้ขึ้นมา ตั้งแต่ไทแรนโนซอว์รัสตัวใหญ่ยักษ์ จนถึงเวโลซีแร็พเตอร์ที่แสนดุร้าย Jurassic Park มีทั้งระดับความสมจริงและการคิดประดิษฐ์เชิงเทคนิคในแบบที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อนในภาพยนตร์

ทีมออกแบบที่มีพรสวรรค์ ซึ่งรวมถึง สแตน วินสตัน ที่ได้รับคำชมอย่างสูงที่รับผิดชอบดูแลงานสร้างไดโนเสาร์ที่มีตัวตนสัมผัสได้จริงๆ, เดนนิส มูเรน จากไอแอลเอ็ม ที่รับผิดชอบสร้างไดโนเสาร์ที่เคลื่อนที่ได้, ฟิล ทิปเป็ตต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ที่ดูแลงานสร้างไดโนเสาร์, ไมเคิล แลนเทียรี่ ผู้ดูแลสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ไดโนเสาร์ และงานวิชวลเอฟเฟ็กต์โดย อินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ เมจิค ความสำเร็จของพวกเขาทั้งแต่ละคนและโดยส่วนรวม ยังรวมถึงความสำเร็จทางด้านรายได้อย่างมหาศาลจากภาพยนตร์อย่าง Star Wars จนถึง Terminator 2: Judgment Day

เบื้องหลังงานสร้าง

 

ในเดือนพฤษภาคม ปี 1990 ยูนิเวอร์แซลได้รับหนังสือที่เพิ่งพิมพ์ออกจากแท่นพิมพ์ของนักเขียนขายดี ไมเคิล ไครชตัน เรื่อง “JurassicPark” และภายในเวลาแค่ชั่วโมงเดียว ยูนิเวอร์แซลในฐานะตัวแทนของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ได้เจรจาเพื่อขอซื้อลิขสิทธิ์หนังสือเล่มนี้

“มันคือหนึ่งในโปรเจ็กต์ที่เห็นได้ชัดเลยว่าคือภาพยนตร์ของสปีลเบิร์ก” ผู้อำนวยการสร้าง แคธลีน เคนเนดี้ ซึ่งทำงานใกล้ชิดกับสปีลเบิร์กมานานกว่า 14 ปี บอก “ถ้าคุณลองพิจารณางานของสตีเว่น บ่อยครั้งที่เขามีความสนใจในธีมเกี่ยวกับเรื่องพิเศษๆ ที่เกิดขึ้นกับคนธรรมดา”

“สำหรับผม สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับโปรเจ็กต์นี้โดยเฉพาะ ก็คือ มีความเป็นวิทยาศาสตร์มากพอๆ กับที่มีการผจญภัยและเรื่องน่าตื่นเต้น” สปีลเบิร์กกล่าว “Jurassic Park เป็นลูกผสมระหว่างสวนสัตว์กับสวนสนุก เป็นเรื่องเกี่ยวกับไอเดียที่ว่ามนุษย์สามารถที่จะนำไดโนเสาร์กลับคืนสู่โลกในอีกหลายล้านปีต่อมา และสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเรามาร่วมมือกัน”

นักเขียน ไมเคิล ไครชตัน ผู้ใช้เวลาสองปีในการเขียนหนังสือเล่มนี้ ได้เห็นการประมูลและการเจรจาจากสตูดิโอยักษ์ใหญ่ทั้งสี่ที่แย่งชิงลิขสิทธิ์ของหนังสือเล่มนี้ แต่เขาพอใจที่ได้รู้ว่าสปีลเบิร์กสนใจจะมากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ในเวลาไม่ถึงอาทิตย์ ยูนิเวอร์แซลประกาศว่า Jurassic Park จะเป็นผลงานการกำกับของ สปีลเบิร์ก ผู้ประสบความสำเร็จในการผสมรวมศิลปะและวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกันในงานสร้างภาพยนตร์อย่าง Close Encounters of the Third Kind และ E.T. The Extra-Terrestrial

ความเป็นมาอันโดดเด่นของไครชตัน ในฐานะผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ด และยังเป็นนักเขียนนิยาย ผู้เขียนบทภาพยนตร์ และผู้กำกับภาพยนตร์ เคยนำสายตาอันเฉียบคมของเขามาสู่การสร้างสรรค์ภาพยนตร์แนวเทคโน ทริลเลอร์ อย่าง “The Andromeda Strain” และ “The Terminal Man”  เรื่องราวนี้ที่พูดถึงสวนสนุกที่เต็มไปด้วยไดโนเสาร์ที่เป็นการตัดต่อทางพันธุกรรม เกิดมาจากความเป็นกังวลที่เขามีต่อความรุ่งโรจน์ของ “ความเชื่อทางวิทยาศาสตร์” “ผมเชื่อว่าวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่ทรงอำนาจนะ แต่ก็เป็นเครื่องมือที่มีขอบเขตจำกัด” ไครชตันกล่าว

ด้วยการจินตนาการภาพของ จอห์น แฮมมอนด์ เศรษฐีพันล้านผู้ลงทุนสร้างสวนสนุก เป็นเสมือน “วอลท์ ดิสนีย์ ด้านมืด” เรื่องราวของไครชตันวางการผจญภัยเอาไว้ในงานด้านชีวพันธุกรรมที่กำลังกลายเป็นกระแสโต้แย้งในเรื่องของผลดี

“มีคำถามสำคัญอยู่ในเรื่องนี้” สปีลเบิร์กกล่าว “การโคลนนิ่งจากดีเอ็นเออาจใช้งานได้ แต่มันเป็นที่ยอมรับหรือไม่ ถูกต้องหรือเปล่าที่มนุษย์จะทำเช่นนี้ หรือไดโนเสาร์ปิดฉากของพวกมันลงไปแล้วเมื่อหนึ่งล้านปีก่อน”

สปีลเบิร์กที่เป็นแฟนไดโนเสาร์มาตั้งแต่เด็ก เล่าว่า “คำยาวๆ คำแรกๆ ที่ผมหัดพูด ก็คือชื่อพันธุ์ของไดโนเสาร์ และเมื่อแม็กซ์ ลูกชายของผมอายุสองขวบ เขาไม่เพียงแต่แยกพันธุ์ไดโนเสาร์ได้ แต่ยังออกเสียง “อิกัวนาดอน’ ได้ด้วย”

“ผมคิดว่าอย่างหนึ่งที่ทำให้เด็กๆ สนใจ ก็คือ พวกไดโนเสาร์มีความลึกลับ มีคำกล่าวจากนักจิตวิทยาจากฮาร์วาร์ดที่ถูกถามว่าทำไมเด็กๆ ถึงชอบไดโนเสาร์มาก เขาตอบว่า  ‘ง่ายมากเลย พวกมันตัวใหญ่ พวกมันดุร้าย และพวกมันตายหมดแล้ว’”

“แต่ตอนนี้พวกมันกลับมาแล้ว” สปีลเบิร์กหัวเราะ ทั้งไครชตันและสปีลเบิร์กต่างมองงานโบราณคดีว่าเป็นเสมือนผลงานการสืบสวน เป็นเหมือนการคิดสรุปอนุมานเหตุการณ์แบบเชอร์ล็อค โฮล์มส์

“เมื่อตอนที่ผมเห็นงานขุดซากไดโนเสาร์ครั้งแรก มันดูเหมือนฉากอาชญากรรมเลย” สปีลเบิร์กเล่า “มีริบบิ้นกั้นเต็มพื้นที่ไปหมด มีคนทำงานเหมือนพวกเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่คอยพิสูจน์หลักฐาน ที่มีแปรงคอยปัดหารอยนิ้วมือ ผมชอบที่ได้ใช้เวลาในช่วงฤดูร้อนอยู่ในมอนทาน่าเพื่อทำเช่นนั้น”

ในช่วงฤดูร้อนของปี 1990 เคนเนดี้และสปีลเบิร์กเริ่มต้นระดม “ทีมในฝัน” ที่จะช่วยสร้างรากฐานในงานสร้างสรรค์ให้กับ “Jurassic Park” คนแรกที่เข้ามาร่วมทีม ได้แก่ โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ที่มีพรสวรรค์ ริค คาร์เตอร์ ผู้เคยสร้างสรรค์ผลงานให้กับ Back to the Future Part II และ III ความร่วมมือครั้งแรกระหว่างเขากับแอมบลินเริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาออกแบบโปรดักชั่นให้กับ Amazing Stories ทั้ง 42 ตอน

ขณะที่ ไมเคิล ไครชตัน เริ่มต้นดัดแปลงหนังสือที่มีความซับซ้อนของเขาให้กลายเป็นบทภาพยนตร์ที่มีความยาวเท่าภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง คาร์เตอร์ได้เริ่มต้นทำงานกับเหล่าศิลปินวาดภาพประกอบและศิลปินวาดภาพสตอรี่บอร์ด ที่ช่วยกันแปลงถ้อยคำของไครชตันให้กลายเป็นภาพขึ้นมา เป้าหมายของคาร์เตอร์คือการค้นหาส่วนผสมที่ดูสมจริงของวิทยาศาสตร์ เรื่องแฟนตาซี และความเป็นจริงที่เขาเปรียบเทียบว่าเป็น Close Encounters of a Prehistoric Kind

หนึ่งในความท้าทายของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือการลดจำนวนสายพันธุ์ไดโนเสาร์ของไครชตันจาก 15 ชนิดให้เหลือแค่ 6 ชนิดที่เหมาะกับการทำงาน ขั้นตอนต่อไป มีการค้นคว้าเพื่อหารูปแบบการเคลื่อนไหวของไดโนเสาร์ในภาพยนตร์  ลาทา ไรอัน แอสโซซิเอท โปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เข้ามาร่วมงานด้วยในเดือนกันยายน ปี 1990 โดยได้เผชิญกับความท้าทายในการช่วยสร้างทีมเอฟเฟ็กต์ระดับหัวกะทิของวงการ ที่จะมอบชีวิตให้กับไดโนเสาร์ ในอีกหลายเดือนข้างหน้า ไรอันได้กลายมาเป็นนักออกแบบที่มีภารกินอันน่าหวั่นเกรง เป็นการช่วยสื่อสารและสร้างความชัดเจนให้กับทีมเอฟเฟ็กต์สี่ทีมที่แยกกันทำงาน

ในประวัติศาสตร์ ฉากสัตว์ที่มีขนาดใหญ่นั้น มักถูกสร้างออกมาได้ดีที่สุดด้วยการถ่ายภาพโดยใช้เทคนิคสต็อป-โมชั่นรูปแบบเก่า แต่สปีลเบิร์กคาดหวังว่าจะผลักดันขอบเขตของงานเอฟเฟ็กต์ออกไป และพัฒนาเทคโนโลยีที่ยังไม่เคยถูกใช้มาก่อน หลังจากได้ศึกษาพูดคุยกับบริษัทเอฟเฟ็กต์ทุกแห่งในเมือง ทีมผู้อำนวยการสร้างได้เลือกกลุ่มคนทำเอฟเฟ็กต์ระดับปรมาจารย์ที่ได้รับความท้าทายให้เดินไปยังจุดที่ยังไม่มีมนุษย์คนใดเคยเดินถึงมาก่อน

เคนเนดี้เล่าว่า “มันคือความฝันที่กลายเป็นความจริงที่ได้ตัว สแตน วินสตัน, ฟิล ทิปเป็ตต์, เดนนิส มูเรน และไมเคิล แลนเทียรี่มาอยู่ในภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน”

สแตน วินสตัน สตูดิโอ ได้รับการติดต่อให้สร้างไดโนเสาร์ที่จับต้องได้จริงๆ เป็นสัตว์ขนาดเท่าตัวจริงที่ทั้งรวดเร็วและเคลื่อนไหวได้ วินสตันซึ่งเป็นผู้สร้างปาฏิหาริย์ทั้งในงานเม้คอัพเอฟเฟ็กต์ และเอฟเฟ็กต์สัตว์ และยังเคยได้รับคำชมมาแล้วจากภาพยนตร์ดังๆ อย่าง The Terminator, Aliens และ Terminator 2 เขาได้แบ่งโปรเจ็กต์นี้ออกเป็นสามส่วน นั่นก็คือการค้นคว้า การออกแบบ และการสร้าง

ด้วยการอุทิศตัวให้กับการสร้างตัวละครที่มีความเข้มข้นที่ทั้งน่าตื่นตาและยิ่งใหญ่ วินสตันและทีมงานของเขาใช้เวลาหนึ่งปีเต็มในขั้นตอนของการค้นคว้า ด้วยการปรึกษากับนักโบราณคดี พิพิธภัณฑ์ และศึกษาหนังสือเป็นร้อยๆ เล่ม ศิลปินของวินสตันได้เตรียมภาพสเก็ตช์ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่ต่อมาได้กลายมาเป็นรูปปั้น และสุดท้ายได้กลายมาเป็นไดโนเสาร์ตัวใหญ่ยักษ์ เช่น ไทแรนโนซอว์รัส เร็กซ์ ที่สูง 20 ฟุต

เพื่อจัดการกับความยิ่งใหญ่ของโปรเจ็กต์นี้ที่รออยู่เบื้องหน้า วินสตันได้รวบรวมทีมที่มีทั้งศิลปินและวิศวกร เพื่อให้คุณเข้าใจถึงความรับผิดชอบที่มีความซับซ้อนของทีมงานแต่ละทีม เชิญพบกับ “ทีมเร็กซ์” ซึ่งประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่  12 คนที่ทำหน้าที่หลากหลายแตกต่างกันไป ทีเร็กซ์ที่สูง 20 ฟุต ถูกสร้างจากโครงที่เป็นไฟเบอร์กลาส และดินเหนียวจำนวน 3,000 ปอนด์ ที่ถูกหุ้มไว้ด้วยผิวที่ทำจากลาเท็กซ์ที่มีความอ่อนตัวแต่ทนทาน จากนั้นก็ได้ทีมศิลปินอีกทีมเข้ามาเป็นคนทาสี ศิลปินกลุ่มนี้จะผสมผสานโทนสีต่างๆ เพื่อทำให้ร่างกายของไดโนเสาร์ดูมีชีวิตขึ้นมา จากนั้น ทีเร็กซ์จะถูกติดตั้งเอาไว้กับเครื่อง “ไดโน-ซิมูเลเตอร์” ซึ่งเป็นระบบกลไกที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเทคโนโลยีไฮโดรลิค และสร้างโดยอิงจากเครื่องซิมูเลเตอร์จำลองการบินที่กองทัพอากาศใช้ เมื่อได้รากฐานแล้ว ทั้งตัวแท่นและตัวทีเร็กซ์ก็สามารถที่จะเดินหน้าโดยผ่านการควบคุมที่แผงควบคุมคอมพิวเตอร์

ขณะเดียวกัน ทีเร็กซ์ในเวอร์ชั่นสเกลลำดับที่ 5 ได้ถูกสร้างขึ้น ดังนั้น การเคลื่อนไหวที่เหมือนจริงของไดโนเสาร์จึงเกิดขึ้นจากการบังคับด้วยมือของผู้บังคับหุ่นสี่คน เมื่อทีเร็กซ์ตัวเล็ก (มีชื่อว่า วัลโด้) ได้ซักซ้อมการเคลื่อนไหวและแอ็กชั่นต่างๆ ตามที่ฉากหนึ่งๆ ต้องการ คอมพิวเตอร์จะบันทึกการเคลื่อนไหวนั้นไว้ และตั้งโปรแกรมให้กับทีเร็กซ์ตัวใหญ่เพื่อให้ไดโนเสาร์สามารถเคลื่อนที่ได้เหมือนกันทุกอย่าง ขณะที่ทีมผู้บังคับควบคุมวัลโด้ เป็นผู้ควบคุมส่วนหัว ลำตัว หาง และมือของทีเร็กซ์ ทีมนักบังคับหุ่นอีกทีมหนึ่งจะหมอบอยู่ใกล้ๆ เพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของดวงตา ปาก ฟัน และกรงเล็บของทีเร็กซ์

สแตน วินสตัน สตูดิโอ ที่ว่าจ้างศิลปิน วิศวกร และนักบังคับหุ่นมากกว่า 60 ชีวิตในขั้นตอนงานสร้าง Jurassic Park ยังได้สร้าง ไทแรนโนซอว์รัสขนาด 20 ฟุต, เวโลซีแร็พเตอร์สูง 6 ฟุต, แบร็คชิโอซอว์รัสคอยาว, ไทรเซราท็อปที่กำลังป่วย, กัลลิไมมัส, ดิโลโฟซอว์รัส (ฉายา “สปิตเตอร์”) และลูกแร็พเตอร์ที่กำลังฟักออกจากไข่

เพราะความท้าทายในการสร้างไดโนเสาร์ “ที่มีชีวิต” ได้ สแตน วินสตัน มาจัดการให้แล้ว สปีลเบิร์กจึงได้หันเหความสนใจของเขาไปที่ความสำคัญของการถ่ายภาพแบบจำลองสำหรับมุมกว้างหรือในชอตที่มีความยาวเต็มที่ เขานำความคิดที่มีไปมอบหมายงานให้กับ ฟิล ทิปเป็ตต์ แอนิเมเตอร์และพ่อมดเอฟเฟ็กต์เจ้าของรางวัลออสการ์ ซึ่งเป็นผู้ออกแบบระบบที่เรียกว่า โก-โมชั่น ซิสเต็ม (เป็นเทคนิคสต็อปโมชั่นที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น) ขณะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ ทิปเป็ตต์ ซึ่งเคยทำงานให้กับไอแอลเอ็มมาก่อน ตั้งฐานทัพอยู่ในเบิร์กลี่ย์, แคลิฟอร์เนีย และเขาได้เริ่มต้นระดมทีมงานที่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบสร้างชอตภาพแบบโก-โมชั่นมากกว่า 50 ชอต

นอกจากการออกแบบท่าทางการเคลื่อนไหวของไดโนเสาร์ในภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ทิปเป็ตต์ยังต้องเป็นผู้รับผิดชอบจัดสร้าง “แอนิเมติคส์” ซึ่งเป็นหนทางที่จะช่วยให้ทางผู้สร้างภาพยนตร์ได้เตรียมตัวและซักซ้อมในฉากที่มีทีเร็กซ์และเวโลซีแร็พเตอร์ที่มีความซับซ้อนอย่างมาก

ตั้งแต่เริ่มต้นทำงาน สปีลเบิร์กได้ปรึกษากับอินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ เมจิค บริษัทเอฟเฟ็กต์ที่ก่อตั้งโดย จอร์จ ลูคัส และเคยร่วมงานกันมาในภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง เดนนิส มูเรน ซึ่งเป็นเอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ของบริษัทไอแอลเอ็ม และเคยได้รับรางวัลออสการ์มาแล้วถึง 6 รางวัล รู้สึกกระตือรือร้นที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมทำงานกับ Jurassic Park แต่เพราะสปีลเบิร์กหวังจะใช้ไดโนเสาร์ขนาดเท่าของจริงและเทคนิคโก-โมชั่น เขาจึงไม่แน่ใจเกี่ยวกับบทบาทของไอแอลเอ็มในโปรเจ็กต์นี้

แต่หนึ่งปีต่อมา เมื่อสปีลเบิร์กทำงานประสานอย่างใกล้ชิดกับไอแอลเอ็มในฐานะผู้กำกับของภาพยนตร์เรื่อง Hook การสนทนาได้เริ่มต้นขึ้นใหม่ ไอแอลเอ็มที่เป็นผู้นำในด้านการสร้างภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิคให้กับภาพยนตร์ เพิ่งจะคิดสร้างรูปแบบการสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์ และเทคนิคที่น่าทึ่งในระหว่างสร้างภาพยนตร์เรื่อง Terminator 2: Judgment Day สมาชิกหลายคนในทีมคอมพิวเตอร์กราฟฟิคของไอแอลเอ็ม จึงได้ทดลองแนวคิดให้กับ Jurassic Park โดยพวกเขาได้สร้างกระดูกและโครงกระดูกไดโนเสาร์ขึ้นในคอมพิวเตอร์ นับจากนั้นพวกเขาจึงได้สร้างทีเร็กซ์ที่เดินได้ขึ้นมา

ด้วยความประทับใจที่มีต่อผลลัพธ์ในการทดลองครั้งนี้ ในไม่ช้า บริษัทแอมบลิน เอนเตอร์เทนเมนต์ได้เปิดไฟเขียวให้ไอแอลเอ็มเพื่อสร้างชอตภาพเพิ่มเติมหลายฉาก โดยเฉพาะฉากการวิ่งแตกตื่นอลหม่านของเหล่าไดโนเสาร์ และฉากมุมกว้างที่แสดงภาพฝูงไดโนเสาร์ที่ยืนอยู่ด้านหน้าฉากวิวอันกว้างใหญ่ เมื่อมูเรนกลับมาหาแอมบลินอีกครั้ง เขาทำให้ทีมผู้สร้างภาพยนตร์ที่นั่นต้องตื่นตะลึงด้วยฉากที่สร้างขึ้นจากคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาพทีเร็กซ์กำลังเดินอยู่ในตอนกลางวันแสกๆ กลับกลายเป็นว่าการถือกำเนิดของภาพที่สร้างจากคอมพิวเตอร์ ในไม่ช้าเทคนิคโก-โมชั่นอาจต้องสูญพันธุ์ไป

ถึงแม้ว่าผลงานของทิปเป็ตต์จะถูกส่งมอบให้กับไอแอลเอ็ม แต่เขาได้กลายมาเป็นสมาชิกที่ทรงคุณค่าของ “ทีมเปลี่ยนถ่าย” และเขาได้สร้างขั้นตอนการฝึกให้กับเหล่ากราฟฟิค ดีไซเนอร์ของไอแอลเอ็มเพื่อสอนพวกเขาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของไดโนเสาร์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในระหว่างดำเนินงานสร้าง

ไมเคิล แลนเทียรี่ ซึ่งเป็นผู้นำทีมเอฟเฟ็กต์ทีมที่ 4 ได้ร่วมงานกับแอมบลินมาแล้วในภาพยนตร์หลายเรื่อง เขาเคยทำงานกับ โรเบิร์ต เซเมคคิส ในภาพยนตร์เรื่อง Who Framed Roger Rabbit? และ Back to the Future Part II และ III และยังได้ร่วมงานกับสปีลเบิร์กในภาพยนตร์เรื่อง Indiana Jones and the Last Crusade และ Hook ทีมของเขาเป็นผู้รับผิดชอบงานระบบกลไก ซึ่งรวมถึงการสร้างเครนกลางแจ้ง และระบบไฮโดรลิคขนาดใหญ่ที่จะเป็นตัวขยับขับเคลื่อนไดโนเสาร์ตัวมหึมาไปรอบๆ กลุ่มของแลนเทียรี่ยังรับผิดชอบงานเคลื่อนกล้องด้วยสายสลิงที่ถูกปรับแต่งเพื่อให้เคลื่อนกล้องตามไดโนเสาร์ของ สแตน วินสตัน ได้อย่างไหลลื่นื

ในช่วงระหว่างสองปีที่เตรียมงานถ่ายทำ Jurassic Park สปีลเบิร์ก, เคนเนดี้ หรือผู้อำนวยการสร้าง เจอร์รี่ โมเลน ไม่เคยได้หยุดพัก โดยพวกเขายังต้องรับผิดชอบดูแลงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง Hook ซึ่งเป็นเรื่องราวการผจญภัยในจินตนาการที่อิงจากเรื่องราวของ ปีเตอร์ แพน

ขณะเดียวกันนั้น การทำงานในส่วนของบทภาพยนตร์ยังคงดำเนินไป โดยเริ่มต้นจากโครงร่างบทฉบับแรกของ ไมเคิล ไครชตัน ต่อมา เดวิด โค๊ปป์ นักเขียนบทหนุ่มไฟแรงที่เคยร่วมเขียนบทให้กับภาพยนตร์ตลกเสียดสีเรื่อง Death Becomes Her ได้ถูกดึงตัวเข้ามาร่วมงานด้วย และเขาได้เครดิตร่วมกับไครชตัน

ถึงตอนนี้งานก่อสร้างดำเนินไปในฮอลลีวู้ดในโรงถ่ายที่ใหญ่ที่สุดของยูนิเวอร์แซลถึงสองแห่ง และต่อมา ได้ขยายไปยังโรงถ่ายอีกสามแห่ง รวมถึงโรงถ่ายขนาดใหญ่ยักษ์ที่วอร์เนอร์ บราเธอร์ส สตูดิโอ

ขั้นตอนการคัดเลือกตัวนักแสดงใช้เวลาน้อยมาก เริ่มจากการได้ตัว เซอร์ ริชาร์ด แอ็ทเทนเบอโรห์ เจ้าของผลงานภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมในฐานะผู้กำกับ ซึ่งเป็นงานที่ทำให้เขาต้องเลิกรับงานแสดงมาตั้งแต่ปี 1979

“ผมคิดว่าสตีเว่นคืออัจฉริยะ” แอ็ทเทนเบอโรห์ ซึ่งก่อนหน้านั้นเพิ่งจะกำกับภาพยนตร์เรื่อง “Chaplin” เสร็จ บอก “และที่ผ่านๆ มาเขาก็เคยขอให้ผมทำงานให้กับเขามาหลายรอบแล้ว หลังจากผมได้อ่านหนังสือเรื่องนี้ ผมคิดว่าถ้าจะมีใครสักคนบนโลกที่สามารถสร้างภาพยนตร์อย่างเรื่องนี้ได้ ก็ต้องเป็น สตีเว่น สปีลเบิร์ก นี่แหละ”

ผู้มารับบท ดร.อลัน แกรนท์ ก็คือ แซม นีลล์ ผู้สวมวิญญาณเป็นนักโบราณคดีด้านธรณีวิทยาที่ไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ที่เขาต้องมาทัวร์สวนสนุก Jurassic Park ร่วมกับเด็กเสียงดังสองคน, ลอร่า เดิร์นรับบท ดร.เอลลี่ แซ็ทท์เลอร์ นักโบราณคดีด้านพืชที่เป็นทั้งผู้ร่วมงานและคนรักของดร.แกรนท์, เจฟฟ์ โกลด์บลัม ซึ่งแต่งตัวด้วยชุดสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้า รับบท เอียน มัลคอล์ม นักคณิตศาสตร์เพี้ยนที่ทำนายชะตากรรมของสวนสนุกแห่งนี้เอาไว้ล่วงหน้า

เมื่อ Jurassic Park เริ่มต้นงานถ่ายทำบนเกาะ Kauai ในวันที่ 24 สิงหาคม 1992 มันกินเวลาสองปีกับหนึ่งเดือนพอดีนับแต่ที่พวกเขาเริ่มเตรียมงานสร้างกัน เกาะที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวใกล้ๆ กับ Lihue คือฉากที่เหมาะที่สุดสำหรับฉากกลางแจ้งของ Jurassic Park แต่หลังจากถ่ายทำภายใต้แสงอาทิตย์ของเขตร้อนไปได้สามอาทิตย์ ชีวิตสุดเข้มข้นก็มาเยือนภาพยนตร์เรื่องนี้

พายุเฮอร์ริเคน Iniki มุ่งหน้ามายังKauaiอย่างรวดเร็ว และทางโรงแรมได้ขอให้ทีมงานเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋า และเปิดน้ำลงอ่างอาบน้ำให้เต็ม เผื่อเอาไว้ในกรณีที่เกิดขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าและน้ำ ต่อมา พวกเขายังได้รับคำแนะนำให้เก็บกระเป๋าสำหรับใช้หนึ่งวัน และลงไปพบกันที่ห้องบอลรูมของโรงแรมที่อยู่ที่ชั้นล่างสุด

เวลา 9 นาฬิกา พายุมุ่งตรงมาที่เกาะแห่งนี้ เคธี่ เคนเนดี้เล่าว่า “พวกเราเริ่มลากข้าวของลงมาที่ห้องบอลรูม โดยทีมงานกล้องได้เก็บอุปกรณ์ของพวกเขาลงหีบอย่างรวดเร็ว ถ้าคุณจะต้องไปติดเกาะอยู่กับใครละก็ ขอให้ไปติดเกาะอยู่กับทีมสร้างหนังนี่แหละ” เคนเนดี้บอก “เรามีเครื่องปั่นไฟ และมีอาหารและน้ำตุนไว้มากมาย เราสามารถดูแลตัวเองได้เพราะพวกเราต้องย้ายโลเกชั่นเพื่อทำงานอยู่ตลอดเวลา”

พวกเขาต้องตั้งแค้มป์อยู่ที่ชั้นล่างของโรงแรม ขณะนั้นทั้งทีมนักแสดงและทีมงานต้องนั่งฟังเสียงลมที่มาถึงในเวลา 16 นาฬิกา และถล่มใส่พวกเขาด้วยความเร็วเกือบๆ 120 ไมล์ต่อชั่วโมง “เสียงมันเหมือนรถไฟด่วนวิ่งผ่านตึกไปเลย” เคนเนดี้เล่า

เมื่อน้ำเริ่มไหลซึมเข้ามาในด้านหนึ่งของห้องบอลรูม ทีมงานต่างไปกระจุกตัวอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของห้อง แต่ในเวลา19.30 นาฬิกา เคนเนดี้และ แกรี่ ไฮมส์ ผู้ประสานงานสตั๊นต์ ได้ก้าวออกไปด้านนอกสู่ความเงียบงัน “มันเป็นเรื่องที่ชวนขนลุกที่สุดที่ฉันเคยเห็นมาเลย” เคนเนดี้เล่า “ในตอนเช้าวันนั้นเรายังยืนอยู่บนถนนสวยที่มีต้นไม้เรียงเป็นทาง ซึ่งอยู่ติดกับสนามกอล์ฟ และตอนนี้ต้นไม้พวกนั้นทุกต้นล้มลงแบนราบไปกับพื้นจนหมด”

ถึงแม้พวกเขายังมีกำหนดจะต้องถ่ายทำกันอีกหนึ่งวัน แต่พลังของพายุ Iniki ได้จู่โจมใส่ฉากทั้งหมดไปแล้ว ไม่มีไฟฟ้าหรือโทรศัพท์ที่ใช้งานได้บนเกาะแห่งนี้ ดังนั้นในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เคนเนดี้จึงต้องวิ่งไปที่สนามบินเป็นระยะทางสองไมล์เพื่อดูว่าพวกเขายังมีทางเลือกอื่นเหลือหรือไม่

“ที่สนามบินพบความเสียหายอย่างมาก” เธอเล่า “หน้าต่างตรงทางเดินแตกหมด และตัวตึกก็เต็มไปด้วยต้นปาล์ม ต้นไม้ ทรายและน้ำ เฮลิคอปเตอร์ทุกลำโดนพัดจนเอียงกะเท่เร่”

ต้องขอบคุณความพยายามอย่างยิ่งยวดของเธอ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ของสนามบินและของกองทัพใน Lihue ทำให้เคนเนดี้สามารถเดินทางไปยังฮอนโนลูลู ด้วยเครื่องบิน Salvation ของกองทัพ และเริ่มต้นจัดการงานทุกอย่างผ่านโทรศัพท์สาธารณะ ตลอด  24  ชั่วโมงต่อมา เธอไม่เพียงแต่ประสานงานเพื่อให้ทีมงานทุกคนเดินทางกลับมาได้อย่างปลอดภัยเท่านั้น แต่เธอยังได้จัดเตรียมเครื่องอุปโภคบริโภคจำนวน 20,000 ปอนด์ที่ถูกขนส่งจากฮอนโนลูลูและลอสแอนเจลิส เพื่อส่งมายังKauaiอีกด้วย

เมื่อกลับมายังลอสแอนเจลิส  Jurassic Park กลับมาเดินหน้าถ่ายทำกันต่อที่ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ โรงถ่าย 24 กลายเป็นห้องครัวที่มีขนาดเท่ากับโรงงานให้กับศูนย์นักท่องเที่ยวของจูราสสิคพาร์ค ซึ่งจะต้องโดนสองเวโลซีแร็พเตอร์บุกถล่ม ขณะที่ทีมของวินสตันเป็นผู้จัดการงานที่เกี่ยวข้องกับแร็พเตอร์ที่เคลื่อนไหวได้ตั้งแต่หัวถึงหาง อาเรียน่า ริชาร์ด และโจเซฟ มาซเซลโล่ สองนักแสดงเด็ก นั่งหลบอยู่ที่มุมห้อง เพื่ออินไปกับการรับบทสองเด็กที่ติดอยู่ในความฝันที่โหดร้ายที่สุด

จากตรงนั้น ทีมงานเก็บข้าวของและยกขบวนเคลื่อนย้ายไปยังอุทยานแห่งชาติเร็ด ร็อค แคนย่อน ซึ่งอยู่ตรงปลายด้านตะวันตกของทะเลทรายโมจาวี เร็ดร็อคที่ถูกเลือกเป็นสถานที่ถ่ายทำเนื่องจากมีความละม้ายคล้ายกับจุดขุดพบซากไดโนเสาร์ในมอนทาน่า ได้ต้อนรับทีมนักแสดง ลอร่า เดิร์น และแซม นีลล์ โดยทั้งคู่ได้รับการชี้แนะจากหนึ่งในนักโบราณคดีที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศแจ็ค ฮอร์เนอร์ ฮอร์เนอร์ที่เป็นโปรเฟสเซอร์อยู่ที่มหาวิทยาลัยมอนทาน่า และเป็นหัวหน้าภัณฑารักษ์ด้านโบราณคดีอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ร็อคกี้ส์ในโบซแมน ได้กลายมาเป็นสมาชิกอันทรงคุณค่าของทีมงานชุดนี้ และยังทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านโบราณคดีอย่างเป็นทางการให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย

กลับมาที่โรงถ่าย 27 กองถ่ายเริ่มต้นทำงานกับฉากที่มีความซับซ้อน โดยเป็นการเผชิญหน้าระหว่างมนุษย์กับทีเร็กซ์ตัวมหึมา ขณะมันพยายามจะจัดการกับรถฟอร์ด เอ็กซ์พลอเรอร์ จนทำให้รถห้อยติดอยู่กับกิ่งของต้นไม้ขนาดใหญ่ รถทั้งคันที่ทีมงานของ ไมเคิล แลนเทียรี่ นำไปห้อยไว้ด้วยสายเคเบิ้ลโลหะ จะต้องค่อยๆ ลื่นไถลมาตามกิ่งไม้จนตกลงสู่พื้นด้วยแรงกระแทกอย่างแรง เมื่อสิ้นสุดการถ่ายทำ ป่าในโรงถ่าย 27 ต้องถูกตกแต่งใหม่เพื่อถ่ายทำเพิ่มอีกสามฉาก ได้แก่ ฉากที่แบรคชิโอซอว์รัสมาเยือนพวกเขาแต่เช้าตรู่, ฉากการโจมตีมัลดูน (บ็อบ เพ็ค) อย่างไม่ทันตั้งตัว และฉากที่ เดนนิส เนดรี้ (เวย์น ไนต์) จะต้องเผชิญหน้ากับไดโนเสาร์สปิตเตอร์

ที่โรงถ่าย 28 เป็นที่ตั้งของหัวใจของจูราสสิค พาร์ค นั่นก็คือห้องควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ และห้องฟักไข่ไดโนเสาร์ ห้องควบคุมที่อยู่ภายใต้การนำทีมของ ไมเคิล แบ็คส์ ผู้ออกแบบคอมพิวเตอร์เอฟเฟ็กต์ คือสำนักงานใหญ่ที่มีอุปกรณ์ไฮเทคมูลค่าหนึ่งล้านดอลล่าร์ โดยพวกเขาได้ขอยืมมาจากบริษัทที่เป็นผู้นำของวงการ อย่างเช่น ซิลิค่อน กราฟฟิคส์, ซูเปอร์แม็ค, แอ๊ปเปิ้ล และธิงกิ้ง แมชชีนส์

เมื่อการบ่อนทำลายของเนดรี้ส่งผลให้ห้องควบคุมต้องอลหม่าน คนดูจะได้เห็นจอทีวีเพื่อให้เข้าใจถึงปัญหาที่แขกผู้มาเยือนสวนไดโนเสาร์แห่งนี้ต้องเผชิญระหว่างที่เขาออกทัวร์ภายในพาร์คในฐานะแขกพิเศษ

เมื่อพิจารณาจากขนาดและความยิ่งใหญ่  ฉากที่อยู่ในความทรงจำมากที่สุดของ Jurassic Park ก็คือศูนย์นักท่องเที่ยวที่ถูกสร้างขึ้นที่โรงถ่าย 12 แต่ที่สูสีกันก็คือ ทีเร็กซ์ แพ็ดด็อค ซึ่งตั้งอยู่ที่โรงถ่ายที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของวอร์เนอร์ บราเธอร์ส สตูดิโอส์ แลนเทียรี่และทีมงานของเขาได้สร้างเคเบิ้ลสลิงที่สามารถเคลื่อนไหวไดโนเสาร์ขนาด  3,000 ปอนด์ ซึ่งต้องร่วมแสดงกับนักแสดงที่เป็นคน ในการถ่ายทำที่ยาวนานท่ามกลางลม ฝน และโคลน

ฉากสุดท้ายที่เป็นไคลแม็กซ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำกันที่โรงถ่าย 12 ในห้องโถงที่มีหลังคาโดมขนาดใหญ่ ซึ่งตามที่บทภาพยนตร์บรรยายเอาไว้นั้น มันยังคงอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง เมื่อ จอห์น แฮมมอนด์ พาแขกผู้มาเยือนเข้าไปในล็อบบี้หลัก สิ่งแรกที่พวกเขามองเห็นก็คือโครงกระดูกไดโนเสาร์ขนาดใหญ่สองโครงที่ถูกจัดแสดงเอาไว้ตรงกลางโดม

โครงกระดูกไดโนเสาร์ที่ถูกสร้างขึ้นโดย รีเซิร์ช แคสติ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งตั้งอยู่ที่โตรอนโต้ มีขนาดเท่ากับทีเร็กซ์ตัวจริง เท่ากับมันต้องมีความยาวประมาณ 40 ฟุต และอลาโมซอว์รัส ที่มีความยาว 45 ฟุต

ขณะที่ทีมงานและทีมนักแสดงยกแก้วที่มีแชมเปญขึ้นเพื่อฉลองกันในค่ำคืนสุดท้ายของการถ่ายทำ สปีลเบิร์กที่สีหน้าเหนื่อยอ่อนแต่ยังคงมีท่าทีกระตือรือร้น ได้ประกาศว่า Jurassic Park โปรเจ็กต์สุดทะเยอทะยานซึ่งใช้เวลาในการวางแผนนานสองปี และใช้เวลาถ่ายทำนานสี่เดือน ได้เสร็จสิ้นลงแล้วโดยงบไม่บานปลายและยังเสร็จล่วงหน้ากว่าที่กำหนดไว้ถึง 12 วัน

****

                ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ ผลงานการสร้างของ แอมบลิน เอนเตอร์เทนเม้นต์  Jurassic Park นำแสดงโดย แซม นีลล์, ลอร่า เดิร์น, เจฟฟ์ โกลด์บลัม, ริชาร์ด แอ็ทเทนเบอโรห์, บ็อบ เพ็ค, มาร์ติน เฟอร์เรโร่, บีดี หว่อง, ซามวล แอล แจ็คสัน, เวย์น ไนท์, โจเซฟ มาซเซลโล่, อาเรียน่า ริชาร์ดส์, งานสร้างหุ่นไดโนเสาร์เป็นฝีมือของ สแตน วินสตัน, ไดโนเสาร์ที่เคลื่อนที่ได้ เป็นฝีมือของ เดนนิส มูเรน, เอเอสซี, ไดโนเสาร์ ซูเปอร์ไวเซอร์ ได้แก่ ฟิล ทิปเป็ตต์, ผู้ดูแลงานสเปเชียลเอฟเฟ็กต์เกี่ยวกับไดโนเสาร์ ได้แก่ ไมเคิล แลนเทียรี่ ดนตรีประกอบเป็นฝีมือของ จอห์น วิลเลี่ยมส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ลำดับภาพโดย ไมเคิล คาห์น เอซีอี โปรดักชั่นดีไซเนอร์ ได้แก่ ริค คาร์เตอร์ ผู้กำกับภาพ ได้แก่ ดีน คันดี้, เอเอสซี ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากนิยายของ ไมเคิล ไครชตัน บทภาพยนตร์เป็นฝีมือของ ไมเคิล ไครชตัน และเดวิด โค๊ปป์ ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย แคธลีน เคนเนดี้ และเจอรัลด์ อาร์ โมเลน กำกับโดย สตีเว่น สปีลเบิร์ก งานวิชวล เอฟเฟ็กต์ เป็นฝีมือของ อินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ เมจิค ผลงานการสร้างของ Universal Picture  050793

 

ประวัตินักแสดง (ประวัติในปี 1993)

 

แซม นีลล์ (SAM NEILL) รับบท ดร.อลัน แกรนท์

แซม นีลล์รับบทนักโบราณคดีด้านธรณีวิทยาที่ตกลงที่จะไปเยี่ยมชมจูราสสิค พาร์ค และพบว่ามันคือบ้านของไดโนเสาร์เป็นๆ หลากหลายสายพันธุ์

นีลล์แจ้งเกิดจากวงการภาพยนตร์นิวซีแลนด์ และกลายมาเป็นดาราดังระดับโลก เขาเป็นที่รู้จักจากบทบาทที่หลากหลาย รวมถึงบท แฮร์รี่ บีแชม ในภาพยนตร์เรื่อง My Brilliant Career ซึ่งเขาแสดงนำร่วมกับ จูดี้ เดวิส, รับบท ซิดนี่ย์ ไรลลี่ (สายลับที่เก่งกาจที่สุดที่โลกเคยรู้จัก) ในภาพยนตร์เรื่อง Reilly: Ace of Spies และรับบท ไมเคิล แชมเบอร์เลน ใน A Cry in the Dark ซึ่งเขาประกบบทกับ เมอริล สตรีพ

นีลล์ยังแสดงนำในภาพยนตร์ของ เจน แคมเปี้ยน เรื่อง The Piano โดยประกบบทกับ ฮอลลี่ ฮันเตอร์ และฮาร์วี่ย์ ไคเทล และร่วมแสดงกับ แองเจลินก้า ฮุสตัน ในภาพยนตร์เรื่อง Family Pictures ซึ่งสร้างจากนิยายขายดีของ ซู มิลเลอร์

นีลล์ยังแสดงนำในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น Dead Calm, Memoirs of an Invisible Man, Until the End of the World และ The Hunt for Red October

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ Death in Brunswick ซึ่งเขาได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลดารานำชายยอดเยี่ยมจากสถาบันภาพยนตร์ออสเตรเลี่ยน; The Good Wife และผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา Sleeping Dogs ซึ่งเป็นผลงานการกำกับเรื่องแรกของ โรเจอร์ โดนัลด์สัน

 

ลอร่า เดิร์น (LAURA DERN) รับบท ดร.เอลลี่ แซ็ทท์เลอร์

ลอร่า เดิร์นรับบทนักโบราณคดีด้านพืช หนึ่งในคนกลุ่มแรกที่มาเที่ยวชมจูราสสิคพาร์ค

เดิร์นเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ และรางวัลลูกโลกทองคำ จากการรับบท  โรส ในภาพยนตร์เรื่อง Rambling Rose ซึ่งเธอร่วมแสดงกับ โรเบิร์ต ดูวัลล์ และ ไดแอน แล็ดด์ แม่ของเธอเอง

เดิร์นยังแสดงนำในภาพยนตร์ของ HBO เรื่อง Afterburn ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ อาชีพในแวดวงภาพยนตร์ของเดิร์น เริ่มต้นขึ้นตอนเธออายุ 7 ขวบ ขณะที่เธอไปหาแม่ที่กองถ่ายภาพยนตร์เรื่อง Alice Doesn’t Live Here Anymore ผู้กำกับ มาร์ติน สกอร์เซซี่เห็นเธอ และขอให้เธอมาแสดงเป็นตัวประกอบ เมื่อเธออายุ 11 ปี เดิร์นเริ่มประเดิมงานแสดงโดยประกบบทกับ โจดี้ ฟอสเตอร์ในเรื่อง Foxes

เดิร์นได้รับรางวัล New Generation Award  จาก Los Angeles Film Critics Association จากภาพยนตร์เรื่อง Smooth Talk and Mask เธอยังแสดงนำในภาพยนตร์ของ เดวิด ลินช์ สองเรื่อง คือ Blue Velvet และ Wild at Heart ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ Fat Man and Little Boy, Haunted Summer และ Teachers

 

เจฟฟ์ โกลด์บลัม (JEFF GOLDBLUM) รับบทดร.เอียน มัลคอล์ม

เจฟฟ์ โกลด์บลัมรับบทนักคณิตศาสตร์ที่ใช้ ทฤษฏีความยุ่งเหยิง เพื่อทำนายหายนะที่จะเกิดขึ้นกับจูราสสิคพาร์ค

ผลงานภาพยนตร์ที่ผ่านมาของโกลด์บลัม ได้แก่  Nashville, Invasion of the Body Snatchers, Threshold, The Right Stuff, The Big Chill, The Adventures of Buckaroo Banzai Across the 8th Dimension, Into the Night, Silverado, The Fly, Earth Girls Are Easy, The Tall Guy, Twisted Obsession, Mister Frost, Fathers & Sons และ Deep Cover

 

ริชาร์ด แอ็ทเทนเบอโรห์ (RICHARD ATTENBOROUGH) รับบท จอห์น แฮมมอนด์

ริชาร์ด แอ็ทเทนเบอโรห์รับบทเป็นมหาเศรษฐีนักพัฒนาที่ดินที่ใช้เงินของเขาเพื่อสร้างสวนสนุกที่พิเศษที่สุดในโลก

แอ็ทเทนเบอโรห์ที่เป็นทั้งผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับที่คว้ารางวัล เริ่มต้นเข้าวงการในฐานะนักแสดง และแสดงนำในภาพยนตร์มาแล้วมากกว่า 50 เรื่อง เขาได้ก้าวมาอยู่หน้ากล้องครั้งแรกนับแต่ปี 1979 เมื่อเขาร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง The Human Factor

ในปี 1942 แอ็ทเทนเบอโรห์ประเดิมงานแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกโดยรับบทเป็นกลาสีเรือขี้ขลาดในภาพยนตร์ของ โนเอล คาวเวิร์ด เรื่อง In Which We Serve แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้รับการเรียกตัวให้ไปรับใช้ชาติในกองถ่ายของกองทัพอากาศ เมื่อกลับมาลอนดอนน เขาได้แสดงนำในภาพยนตร์หลายเรื่องก่อนที่เขาจะหันเหมาจับงานอำนวยการสร้าง

ในปี 1959 แอ็ทเทนเบอโรห์ได้ร่วมมือกับเพื่อนนักแสดง ไบรอัน ฟอร์บส์ เพื่อก่อตั้งบริษัท บีเวอร์ ฟิล์มส์ ผลงานของบริษัทนี้ ได้แก่ The Angry Silence, All Night Long, Whistle Down the Wind และ Seance on a Wet Afternoon ซึ่งกำกับโดย ไบรอัน ฟอร์บส์ และทำให้แอ็ทเทนเบอโรห์ได้รับรางวัลบัฟต้า ยังได้รับรางวัลในสาขาดารานำชายยอดเยี่ยมอีกครั้งในปี 1964 ในภาพยนตร์เรื่อง Guns at Batasi

ความสำเร็จของภาพยนตร์ดังๆ ติดตามมาหลายเรื่อง อาทิเช่น The Flight of the Phoenix, The Sand Pebbles, Doctor Dolittle, The Great Escape, The Bliss of Mrs. Blossom และ The Chess Players

แอ็ทเทนเบอโรห์ประเดิมงานกำกับเรื่องแรกในปี 1969 ด้วยภาพยนตร์เรื่อง Oh! What a Lovely War ติดตามมาด้วย Young Winston, A Bridge Too Far and Magic

ในปี 1982 แอ็ทเทนเบอโรห์ประสบความสำเร็จอย่างสูงด้วยการอำนวยการสร้างและกำกับภาพยนตร์เอพิค เรื่อง Gandhi ซึ่งได้รับห้ารางวัลบัฟต้า และแปดรางวัลออสการ์ รวมถึงรางวัลในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และผู้กำกับยอดเยี่ยม หลังจากนั้น เขากำกับภาพยนตร์เรื่อง A Chorus Line, Cry Freedom และ Chaplin

 

อาเรียน่า ริชาร์ดส์ (ARIANA RICHARDS) รับบท อเล็กซิส หรือ “เล็กซ์”

อาเรียน่า ริชาร์ดส์รับบทเป็นเด็กหญิงวัย 12 ปีที่เดินทางมาเยี่ยมคุณตาของเธอที่จูราสสิคพาร์ค

ในปี 1991 ริชาร์ดได้รับรางวัล  Youth in Film Award สาขาดาราเด็กหญิงยอดเยี่ยมที่แสดงนำในหนังทีวี จากซีรีส์สุดฮิตเรตติ้งสูงเรื่อง Switched at Birth เธอได้รับรางวัลเดียวกันนี้ในปี 1992 จากบทบาทในหนังของซีบีเอส เรื่อง Locked Up: A Mother’s Rage

ริชาร์ดส์เริ่มแสดงในงานโฆษณาตอนอายุ 7 ปี นับแต่นั้นเธอทำงานอย่างต่อเนื่องทั้งในแวดวงภาพยนตร์และทีวี ผลงานภาพยนตร์ของเธอ ได้แก่ Disaster in Time: The Grand Tour, Tremors, Spaced Invaders, Prancer, ภาพยนตร์ของ HBO เรื่อง Into the Homeland และ I’m Gonna Git You Sucka

โจเซฟ มาซเซลโล่ (JOSEPH MAZZELLO) รับบท ทิม

โจเซฟ มาซเซลโล่ในวัย 9 ปี รับบทเป็นเด็กชายผู้รักไดโนเสาร์ ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นที่ได้มาเยี่ยมคุณตาที่จูราสสิคพาร์ค

มาซเซลโล่ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง  Radio Flyer และรับบทสำคัญในเรื่อง Presumed Innocent และ Jersey Girls

มาซเซลโล่เริ่มได้รับบทนำบทแรกตอนอายุ 5 ขวบในหนังทีวีที่พูดถึงเรื่องการทำร้ายเด็ก เรื่อง Unspeakable Acts เขายังร่วมแสดงกับ โจแอนน์ เคิร์นส์ ในหนังทีวีเรื่อง Desperate Choices: To Save My Child

 

บ็อบ เพ็ค (BOB PECK) รับบท โรเบิร์ต มัลดูน

บ็อบ เพ็ค นักแสดงชาวอังกฤษรับบทเป็นผู้ควบคุมจูราสสิคพาร์ค

เพ็คมีผลงานการแสดงในละครเวทีมากมายหลายเรื่อง เขายังแสดงนำในละครเวทีเรื่อง The Road to Mecca ซึ่งกำกับโดย อาโธล ฟูการ์ด

เพ็คมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในแวดวงทีวี เขาแสดงนำในซีรีส์หลายต่อหลายเรื่องของ บีบีซี อาทิเช่น An Ungentlemanly Act, Natural Lies, Children Crossing, After Pilkington  และ Edge of Darkness ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลบัฟต้าในปี 1985 ในสาขาดารานำชายยอดเยี่ยม

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเพ็ค ได้แก่ On the Black Hill, The Kitchen Toto, Slipstream และ Ladder of Swords

 

มาร์ติน เฟอร์เรโร่ (MARTIN FERRERO) รับบท โดนัลด์ เจนนาโร่

มาร์ติน เฟอร์เรโร่ รับบทเป็นทนายขี้สงสัยที่เป็นตัวแทนนักลงทุนที่ร่วมลงทุนสร้างจูราสสิคพาร์ค

เฟอร์เรโร่เป็นที่รู้จักจากบทบาทในซีรีส์ยอดฮิต เรื่อง Miami Vice เขายังร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Oscar, Stop! Or My Mom Will Shoot, Planes, Trains and Automobiles, Gung Ho และ High Spirits

 

บีดี หว่อง (B.D. WONG) รับบท ดร.วู

บีดี หว่องรับบทนักชีวพันธุศาสตร์ที่ค้นพบกระบวนการในการโคลนนิ่งดีเอ็นเอไดโนเสาร์ใน Jurassic Park

หว่องมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักจากบทบาทการแสดงในละครบรอดเวย์ เรื่อง M. Butterfly ที่เขาแสดงร่วมกับ จอห์น ลิธกาว

ผลงานภาพยนตร์ของเขา ได้แก่ Father of the Bride, Mystery Date, The Freshman, Family Business และ The Karate Kid Part II

 

ซามวล แอล แจ็คสัน (SAMUEL L. JACKSON) รับบท เรย์ อาร์โนลด์

ซามวล แอล แจ็คสันรับบท หัวหน้าช่างเทคนิคคอมพิวเตอร์ในห้องควบคุมจูราสสิคพาร์ค

แจ็คสันเริ่มเป็นที่รู้จักจากการรับบทเป็นขี้ยาที่ชื่อ เกเตอร์ ในภาพยนตร์ของ สไปก์ ลี เรื่อง Jungle Fever ซึ่งทำให้เขาให้รับรางวัลดาราสมทบยอดเยี่ยมที่งานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์

แจ็คสันมีผลงานทั้งในแวดวงภาพยนตร์ ทีวี และละครเวที

ขณะที่ยังคงเป็นนักศึกษาอยู่ที่มอร์เฮ้าส์ แจ็คสันเริ่มแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกในเรื่อง Together for Days ซึ่งนำแสดงโดย คลิฟตัน เดวิส และหลุยส์ ไชลส์ ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ Ragtime, Sea of Love, Coming to America, Raw, Do The Right Thing, School Daze, Mo’ Better Blues, GoodfellasStrictly Business, White Sands, Patriot Games, Jumpin’ at the Boneyard, Fathers & Sons และ Juice

นอกจากนี้ เขายังร่วมแสดงกับ เอมิลิโอ เอสเตเวศ ในภาพยนตร์เรื่อง National Lampoon’s Loaded Weapon 1 และร่วมแสดงกับ นิโคลัส เคจ ในภาพยนตร์เรื่อง Amos & Andrew, ร่วมแสดงกับ คริสเตียน สเลเตอร์ และเดนนิส ฮ็อปเปอร์ ในภาพยนตร์เรื่อง True Romance, ร่วมแสดงกับ จูดี้ เดวิส ในภาพยนตร์เรื่อง The New Age และภาพยนตร์ของ เอชบีโอ พิคเจอร์ส เรื่อง Against the Wall

 

 เวย์น ไนท์ (WAYNE KNIGHT) รับบท เดนนิส เนดรี้

เวย์น ไนท์รับบทเป็นอัจฉริยะคอมพิวเตอร์ที่ความโลภและความทะเยอทะยานนำไปสู่เรื่องวุ่นวายใน Jurassic Park.

ไนท์คือนักแสดงชายยอดนิยมที่ประสบความสำเร็จทั้งในแวดวงภาพยนตร์จอเงินและจอแก้ว เขาร่วมแสดงในภาพยนตร์ตลกของฟ็อกซ์ เรื่อง The Edge และมีบทบาทประจำอยู่ในซีรีส์เรื่อง Seinfeld ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ Basic Instinct, JFK, Dead Again และ Born on the Fourth of July

 

ประวัติทีมผู้สร้าง (ประวัติในปี 1993)

สตีเว่น สปีลเบิร์ก (STEVEN SPIELBERG) – ผู้กำกับ

สตีเว่น สปีลเบิร์กสร้างชื่อให้กับตัวเองในฐานะหนึ่งในผู้กำกับที่ได้รับความนับถือและประสบความสำเร็จที่สุดในโลก เขากำกับและ/ หรืออำนวยการสร้างภาพยนตร์ถึง 6 เรื่องที่ติดอันดับ 20 ภาพยนตร์ทำเงินตลอดกาล

E.T. the Extra-Terrestrial ซึ่งกำกับโดย สปีลเบิร์ก และอำนวยการสร้างโดย แคธลีน เคนเนดี้ ยังคงเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์

ด้วยความยอดเยี่ยมและเก่งกาจในงานสร้างภาพยนตร์ทำให้สปีลเบิร์กได้รับรางวัลเกียรติยศIrvingG. Thalberg Memorial Award ที่งานแจกรางวัลออสการ์ในปี 1987

เขาได้รับรางวัลจากสมาคมผู้กำกับในปี 1986 จากการกำกับภาพยนตร์เรื่อง The Color Purple ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 11 รางวัล สปีลเบิร์กยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลจากสมาคมผู้กำกับจากภาพยนตร์อีกห้าเรื่องต่อมา ได้แก่ Empire of the Sun, Jaws, Close Encounters of the Third Kind, Raiders of the Lost Ark และ E.T. the Extra-Terrestrial

สปีลเบิร์กประเดิมงานกำกับเรื่องแรกด้วยเรื่อง The Sugarland Express ติดตามมาด้วยผลงานภาพยนตร์อีกสองเรื่อง ได้แก่ Jaws และ Close Encounters of the Third Kind ที่ประสบความสำเร็จระดับที่เป็นปรากฎการณ์

ผลงานกำกับเรื่องต่อๆ มาของสปีลเบิร์ก ได้แก่ ภาพยนตร์ตลกเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่อง 1941 เขาได้ร่วมมือกับเพื่อนที่คบหากันมานานอย่าง จอร์จ ลูคัส เพื่อสร้างภาพยนตร์เรื่อง Raiders of the Lost Ark ซึ่งสปีลเบิร์กกำกับ และลูคัสทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหาร ในปี 1982 เขาได้ร่วมเขียนบทและร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Poltergeist ขณะที่กำกับภาพยนตร์เรื่อง E.T ไปด้วย

หลังจากกำกับตอนหนึ่งของ Twilight Zone: The Movie เขาได้กลับมาร่วมงานกับ จอร์จ ลูคัส อีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง Indiana Jones and the Temple of Doom และห้าปีต่อมา ได้ร่วมงานกันใน Indiana Jones and the Last Crusade ผลงานการกำกับเรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ Always และ Hook

สปีลเบิร์กก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ แอมบลิน เอนเตอร์เทนเมนต์ ในปี 1984 และยังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์อีกกว่าหนึ่งโหล อาทิเช่นเรื่อง Gremlins, The Goonies, Back to the Future,  Back to the Future Part II และ III, An American Tail, Who Framed Roger Rabbit และ The Land Before Time

สปีลเบิร์กยังกำกับภาพยนตร์เรื่อง Schindler’s List ที่นำแสดงโดย เลียม นีสัน และเบน คิงสลี่ย์

แคธลีน เคนเนดี้ (KATHLEEN KENNEDY) – ผู้อำนวยการสร้าง

แคธลีน เคนเนดี้มีประวัติการทำงานที่ประสบความสำเร็จ จนทำให้เธอกลายเป็นหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างและผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในวงการ

เธอได้ร่วมมือกับ สตีเว่น สปีลเบิร์ก และแฟรงก์ มาร์แชลล์ ก่อตั้งบริษัทแอมบลิน เอนเตอร์เทนเมนต์ และทำหน้าที่ในตำแหน่งประธานบริษัท นอกจากนี้ เธอกับมาร์แชลล์ยังได้ก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ที่ตั้งอยู่ที่พาราเม้าต์ พิคเจอร์ส ผลงานเรื่องแรกของพวกเขา Alive อำนวยการสร้างโดยเคนเนดี้และกำกับโดยมาร์แชลล์ อย่างไรก็ดี เธอยังคงร่วมงานกับแอมบลินต่อไปในตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์เรื่อง Jurassic Park, ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับ Schindler’s List  และ The Flintstones

เคนเนดี้ยังอำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ทำรายได้มหาศาลอย่าง E.T. the Extra-Terrestrial และทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Color Purple, Empire of the Sun, Always, Hook และ Arachnophobia

ผลงานของเธอในตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างบริหาร ได้แก่ ภาพยนตร์ฮิตอย่าง Back to the Future และภาคต่อ Back to the Future Part II และ III, Who Framed Roger Rabbit, Gremlins, Gremlins 2: The New Batch, An American Tail, The Land Before Time, The Money Pit, Dad, Joe Versus the Volcano และ Cape Fear

 

เจอรัลด์ อาร์ โมเลน (GERALD R. MOLEN) – ผู้อำนวยการสร้าง

เจอรัลด์ อาร์ โมเลน ร่วมมือกับ แบรงโก้  ลัสติค ทำหน้าที่อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่อง Schindler’s List  ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 4 แล้วที่เขาร่วมงานกับ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ก่อนหน้านี้ โมเลนเคยร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Hook และยังทำหน้าที่เป็นผู้จัดการกองถ่ายให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Color Purple ซึ่งเป็นผลงานเรื่องแรกที่เขาร่วมงานกับสปีลเบิร์ก

ผลงานก่อนหน้านี้ของโมเลน คือการทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างร่วมให้กับภาพยนตร์เรื่อง Rain Man และเป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับ Days of Thunder ผลงานเรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ Bright Lights, Big City, *Batteries Not Included, A Soldier’s Story, Tootsie, Absence of Malice, The Postman Always Rings Twice และ Ordinary People

 

ลาทา ไรอัน (LATA RYAN) – แอสโซซิเอท โปรดิวเซอร์

ลาทา ไรอันเริ่มต้นทำงานกับสตีเว่น สปีลเบิร์ก เป็นครั้งแรก โดยทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานในกองถ่ายให้กับภาพยนตร์เรื่อง 1941 นับแต่นั้นเป็นต้นมา เธอกลายเป็นสมาชิกประจำของทีมแอมบลิน ติดตามมาด้วยเวลาสามปีที่ทำงานอยู่ที่ Lucasfilm Ltd. โดยเธอได้ทำงานให้กับภาพยนตร์เรื่อง Return of the Jedi  เธอยังได้ร่วมงานกับโมเลน ในตำแหน่งผู้ประสานงานในกองถ่ายในภาพยนตร์เรื่อง The Color Purple, *Batteries Not Included และ Rain Man เธอยังทำหน้าที่เดียวกันนี้ให้กับภาพยนตร์เรื่อง Back to the Future Part II และ III จากนั้น เธอทำหน้าที่เป็นโปรดักชั่น ซูเปอร์ไวเซอร์ให้กับภาพยนตร์ของ โกลดี้ ฮอว์น เรื่อง CrissCross

 

ไมเคิล ไครชตัน (MICHAEL CRICHTON) - เจ้าของบทประพันธ์และผู้เขียนบท

นับแต่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ด ไมเคิล ไครชตันได้เริ่มการทำงานในแวดวงภาพยนตร์ ผลงานนิยายของเขายังรวมถึงเรื่อง “The Andromeda Strain,” “The Great Train Robbery,” “ Congo,” “Jurassic Park” และ “Rising Sun” นอกจากนี้ เขายังเขียนหนังสืออีกสี่เล่มที่ไม่ใช่หนังสือนิยาย ได้แก่ “Five Patients,” “Jasper Johns,” “Electronic Life: How to Think About Computers” และ “Travels”

นิยายของไครชตันได้รับการแปลไปเป็นภาษาอื่น 20 ภาษา โดยมีอยู่ 7 เรื่องที่ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ อาทิเช่น “JurassicPark” และ “Rising Sun”

ไครชตันเคยกำกับภาพยนตร์มา 6 เรื่อง อาทิเช่น Westworld, Coma และ The Great Train Robbery ผลงานนิยายอีกเรื่องของเขา “Disclosure” วางแผงในช่วงต้นปี 1994

เมื่อถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ หนังสือ “JurassicPark” ของไครชตัน กลับมาติดอันดับหนังสือขายดีอีกครั้ง และในช่วงสามเดือนแรกของปี 1993 หนังสือเล่มนี้ทำยอดขายไปอีก 2.9 ล้านเล่ม

 

เดวิด โค๊ปป (DAVID KOEPP) – ผู้เขียนบท

เดวิด โค๊ปป์ได้พบกับ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ผ่านการแนะนำของ โรเบิร์ต เซเมคคิส ซึ่งกำกับภาพยนตร์เรื่อง Death Becomes Her จากบทภาพยนตร์ที่โค๊ปป์เป็นคนเขียนร่วมกับ มาร์ติน โดโนแวน และในปี 1987 โค๊ปป์ร่วมเขียนบทและอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Apartment Zero ซึ่งเขาร่วมเขียนกับโดโนแวน

นอกจากผลงานความร่วมมือกับโดโนแวนแล้ว โค๊ปป์ยังเขียนบทให้กับภาพยนตร์เรื่อง Bad Influence และ Carlito’s Way ซึ่งกำกับโดย ไบรอัน เดอ พัลม่า

 

ดีน คันดี้ (DEAN CUNDEY, ASC) – ผู้กำกับภาพ

ดีน คันดี้กลับมาร่วมทีมกับสตีเว่น สปีลเบิร์ก หลังจากที่เคยร่วมมือกันจนประสบความสำเร็จกับภาพยนตร์เรื่อง Hook ผลงานชิ้นแรกที่คันดี้ทำงานให้กับแอมบลิน คือเรื่อง Back to the Future ผลงานของผู้กำกับ โรเบิร์ต เซเมคคิส ซึ่งเขาเคยร่วมงานด้วยมาก่อนหน้านี้ในภาพยนตร์เรื่อง Romancing the Stone คันดี้ทำงานกับภาพยนตร์ไตรภาค Back to the Future trilogy และยังทำงานกับเซเมคคิสต่อไปในภาพยนตร์เรื่อง Who Framed Roger Rabbit ซึ่งทำให้คันดี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขากำกับภาพยอดเยี่ยม และทั้งคู่ยังได้ร่วมงานกันอีกในภาพยนตร์เรื่อง Death Becomes Her

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของคันดี้ ได้แก่ Rock ‘n’ Roll High School, D.C. Cab, Halloween (I, II และ III), The Fog, Escape From New York, The Thing, Psycho II, Big Trouble in Little China, Project X, Big Business, Road House และ The Flintstones.

 

ริค คาร์เตอร์ (RICK CARTER) – โปรดักชั่น ดีไซเนอร์

ริค คาร์เตอร์เริ่มต้นทำงานกับ Jurassic Park ในเดือนมิถุนายน ปี 1990 เพื่อจะเผชิญกับข้อเรียกร้องในงานออกแบบมากมายของภาพยนตร์เรื่องนี้

            ก่อนหน้าที่จะมาร่วมงานกับ แอมบลิน เอนเตอร์เทนเม้นต์ ในตำแหน่ง โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ ของภาพยนตร์เรื่อง Back to the Future Part II และ III คาร์เตอร์ได้สร้างชัยชนะอันน่ายำเกรงกับการออกแบบ 42 ตอนของ Amazing Stories ซึ่งทำให้เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับดังๆ ทั้งนั้น อาทิเช่น สตีเว่น สปีลเบิร์ก, มาร์ติน สกอร์เซซี่ และปีเตอร์ ไฮมส์

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นของคาร์เตอร์ ได้แก่ Three Fugitives และภาพยนตร์ปี 1992 ของ โรเบิร์ต เซเมคคิส เรื่อง Death Becomes Her

 

ไมเคิล คาห์น (MICHAEL KAHN, ACE) – ผู้ลำดับภาพ

ไมเคิล คาห์นคือผู้ลำดับภาพที่เคยได้รับรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่อง Raiders of the Lost Ark และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลจาก Close Encounters of the Third Kind, Empire of the Sun และ Fatal Attraction  เขายังได้รับรางวัลบัฟต้าจาก Fatal Attraction

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของคาห์นที่อำนวยการสร้างหรือกำกับโดย สตีเว่น สปีลเบิร์ก คือ Indiana Jones and the Temple of Doom, 1941, Poltergeist, Used Cars, The Goonies, The Color Purple, Indiana Jones and the Last Crusade, Always, Arachnophobia และ Hook

ผลงานอื่นๆของเขา ได้แก่ The Return of a Man Called Horse, Falling in Love, Eyes of Laura Mars, Table for Five และ Ice Castles

 

จอห์น วิลเลี่ยมส์ (JOHN WILLIAMS) – ผู้แต่งดนตรีประกอบ

ตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา ชื่อเสียงของ จอห์น วิลเลี่ยมส์ ในแวดวงการแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ เป็นที่รู้จักไปทั่ว

เขาเริ่มต้นทำงานในแวดวงภาพยนตร์ในปี 1961 ด้วยการทำดนตรีให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Secret Ways ในช่วงต้นทศวรรษ 70 เขาได้สร้างงานดนตรีที่ฟังดูเขย่าขวัญ สร้างความตื่นเต้นให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Poseidon Adventure, Earthquake และ The Towering Inferno

วิลเลี่ยมส์ยังแต่งเพลงธีมประกอบภาพยนตร์ที่คุ้นหูมากมาย อาทิเช่นดนตรีประกอบจากภาพยนตร์เรื่อง Jaws และ Star Wars (ทั้งสองเรื่องทำให้เขาได้รับรางวัลออสการ์ สาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยม), Close Encounters of the Third Kind, Dracula, Superman, E.T. the Extra-Terrestrial, ภาพยนตร์ไตรภาค Indiana Jones, The River และ Born on the Fourth of July ก่อนหน้า  Jurassic Park วิลเลี่ยมส์แต่งดนตรีประกอบให้กับภาพยนตร์ยอดนิยมอย่าง Hook และ Far and Away

สแตน วินสตัน (STAN WINSTON) – ผู้สร้างไดโนเสาร์

แม้ สแตน วินสตัน จะเริ่มมีชื่อเสียงจากการทำงานเอฟเฟ็กต์ที่น่าประทับใจให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Autobiography of Miss Jane Pittman ในปี 1974 แต่เป็นเพราะภาพยนตร์เรื่อง The Terminator และงานเอฟเฟ็กต์ที่ปฏิวัติวงการของภาพยนตร์เรื่องนั้นที่สร้างชื่อให้กับ สแตน วินสตัน สตูดิโอ ใน 9 ปีต่อมา

วินสตันเติบโตในอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย เขาได้ย้ายมาอยู่ฮอลลีวู้ด และได้ทำงานในแผนกเม้คอัพที่ ดิสนีย์ โปรดักชั่นส์ ผลงานหนังทีวีเรื่องแรกของเขาเรื่อง Gargoyles ทำให้เขาได้รับรางวัล Primetime Emmy Award รางวัลแรก และหนึ่งปีต่อมา เขาได้รับการว่าจ้างให้เพิ่มอายุให้กับนักแสดงหญิง ซิซีลี ไทสัน จนถึงอายุ  110 ปี ในภาพยนตร์เรื่อง The Autobiography of Miss Jane Pittman ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลเอ็มมี่ตัวที่สอง

ระหว่างปี 1973 และ 1979 วินสตันได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมี่ถึง 5 รางวัล จากนั้น เขากระโดดเข้าสู่งานภาพยนตร์ด้วยการร่วมสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Wiz ซึ่งเขาออกแบบการแต่งหน้าพิเศษให้กับตัวละคร สแกร์โครว์, ไลอ้อน และตินแมน

ในปี 1981 ผู้อำนวยการสร้าง ไมเคิล ฟิลลิปส์ได้จ้างวินสตันให้แต่งหน้าหุ่นยนต์ให้กับเรื่องรักอย่าง Heartbeeps ทำให้วินสตันได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์รางวัลแรก เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับ เจมส์ คาเมรอน ในปี 1983 เพื่อช่วยสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Terminator ที่นำแสดงโดย อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ วินสตันไม่เพียงแต่สร้างหุ่นเทอร์มิเนเตอร์จากโลกอนาคตเท่านั้น แต่เขายังกำกับกองถ่ายย่อยที่ 2 ของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย

ต่อมา วินสตันได้ร่วมงานกับคาเมรอน และผู้อำนวยการสร้าง เกล แอนน์ เฮิร์ด ในภาพยนตร์เรื่อง Aliens โดยเขาเป็นหัวหน้าทีมเอฟเฟ็กต์ของภาพยนตร์เรื่องนั้น เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งที่ 2

ในปี 1987 วินสตันได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งที่ 3 จากชุดเอเลี่ยนที่เขาออกแบบให้กับภาพยนตร์ Predator ปีต่อมา วินสตันประเดิมงานกำกับเรื่องแรกของเขาด้วยภาพยนตร์ดราม่าแนวจิตวิทยา เรื่อง Pumpkinhead ในปี 1990 เขาได้ร่วมงานกับ ทิม เบอร์ตัน ที่ขอให้วินสตันมาทำงานสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ และเม้คอัพ จอห์นนี่ เด๊ปป์ ในภาพยนตร์เรื่อง Edward Scissorhands

Terminator 2: Judgment Day หนึ่งในภาพยนตร์ที่มีเอฟเฟ็กต์ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล คือภารกิจเรื่องต่อมาของวินสตัน โดยเขาได้ทำงานกับลูกทีมที่มีความสามารถ และสร้างเอฟเฟ็กต์แอนนิเมทรอนิคเป็นร้อยๆ รวมถึงงานเม้คอัพที่ต้องติดอวัยวะปลอม ทำให้ทั้งทีมได้รับรางวัลออสการ์ ในสาขาวิชวลเอฟเฟ็กต์ยอดเยี่ยม และเม้คอัพยอดเยี่ยม

 

เดนนิส มูเรน (DENNIS MURAN, ASC) – ผู้สร้างไดโนเสาร์

เดนนิส มูเรน จากบริษัท อินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ เมจิค คือตำนานในหมู่เพื่อนร่วมงานของเขา โดยเขาได้รับความเคารพนับถือจากผู้กำกับภาพและผู้กำกับที่เก่งที่สุดในโลกมากมาย เขาเคยได้รับรางวัลออสการ์ถึง 7 รางวัลจากการทำงานวิชวลเอฟเฟ็กต์ให้กับภาพยนตร์เรื่อง Terminator 2: Judgment Day, The Abyss, Innerspace, Indiana Jones and the Temple of Doom, The Empire Strikes Back, Return of the Jedi และ E.T. the Extra-Terrestrial

ในปี 1977 มูเรนเข้าทำงานกับบริษัทไอแอลเอ็มที่เพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน เมื่อศิลปินสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ จอห์น ดิ๊กสตรา คิดว่าประสบการณ์ด้านสต็อปโมชั่นของเขาน่าจะนำมาใช้ได้ดีกับภาพยนตร์เรื่อง Star Wars

หลังจาก Star Wars มูเรนได้ทำงานให้กับดักลาส ทรัมบูลล์ ในภาพยนตร์เรื่อง Close Encounters of the Third Kind แต่ต่อมา เขาได้กลับมาร่วมงานกับไอแอลเอ็มอีกครั้งเมื่อเริ่มต้นทำงานกับภาพยนตร์เรื่อง The Empire Strikes Back

เขายังคงทำงานอยู่ที่ไอแอลเอ็ม และได้พัฒนาเทคนิคและอุปกรณ์ใหม่ที่ถูกนำมาใช้กับภาพยนตร์เรื่อง Dragonslayer, Captain EO, Willow, Ghostbusters II และภาพยนตร์เจ็ดเรื่องที่ทำให้เขาได้รับรางวัลออสการ์

 

ฟิล ทิปเป็ตต์ (PHIL TIPPETT) – ผู้ดูแลงานสร้างไดโนเสาร์

เมื่อตอนที่ ฟิล ทิปเป็ตต์อายุ 7 ปี พ่อแม่ของเขาพาเขาไปดูภาพยนตร์เรื่อง The 7th Voyage of Sinbad เขายืนยันว่าภาพยนตร์เรื่องนั้นได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา

งานแอนิเมชั่นของทิปเป็ตต์ ที่สร้างให้กับภาพยนตร์ปี  1981 เรื่อง Dragonslayer ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในตัวอย่างงานศิลปะที่ดีเยี่ยมที่สุด

เขายังได้พัฒนาความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ อย่าง จอน เบิร์ก และเดนนิส มูเรน และต่อมา ทั้งหมดได้กลายมาเป็นบุคคลสำคัญในงานสเชียล วิชวล เอฟเฟ็กต์ อันที่จริง มูเรนเป็นคนแนะนำทิปเป็ตต์ให้เข้ามาทำงานกับภาพยนตร์เรื่อง Star Wars

ทิปเป็ตต์เริ่มต้นทำงานกับ The Empire Strikes Back ติดตามมาด้วย Return of the Jedi ซึ่งเรื่องหลังทำให้เขาได้รับรางวัลออสการ์ ในปี 1983 เขาได้ทำภาพยนตร์อินดี้เรื่องแรก เรื่อง Prehistoric Beast ซึ่งเป็นภาพยนตร์ความยาว 10 นาทีที่ถ่ายทำภายในโรงรถของเขา และใช้เวลานานกว่าสองปีในการสร้าง

นับแต่เปิดสตูดิโอของตัวเอง ทิปเป็ตต์ได้สร้างงานแอนนิเมชั่นความยาว 20 นาทีให้กับสารคดีของซีบีเอส เรื่อง Dinosaur! ซึ่งคว้ารางวัลเอ็มมี่เกียรติยศด้านสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ในปี 1986 ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลูคัสฟิล์ม ยังคงดำเนินต่อมา โดยเขาได้สร้างหลายต่อหลายฉากให้กับภาพยนตร์เรื่อง Ewok, Howard the Duck, The Golden Child และ Willow ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ House II: The Second Story, Robocop, Honey, I Shrunk the Kids และ Robocop 2 และ 3

ไมเคิล แลนเทียรี่ (MICHAEL LANTIERI) – ผู้สร้างงานสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ไดโนเสาร์

ทีมของไมเคิล แลนเทียรี่รับผิดชอบงานหลากหลายที่สร้างความสมบูรณ์ให้กับไดโนเสาร์ของวินสตัน การเคลื่อนไหวไดโนเสาร์ของทิปเป็ตต์ และงานเอฟเฟ็กต์ของมูเรน

แลนเทียรี่เริ่มต้นทำหนังขาวดำตั้งแต่สมัยเรียนไฮสกูล และในปี 1974 เขาได้เข้าทำงานที่แผนกสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ของ ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอส์ ตลอดเจ็ดปีต่อมา เขาได้รับประสบการณ์จากรายการที่เน้นงานเอฟเฟ็กต์ อย่างเช่น The Six Million Dollar Man, The Bionic Woman, Battlestar Galactica และอื่นๆ

จากนั้น แลนเทียรี่ได้ก้าวมาดูแลงานเอฟเฟ็กต์ในภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา Flashdance ซึ่งผู้กำกับ เอเดรียน ไลน์ ต้องการใส่แสงและควันเข้าไป ผลงานเรื่องต่อๆ มาของเขา ได้แก่ The Woman in Red และ Thief of Hearts แต่ภาพยนตร์ที่ผลักดันให้แลนเทียรี่ก้าวสู่งานชิ้นใหญ่มากขึ้นก็คือเรื่อง The Last Starfighter

เขายังดูแลงานเอฟเฟ็กต์ให้กับภาพยนตร์เรื่อง Fright Night, My Science Project, Poltergeist II: The Other Side และ Star Trek IV: The Voyage Home หลังจากนั้นไม่นาน แลนเทียรี่สามารถว่าจ้างพนักงานเต็มเวลา และบริษัทของเขาได้รับเลือกให้มาทำงานให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Witches of Eastwick, Who Framed Roger Rabbit และ Twins

เขาได้ทำงานกับ สตีเว่น สปีลเบิร์ก เป็นครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง Indiana Jones and the Lost Crusade, เขาได้กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับ โรเบิร์ต เซเมคคิส ในภาพยนตร์เรื่อง Back to the Future Part II และ III จากนั้นก็กลับมาร่วมงานกับสปีลเบิร์กอีกในภาพยนตร์เรื่อง Hook

หลังจาก Hook แลนเทียรี่รับงานช้างด้วยการรับทำงานเอฟเฟ็กต์ให้กับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์สองเรื่องในเวลาเดียวกัน ได้แก่การทดูแลงานเอฟเฟ็กต์ให้กับภาพยนตร์ของฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปล่า เรื่อง Bram Stoker’s Dracula ในเวลากลางวัน และในเวลากลางคืน เขาต้องทำงานให้กับภาพยนตร์ของเซเมคคิส เรื่อง Death Becomes Her

แลนเทียรี่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 2 ครั้งในสาขาวิชวลเอฟเฟ็กต์ยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง Back to the Future Part II และ Hook เขาได้รับรางวัลบัฟต้าจากภาพยนตร์เรื่อง The Witches of Eastwick และ Back to the Future Part II เขายังได้ทำงานกับภาพยนตร์ของ แอมบลิน เอนเตอร์เทนเม้นต์ เรื่อง The Flintstones

 

แจ็ค ฮอร์เนอร์ (JACK HORNER) – ที่ปรึกษาด้านโบราณคดี

แจ็ค ฮอร์เนอร์คือหัวหน้าภัณฑารักษ์ที่พิพิธภัณฑ์ร็อคกี้ส์ ในโบซแมน, มอนทาน่า และยังเป็นโปรเฟสเซอร์อยู่ที่มหาวิทยาลัยรัฐมอนทาน่า เขายังเป็นหัวหน้าทีมค้นคว้าเรื่องไดโนเสาร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอีกด้วย

ฮอร์เนอร์เกิดและเติบโตในเชลบี้ มอนทาน่า เขาเริ่มเก็บสะสมฟอสซิลไดโนเสาร์ชิ้นแรกตั้งแต่อายุ 8 ปี เขาได้ทำงานเป็นผู้ช่วยภาคสนามแผนกธรณีวิทยาที่มหาวิทยาลัยมอนทาน่า และได้งานเป็นผู้ช่วยการค้นคว้าที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน นับแต่ปี 1978 ถึง 1982 เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ประจำพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกัน และได้รับตำแหน่งหัวหน้าภัณฑารักษ์ที่พิพิธภัณฑ์ร็อคกี้ส์ในปี 1982

เขายังมีผลงานเป็นหนังสือสามเล่ม คือเรื่อง “Maia: A Dinosaur Grows Up,” “Digging Dinosaurs: the Search that Unraveled the Mystery of Baby Dinosaurs” และ “Digging Up Tyrannosaurus Rex”

 

—jurassic park—