STAR TREK INTO DARKNESS – สตาร์ เทรค ทะยานสู่ห้วงมืด 10 พฤษภาคม 2556 ทุกโรงภาพยนตร์

STAR TREK INTO DARKNESS

ขยาย…สุดขอบพรมแดน

ในฤดูร้อนปีนี้ ผู้กำกับเจ.เจ.อับรามส์ จะนำเสนอ “Star Trek Into Darkness” ในยามที่ลูกเรือยู.เอส.เอส. เอนเตอร์ไพรซ์ ได้เริ่มต้นสู่การเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา อับรามส์ได้กลับมาร่วมงานกับทีมงานที่สร้างสรรค์ความสนุกสนาน อารมณ์ขันและจิตวิญญาณของภาพยนตร์ยอดนิยมที่โด่งดังในปี 2009 ที่เป็นการปลุกชีพให้กับแฟรนไชส์ที่เป็นที่รักเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง ในการเดินทางครั้งที่สอง พวกเขาได้ยกระดับแอ็กชัน เพิ่มความเข้มข้นทางอารมณ์และส่งยานเอนเตอร์ไพรซ์ร่วมเดิมพันในเกมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับพลังทำลายล้างที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ เมื่อทุกสิ่งที่ลูกเรือชายและหญิงของยานเอนเตอร์ไพรซ์เชื่อมั่นตกอยู่ในความเสี่ยง ความรักจะถูกท้าทาย มิตรภาพจะถูกตัดขาด และจะต้องมีการเสียสละเพื่อครอบครัวหนึ่งเดียวที่เคิร์คเหลืออยู่ นั่นก็คือลูกเรือของเขา

มันเริ่มต้นจากการกลับสู่บ้านเกิด เมื่อยานเอนเตอร์ไพรซ์กลับสู่ดาวโลกหลังจากเหตุการณ์อื้อฉาวในอวกาศ กัปตันผู้หุนหันพลันแล่นของพวกเขายังคงอยากจะหันยานกลับไปอยู่ท่ามกลางดวงดาว เพื่อปฏิบัติภารกิจเพื่อสันติสุขและการสำรวจที่ยาวนานกว่าเดิม แต่สถานการณ์บนโลกกลับกำลังย่ำแย่ การก่อการร้ายที่สร้างความเสียหายใหญ่หลวงได้เผยให้เห็นถึงความจริงที่น่าตื่นตะลึง ซึ่งก็คือฝูงบินสตาร์ฟลีทถูกโจมตีจากภายใน และการพังพินาศของมันก็จะทำให้โลกทั้งใบเจอกับวิกฤต กัปตันเคิร์คนำลูกทีมเอนเตอร์ไพรซ์ออกปฏิบัติการที่ไม่เหมือนครั้งใดๆ ที่ครอบคลุมตั้งแต่บ้านเกิดของชาวคลิงกอน ไปจนถึงซานฟรานซิสโก เบย์ บนยานเอนเตอร์ไพรซ์ ศัตรูที่เร้นกายในหมู่พวกเขามีพรสวรรค์ในการทำลายล้างที่น่าตื่นตะลึง เคิร์คจะนำพวกเขาเข้าสู่ดินแดนมืดหม่นที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง ที่ซึ่งพวกเขาไม่เคยเหยียบย่างเข้าไปมาก่อน พร้อมกับการอยู่บนเส้นแบ่งที่บางเฉียบระหว่างมิตรและศัตรู การแก้แค้นและความยุติธรรม สงครามเต็มรูปแบบและความเป็นไปได้ของอนาคตแห่งความเป็นหนึ่งเดียว

ผู้ที่กลับขึ้นยานเอนเตอร์ไพรซ์อีกครั้งคือลูกเรือที่เนรมิตชีวิตให้มันอย่างเจิดจรัสในภาพยนตร์โดยอับรามส์เรื่อง “Star Trek” คริส ไพน์ในบทกัปตันเจมส์ ที. เคิร์ค, แซ็คคารี ควินโตในบทต้นเรือสป็อค, คาร์ล เออร์เบินในบทดร.เลียวนาร์ด “โบนส์” แม็คคอย, ไซมอน เพ็กก์ในบทหัวหน้าวิศวกร “สก็อตตี้” สก็อต, โซอี้ ซัลดานาในบทอูฮูร่า เจ้าหน้าที่สื่อสาร, จอห์น โชในบทฮิคารุ ซูลู, แอนตัน เยลชินในบทพาเวล เชคอฟและบรูซ กรีนวู้ดในบทผู้บัญชาการคริสโตเฟอร์ ไพค์ ผู้ที่ร่วมแสดงกับทีมนักแสดงชุดนี้คือเบเนดิคท์ คัมเบอร์แบทช์ในบทจอห์น แฮร์ริสัน ผู้ก่อการร้ายอวกาศผู้ลึกลับ, อลิซ อีฟในบทแครอล มาร์คัส ผู้มาใหม่และปีเตอร์ เวลเลอร์ในบทผู้บัญชาการฝูงบินสตาร์ฟลีท ผู้เกิดความขัดแย้งกับยานเอนเตอร์ไพรซ์

ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ถ่ายทำด้วยกล้อง IMAX® ความละเอียดสูงและนำเสนอในระบบ 3D เทคโนโลยีแบบใหม่ ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดชัดเจน จะทำให้ผู้ชมได้เห็นโลก Star Trek ในแบบที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน

พาราเมาท์ พิคเจอร์สและสกายแดนซ์ ภูมิใจเสนอ ผลงานสร้างของแบ๊ด โรบอท ภาพยนตร์โดยเจ.เจ. อับรามส์เรื่อง “Star Trek Into the Darkness” ภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนบทโดยโรแบร์โต ออร์ซีและอเล็กซ์ เคิร์ทซ์แมนและเดมอน ลินเดลอฟจาก Star Trek ที่สร้างสรรค์โดยยีน ร็อดเดนเบอร์รี ผู้อำนวยการสร้างได้แก่อับรามส์, ไบรอัน เบิร์ค, ลินเดลอฟ, ออร์ซีและเคิร์ทซ์แมนและผู้ควบคุมงานสร้างได้แก่เจฟฟรีย์ เชอร์นอฟ, เดวิด เอลลิสัน, ดานา โกลด์เบิร์กและพอล ชเวค ทีมงานเบื้องหลังที่มารวมตัวกันอีกครั้งได้แก่ผู้กำกับภาพแดน มินเดล, ผู้ออกแบบงานสร้างสก็อต แชมบ์ลิส, ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายไมเคิล แคปแลน, มือลำดับภาพ มารีแอนน์ แบรนดอนและแมรี โจ มาร์กี้และผู้ประพันธ์เพลง ไมเคิล จิอัคคิโน และวิชวล เอฟเฟ็กต์และอนิเมชันชั้นเยี่ยมของเรื่องถูกรังสรรค์อีกครั้งหนึ่งโดยทีมงานที่อินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ เมจิค ภายใต้การดูแลของโรเจอร์ กายเย็ทท์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์จากผลงานของเขาใน “Star Trek”

 

อวกาศ: การเผชิญหน้ากับความมืดอันธกาล

                ในตำนานที่ก่อให้เกิดซีรีส์โทรทัศน์สี่เรื่อง ภาพยนตร์ 11 เรื่อง และความใฝ่ฝันถึงอวกาศนับไม่ถ้วนตามมา นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้ชมจะได้สัมผัสกับโลก Star Trek ในรูปแบบสามมิติ ขนาดใหญ่เท่าตึก 8 ชั้น ใน “Star Trek” ภาพยนตร์ปี 2009 กลุ่มนักท่องอวกาศผู้มีศักยภาพสูงอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ผู้มักจะก่อเรื่องวุ่นเสมอๆ และเพิ่งจบจากสถาบันมาหมาดๆ ได้ออกเดินทางท่ามกลางดวงดาวเป็นครั้งแรก นี่เป็นการทดสอบครั้งใหญ่ครั้งแรกสำหรับความเฉลียวฉลาด ทักษะและความภักดีที่ซ่อนอยู่ภายใต้บุคลิกที่ขัดแย้งกันของพวกเขา และมันก็เป็นจุดเริ่มต้นด้วยเช่นกัน บัดนี้ เมื่อพวกเขาได้เรียนรู้อะไรๆ มากขึ้น ทีมลูกเรือด้อยประสบการณ์ของยานยูเอสเอส เอนเตอร์ไพรซ์จะต้องมุ่งหน้าออกไปสู่ดินแดนอันธกาลอันเวิ้งว้าง และกลับสู่โลกศตวรรษที่ 23 ขณะที่พลังสงครามชั่วร้ายได้เข้าคุกคามความสงบสุขของดาวบ้านเกิดของพวกเขาและโลกที่พวกเขายังไม่เคยเห็น

สำหรับ “Star Trek Into Darkness” เจ.เจ. อับรามส์ได้กลับมาใช้วิสัยทัศน์ความเป็นมนุษย์ของเขาในการมองโลก Star Trek อีกครั้ง มันเป็นวิสัยทัศน์ที่เทิดทูนไอคอนสำคัญแห่งป๊อป คัลเจอร์เรื่องนี้ พร้อมกับนำมันสู่ดินแดนที่ไม่เคยเหยียบย่างมาก่อน

ภาพยนตร์ภาคแรกได้รับเสียงชื่นชมจากการผสมผสานอารณ์ขันตลกโปกฮา ตัวละครที่มีเสน่ห์และจินตนาการไร้ขอบเขตของซีรีส์โทรทัศน์เล็กๆ ในยุค 60s เข้ากับจังหวะและแอ็กชันแบบศตวรรษที่ 21 ซึ่งก่อให้เกิดเรื่องราวแปลกใหม่ ที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ “Star Trek” ของอับรามส์ ที่เดินตามรอยพล็อตเรื่องสำคัญของยีน ร็อดเดนเบอร์รี ดูเหมือนจะเข้าถึงผู้ใฝ่ฝันถึงดวงดาวที่อยู่ในตัวทุกคน และทำให้ความเป็นไปได้ที่ไร้ที่สิ้นสุดให้ความรู้สึกว่าสมจริงจนสัมผัสได้

หลังจากความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว อับรามส์กลับไม่ได้ตั้งใจที่จะพึ่งพาความสำเร็จเหล่านั้นเลย ตามขนบของ Star Trek เขารู้ว่าสำหรับการเดินทางครั้งที่สองของพวกเขา ทุกแง่มุมของภาพยนตร์เรื่องนี้จะต้องลึกซึ้งขึ้น จะต้องล้วงลึกเข้าไปมากกว่าแต่ก่อนในสิ่งที่ทำให้ตัวละคร Star Trek เป็นที่นิยมและเหตุผลที่ทำให้ภารกิจของพวกเขาน่าติดตามเหลือเกิน นั่นหมายถึงความท้าทายเหลือเชื่อแบบใหม่ๆ สำหรับทีมผู้สร้าง ยานเอนเตอร์ไพรซ์จะต้องแล่นทะยานไปไกลเกินกว่าขอบเขตที่ใครๆ เคยเห็นมาก่อน จะมีการจินตนาการถึงโลกใหม่ แล้วก็สร้างมันขึ้นมา นอกจากนั้น ในการนำเรื่องราวเข้าสู่อีกพรมแดนหนึ่ง อับรามส์ก็ได้ตัดสินใจถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ในระบบที่ผสมผสานระหว่าง IMAX® และอนามอร์ฟิค 35 มม. และนำเสนอมันในแบบ 3D

หากแต่ความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเคิร์ค, สป็อค, อูฮูร่า, โบนส์, สก็อตตี้, ซูลูและเชคอฟ เมื่อฝูงรบสตาร์ฟลีทถูกทำลายลงในการจู่โจมที่น่าสะพรึงกลัว พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องเผชิญหน้ากับด้านมืดของฝูงบินสตาร์ฟลีทและศัตรูใหม่ผู้ชาญฉลาดอย่างน่ากลัวเท่านั้น แต่พวกเขายังจะตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งเดียวที่พวกเขาจะสามารถพึ่งพาได้ในโลกที่คาดเดาไม่ได้เช่นนี้ ซึ่งก็คือกันและกันนั่นเอง

“มันไปไกลกว่าหนังภาคแรกในทุกทาง มีดาวภูเขาไฟ การไล่ล่าทางยานอวกาศสุดมันส์และสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ตระการตา แต่มันก็มีเรื่องราวที่ละเอียดอ่อนมากขึ้นด้วยครับ” อับรามส์กล่าว “ในครั้งนี้ ลูกเรือเอนเตอร์ไพรซ์จะต้องเผชิญหน้าอะไรต่างๆ มากขึ้นในแง่ของปัญหาทั้งเรื่องส่วนตัวและศีลธรรม ขณะที่พวกเขาเผชิญหน้ากับคำถามของความไว้วางใจ ความภักดีและสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลักการของคุณเองในตอนที่คุณต้องผ่านการทดสอบที่สุดโต่งที่สุด เป้าหมายของเราคือการรักษาอารมณ์ขัน ความเป็นมนุษย์และความมีชีวิตชีวาทั้งหมดเอาไว้ พร้อมไปกับการก้าวเข้าสู่ขอบเขตที่ซับซ้อนและมืดหม่นกว่า สำหรับกัปตันเคิร์ค สิ่งที่เริ่มต้นจากการเป็นภารกิจแก้แค้นกลายเป็นการเดินทางเพื่อค้นหาความหมายที่แท้จริงของการคู่ควรกับตำแหน่งกัปตันน่ะครับ”

อับรามส์กล่าวว่า “ในการที่เรื่องราวจะเคลื่อนไปข้างหน้าได้ นี่จะต้องเป็นหนังที่ทะเยอทะยานกว่าภาคแรก ทั้งแอ็กชันและสเกลของมันจะต้องเหนือกว่าเดิมหลายปีแสง การนำเทคโนโลยี IMAX® และ 3D เข้ามาจะทำให้ผู้ชมได้พบกับอีกระดับของความตื่นเต้นและความสนุกสนาน แต่ในขณะเดียวกัน ไม่ว่ามันจะมีสเกลหรือฟอร์แมตแบบไหน สิ่งที่ยังคงสำคัญที่สุดสำหรับทุกคนคือการบอกเล่าเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นและสะเทือนอารมณ์ที่สุดน่ะครับ”

เรื่องราวนั้นได้รับการถ่ายทอดออกมาโดยฝีมือของมือเขียนบทและผู้อำนวยการสร้างโรแบร์โต้ ออร์ซีและอเล็กซ์ เคิร์ทซ์แมน ร่วมด้วยเดมอน ลินเดลอฟ ผู้เปลี่ยนกระบวนการเขียนบทให้กลายเป็นเซสชันระดมสมองเกือบตลอดเวลา “ผมบอกคุณไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าเรามาประชุมกันเกี่ยวกับเรื่องราวซักกี่ครั้ง” อับรามส์กล่าวรำพึง “เรามักจะร่วมมือกันเสมอ เพื่อทำการปรับเปลี่ยน และหาคำตอบว่าเราจะต้องเซ็ทอะไรขึ้นมา ผมรู้สึกโชคดีจริงๆ ที่ได้ร่วมงานกับบ็อบ, อเล็กซ์และเดมอนอีกครั้ง พวกเขาทำงานไม่เหนื่อยเลย และพวกเขาก็ได้สร้างเรื่องราวที่ชีวิตและความเชื่อของตัวละครหลักแต่ละตัวจะต้องตกอยู่ในความเสี่ยง ไม่ตอนใดก็ตอนหนึ่งด้วยครับ”

  ไบรอัน เบิร์ค ผู้อำนวยการสร้างและผู้ร่วมก่อตั้งแบ๊ด โรบอท ตั้งข้อสังเกตว่า อีกหนึ่งพื้นฐานสำคัญสำหรับบทภาพยนตร์เรื่องนี้คือไอเดียที่ว่าลูกเรือใน Star Trek กำลังพัฒนากลายเป็นกลุ่มเพื่อนที่แยกจากกันไม่ได้ แม้บางครั้งการควบคุมพวกเขาจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม เขาอธิบายว่า “บท ‘Into Darkness’ เริ่มต้นจากคำถามที่ว่า เราจะนำลูกเรือยานเอนเตอร์ไพรซ์เข้าไปอยู่ท่ามกลางความอันตรายและความขัดแย้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้อย่างไร เรารู้สึกว่าถ้าภาคแรกเป็นเรื่องของการที่ลูกเรือทีมนี้ได้มารวมตัวกัน ถ้างั้นเรื่องราวนี้ก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่พวกเขาเติบโต และกลายเป็นผู้ใหญ่ ไอเดียนั้นมีพลังงานและความเป็นไปได้มหาศาลเลยครับ”

ในการผลักดันพลังงานเรื่องราวที่เข้มข้นของภาพยนตร์เรื่องนี้ไปสู่อีกระดับวิชวล อับรามส์ได้ใช้ IMAX® และระบบแปลงเป็น 3D ในช่วงโพสต์โปรดักชันเพื่อสร้างสิ่งที่เกิดกว่าความคาดหวังเดิมๆ ซึ่งมันไม่ใช่การตัดสินใจง่ายๆ เลยสำหรับผู้กำกับผู้นี้เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาคือการทำให้สิ่งต่างๆ สมจริง แม้กระทั่งในเรื่องราวที่มหัศจรรย์ที่สุดก็ตาม แต่หลังจากพิจารณาภาพยนตร์ 3D และ IMAX® ที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและได้ร่วมงานกับผู้กำกับแบรด เบิร์ด ผู้ใช้ IMAX® ใน “Mission Impossible: Ghost Protocol” แล้ว อับรามส์ก็เชื่อว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาจะผสมผสานเทคโนโลยีที่ช่วยขยายสโคปของเรื่องราวเข้ากับเรื่องราวที่กว้างขวางของ Star Trek

‘               “การที่หนังถูกถ่ายทำด้วยระบบ IMAX® มันจะไม่เหมือนกับเรื่องอื่นๆ ทั่วไปครับ” ผู้กำกับกล่าว “มันจะละเอียดสุดๆ จนคุณเหมือนถูกกลืนเข้าไปในหนัง แต่คุณยังไม่เคยเห็นการผจญภัยทางอวกาศที่นำเสนอออกมาในรูปแบบนี้มาก่อน คริสโตเฟอร์ โนแลนเป็นคนที่น่ารักอย่างเหลือเชื่อ และเขาก็ฉาย ‘The Dark Knight Rises’ ส่วนหนึ่งให้ผมดูในระบบ IMAX® เมื่อได้ดูฟุตเตจที่เหลือเชื่อนั้น มันก็ทำให้ผมตระหนักว่าถ้าเรามีโอกาสถ่ายทำบางส่วนของหนังเรื่องนี้ในระบบ IMAX® เราคงบ้าแน่ๆ ถ้าไม่ทำแบบนั้นน่ะครับ”

ขณะที่การถ่ายทำเริ่มต้นขึ้น ผลลัพธ์ที่ออกมาก็นับว่าคุ้มค่าต่อความท้าทายที่ลับสมองเหล่านั้น “ในที่สุด เราก็สามารถถ่ายทอดสเกลที่ยิ่งใหญ่ของเรื่องราวนี้ออกมาได้ และก็ไม่ใช่แค่ในอวกาศเท่านั้น แต่รวมถึงในโลกและยานอวกาศด้วย ผมคิดว่ามันจะต้องเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสุดๆ แน่นอน” อับรามส์กล่าว

โรเจอร์ กายเย็ทท์ ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวลจากอินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ เมจิค ผู้กลับมาร่วมทีมเช่นกัน กล่าวเสริมว่า “ด้วยคอนเซ็ปต์ที่เกือบจะเหมือนกับ ‘Lawrence of Arabia’ ในอวกาศ IMAX® เป็นวิธีการงดงามที่ให้เจ.เจ.ได้เผยถึงทิวทัศน์ตระการตาที่ยานเอนเตอร์ไพรซ์ได้เจอ”

นอกจากนั้น การใช้การถ่ายทำ IMAX® ในบางส่วนของภาพยนตร์เรื่องนี้ยังมีวัตถุประสงค์ทางงานสร้างสรรค์ของมันเองด้วย “หลายๆ ฉากของเราเป็นแนวตั้งมากกว่าแนวนอน และ IMAX®  ก็ทำให้สเกลนั้นให้ความรู้สึกใหญ่โตขึ้นอีกครับ” อับรามส์อธิบาย “เราใช้มันในฉากดาวนิบิรูที่มีทั้งป่าและภูเขาไฟในตอนเริ่มต้นเรื่อง, ดาวโครนอสของคลิงกอน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนท้ายเรื่อง ที่มีการไล่ล่ากันอย่างเหลือเชื่อในซานฟรานซิสโก มันกลายเป็นกฎที่ว่า เมื่อแอ็กชันเกิดขึ้นกลางแจ้ง เราก็จะถ่ายทำในระบบ IMAX® และเมื่อเราอยู่ในร่ม เราก็จะใช้อะนามอร์ฟิค 35 ครับ”

เมื่อถึงเวลาสร้างประสบการณ์ 3D ให้เข้าคู่กับประกายเจิดจ้าและความกระชับฉับไวของโลก Star Trek อับรามส์และทีมงานของเขาก็ได้พัฒนาทุกอย่างให้ไปไกลกว่าเดิม ในตอนแรก ทีมผู้สร้างลังเลที่จะใช้เทคโนโลยีนี้ จนกระทั่งพวกเขาตระหนักได้ว่าพวกเขาสามารถใช้มันในแบบที่จะเข้าคู่กับวิสัยทัศน์ด้านภาพวิชวลของพวกเขาได้ “เราไม่เคยใช้ 3D กับหนังเรื่องไหนๆ ของเรามาก่อนเลย” เบิร์คตั้งข้อสังเกต “แต่พอเราดูว่า ‘Star Trek’ มีอะไรบ้าง มันมีทั้งสงครามยิ่งใหญ่ ภาพตระการตาของดาวเคราะห์ต่างๆ และแอ็กชันที่ลุ้นระทึก เราก็เลยคิดว่า ถ้า ‘Star Trek’ ไม่คู่ควรกับ 3D ยังจะมีหนังเรื่องไหนคู่ควรอีก สิ่งสำคัญสำหรับเราคือถ้าเราจะใช้ 3D เป็นครั้งแรก เราก็อยากจะทำให้มันพิเศษและแตกต่างออกไปครับ”

กระบวนการนั้นเริ่มต้นขึ้นจากความคิดที่ว่าการเพิ่ม 3D เข้าไปในส่วนผสมอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ มันจะต้องถูกใช้เพื่อเสริมแต่งให้กับการเล่าเรื่องด้วย หรือในกรณีของ “Star Trek” มันจะต้องถูกใช้เนรมิตชีวิตให้กับโลกที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน “เจมส์ คาเมรอนได้ยกระดับมาตรฐานขึ้นมาด้วย ‘Avatar’ และแสดงให้เราเห็นในสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน แต่แค่การถ่ายทำหนังในระบบ 3D อย่างเดียวไม่ได้ทำให้มันเป็น ‘Avatar’ อย่างที่เราเคยเห็นมาแล้วในหนังหลายเรื่องหลังจากนั้น” เบิร์คกล่าวต่อ “เรารู้ว่าถ้าเราจะทำแบบนี้ เราก็อยากจะทุ่มให้มันอย่างสุดตัวจริงๆ ครับ”

ในการนั้น พวกเขาได้เรียกใช้สเตอริโอกราฟเฟอร์ โครีย์ เทิร์นเนอร์ ผู้ทำงานในภาพยนตร์ 3D ฟอร์มใหญ่หลายเรื่องในรอบหลายปีที่ผ่านมา…และกระตุ้นให้เขาใช้เทคนิคของเขาในการเสริมสร้างมิติและรายละเอียดลึกซึ้งเข้าไปในขอบเขตที่ผู้ชมยังไม่เคยเห็นมาก่อน “กระบวนการนั้นทั้งเหนื่อยและแม่นยำกว่าที่เราจินตนาการถึงเสียอีกครับ” เบิร์คกล่าว”เราได้ทำงานร่วมกับโครีย์ ด้วยการพิจารณาเฟรมทีละเฟรม เพื่อผลักดันทุกแง่มุมของ 3D ที่เป็นไปได้ และทำให้วัตถุต่างๆ ให้ความรู้สึกเหมือนมันโผล่ออกมาจากหน้าจอจริงๆ เราจะพูดกับโครีย์เสมอว่า ‘ทำให้มันยิ่งกว่านี้อีก’ แล้วเขาก็จะตอบว่า ‘นี่มันมากที่สุดเท่าที่ใครๆ จะทำได้แล้วนะ’ แล้วเราก็จะบอกว่า ‘เอาอีก! เอาอีก!’ ซึ่งเขาก็จะทำตามนั้น เราหวังว่าการผสมผสาน IMAX® และ 3D จะออกมาไม่เหมือนกับสิ่งที่ผู้ชมเคยเห็นมาก่อนครับ”

นอกจากนี้ เวทมนตร์วิชวลยังเกิดขึ้นจากการร่วมมือระหว่างอับรามส์และผู้กำกับภาพแดน มินเดล ผู้ซึ่งการใช้เลนส์ การออกแบบแสงและมุมกล้องที่แปลกใหม่ เป็นสิ่งตั้งต้นสำหรับ “Star Trek” ปี 2009 อับรามส์พูดถึงมินเดลว่า “เขาเป็นหนึ่งในผู้กำกับภาพที่ดีที่สุดเท่าที่มี และเขาก็ถ่ายทำหนังเรื่องนี้ในแบบที่ช่วยเสริมเท็กซ์เจอร์ด้านอารมณ์เข้าไปในทุกฉาก แดนใช้การถ่ายทำเพื่อให้น้ำหนักและความสมจริงกับเรื่องราว เพื่อให้ตัวละครเข้าถึงได้ และเพื่อให้โลกได้มีลมหายใจครับ”

สำหรับจินตนาการและแฟนตาซีด้านภาพวิชวลในเรื่อง อับรามส์ยังคงชื่นชอบการสร้างทุกอย่างเท่าที่เขาสามารถทำได้ในกล้อง เขาจะใช้กรีนสกรีนและ CG ก็ต่อเมื่อจำเป็นเพื่อนำพาผู้ชมออกท่องอวกาศที่ยังไม่เคยมีใครเคยเห็น แต่เขาก็ชื่นชอบให้แอ็กชันและดรามาดิบเถื่อนและเป็นส่วนตัว ซึ่งก็ทำให้เกิดความแตกต่างที่น่าสนใจ “แน่นอนว่าคุณไม่สามารถสร้างหนังเรื่อง ‘Star Trek’ ได้โดยไม่ใช้กรีนสกรีนหรอกครับ” ผู้กำกับบอก “แต่สิ่งหนึ่งที่เราสานต่อจากภาคแรกมาสู่ ‘Into Darkness’ คือไอเดียของการหาโลเกชันหรือการฉากในทุกครั้งที่เราสามารถทำได้ เพื่อสร้างโลกที่ไม่ได้เป็นสิ่งสังเคราะห์หรือไร้สีสัน แต่เป็นโลกที่ให้ความรู้สึกสมจริงมากๆ ครับ”

ผู้ควบคุมงานสร้างเจฟฟรีย์ เชอร์นอฟ ตั้งข้อสังเกตว่า “แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะพาคุณลึกเข้าในอวกาศ การเล่าเรื่องของเจ.เจ. ก็มักจะมีอะไรบางอย่างที่ติดดินเสมอ เขาเข้าใจว่าถ้าอารมณ์เป็นสิ่งที่ผลักดันการกระทำและผลลัพธ์ที่ตามมา มันจะทำให้กระทั่งเรื่องราวที่กว้างขวางที่สุดกลายเป็นเรื่องส่วนตัวครับ”

อับรามส์ตั้งข้อสังเกตว่า ในการนำพา Star Trek เข้าสู่ขอบเขตด้านภาพวิชวลและอารมณ์ใหม่ เขารู้สึกเป็นเหมือนกัปตันเคิร์คที่มุ่งหน้าสู่อวกาศ ที่ซึ่งคุณไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป…แต่คุณก็ควรจะเตรียมพร้อมรับมือกับมัน “ในหนังแบบนี้ คุณจะถูกทดสอบในทุกวัน และทุกระดับ เพื่อให้ทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมครับ” เขาอธิบาย “แต่ก็เหมือนกับที่เคิร์คทำในเรื่องนี้ ผมก็รู้สึกชื่นชมโอกาสที่เกิดขึ้นครับ”

เบิร์คกล่าวสรุปว่า “กับหนังภาคแรก เราอยากจะท้าทายความคาดหวังที่มีต่อสิ่งที่ Star Trek น่าจะเป็น ตอนนี้ ผมคิดว่าเจ.เจ.ได้ก้าวไปสู่ความซับซ้อนอีกระดับหนึ่ง เพื่อที่ว่าคนจะเดินออกจากโรงหนังหลังจากดูหนังเรื่องนี้พร้อมกับคำถามที่ว่า ‘ว้าว นั่นเป็น Star Trek จริงๆ เหรอเนี่ย’ น่ะครับ”

 

กลับสู่สะพานเดินเรือ: ลูกเรือกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง

เคิร์ค:

ในตอนที่ “Star Trek Into Darkness” เริ่มต้นขึ้น กัปตันเจมส์ ที. เคิร์ค กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากใจ เขาได้พัฒนาตัวเองกลายเป็นผู้บัญชาการ ผู้ท้าทายกฎเพื่อทำสิ่งที่เขาเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ถูก แต่ความกล้าบ้าบิ่นและความเต็มใจที่จะแหกกฎระเบียบก็ทำให้เขาต้องขัดแย้งกับฝูงบินสตาร์ฟลีทฟลีทอยู่เสมอๆ แม้ในขณะที่ฝูงบินสตาร์ฟลีทกำลังเผชิญหน้ากับภัยคุกคามต่อภารกิจของพวกเขามากที่สุดก็ตาม

ผู้ที่กลับมารับบทเคิร์ค ขณะที่เขาเริ่มต้องรับมือกับทั้งอำนาจและความเปราะบางของตัวเองคือคริส ไพน์ ผู้จะนำแสดงใน “Jack Ryan” โดยเคนเนธ บรานาห์ต่อไปหลังจากนี้ แม้ว่าเขาจะตื่นเต้นกับการกลับขึ้นยานเอนเตอร์ไพรซ์อีกครั้ง ไพน์ก็ตั้งข้อสังเกตว่า การออกผจญภัยสุดเหวี่ยงครั้งที่สองนี้จะเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและความคาดหวัง “วันแรกในกองถ่ายเป็นเหมือนการเปิดเทอมวันแรกเลยครับ” เขากล่าวกลั้วหัวเราะ “การได้เห็นทุกคนอีกครั้ง การรู้สึกตื่นเต้นเหลือเกินกับอนาคตข้างหน้า แต่ก็อยากจะทำงานที่ยอดเยี่ยมเพื่อพวกเขา แต่พอผมเริ่มจับจังหวะของตัวละครตัวนี้ได้อีกครั้ง ทุกอย่างก็เดินหน้าต่อจากภาคที่แล้วครับ”

เพียงแต่ในครั้งนี้ ไพน์จะพลิกจังหวะพวกนั้นไปในอีกแง่มุมเมื่อเคิร์คจะต้องเผชิญช่วงเวลาที่สั่นคลอนที่สุดในหน้าที่การงานของเขา ต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสีย ความเคลือบแคลงและคำถามสำคัญที่ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา ไพน์สนใจเป็นพิเศษสำหรับการที่บท “Star Trek Into Darkness” ได้สำรวจความสัมพันธ์แบบหยินหยางที่ซับซ้อนระหว่างเคิร์คและสป็อค ขณะที่พวกเขารู้จักกันและกันดีขึ้นและต้องรับมือกับความแตกต่างที่ชัดเจนและความผูกพันที่ไม่อาจปฏิเสธได้ของพวกเขา

“มันมีความรู้สึกที่ว่า ตัวละครทั้งคู่จะไม่เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไปหากปราศจากกันและกันครับ” เขาตั้งข้อสังเกต “และเรื่องราวนี้ก็ดูเหมือนจะบอกเล่าการเดินทางที่จำเป็นสำหรับเขาทั้งคู่ เคิร์คชอบท้าทายกฎระเบียบ แต่ในตอนเริ่มต้นเรื่อง กัปตันไพน์ก็สั่งให้เขานั่งลงแล้วบอกว่า ‘นายอาจเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ได้ แต่นายยังไม่ยิ่งใหญ่หรอกนะ’ ซึ่งกลายเป็นเหมือนรอยร้าวในเกราะกำบังของเขา เคิร์คมีเสน่ห์ดึงดูดใจ ไม่ยี่หระต่อสิ่งใดมาโดยตลอด แต่ระหว่างการปฏิบัติภารกิจนี้ เขาก็เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงใจ ผมพบว่ามันเป็นเรื่องราวที่วิเศษสุดจริงๆ สำหรับตัวละครทั้งสองครับ”

เขากล่าวต่อไปอีกว่า “คุณไม่สามารถหาคนสองคนที่มีดีเอ็นเอแตกต่างกันสุดขั้วแบบนี้ได้อีกแล้ว แต่พวกเขาก็พบความสัมพันธ์ฉันเพื่อนเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาครับ”

แม้ว่าธีมของ “Into Darkness” จะนำเคิร์คไปเจอกับอารมณ์ที่มืดหม่น เขาก็ตั้งข้อสังเกตว่า อับรามส์ดูเหมือนจะรู้โดยสัญชาตญาณว่าจะรักษาสมดุลระหว่างความมืดมิดและสีสันและแสงสว่างได้อย่างไร “เจ.เจ.รู้ซึ้งถึงพลังของความสนุกครับ” ไพน์ตั้งข้อสังเกต “และเขาก็รู้ดีถึงพลังของการปล่อยให้ผู้ชมใส่ใจในตัวละครจริงๆ และไม่ว่าเหตุการณ์ที่เขากำลังถ่ายทำจะเหลือเชื่อและมหัศจรรย์แค่ไหน เขาก็รู้วิธีเชื่อมโยงผู้ชมเข้ากับเรื่องราว ในภาคนี้ มีซีเควนซ์แอ็กชันที่เหลือเชื่อก็จริง แต่หัวใจของทั้งหมดนั้นคือศูนย์รวมประสบการณ์ของมนุษย์ครับ”

 

สป็อค:

เคิร์คไม่ใช่เพียงคนเดียวที่ต้องเผชิญหน้ากับปีศาจภายในจิตใจในอวกาศ สป็อค ต้นเรือของเขา ก็ถูกบีบให้ต้องพิจารณาตัวเองในแบบที่เขาไม่เคยทำมาก่อนใน “Into Darkness” ด้วยเช่นกัน ผู้ที่กลับมารับบทลูกครึ่งวัลแคน/มนุษย์โลก ผู้ต้องใช้หลักเหตุผลมายับยั้งอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของตัวเองคือแซ็คคารี ควินโต ผู้ซึ่งล่าสุดรับบทนักลงทุนใน “Margin Call” ที่เขาอำนวยการสร้างด้วยเช่นกัน “Into Darkness” จะพาสป็อคและควินโต เดินทางไปยังทิศทางใหม่ๆ มากมาย ทั้งในแง่ของดรามา แอ็กชันและความรัก อย่างเท่าๆ กัน

ตั้งแต่ช่วงเปิดเรื่อง สป็อคก็ต้องลำบากใจกับความขัดแย้งระหว่างอุดมคติที่เขามีต่อเรื่องของหน้าที่ การยึดมั่นกับกฎระเบียบและการเสียสละโดยไม่คำนึงถึงเรื่องส่วนตัว และวิถีปฏิบัติที่เต็มไปด้วยอารมณ์แต่ก็นำมาซึ่งปัญหามากมายของเคิร์ค “ผมคิดว่าประเด็นของสป็อคในภาคนี้คือการทำความเข้าใจว่าการเปิดใจและการเป็นเพื่อนจะเป็นอย่างไร” ควินโตตั้งข้อสังเกต “ในตอนเริ่มต้นเรื่อง ตามนิสัยของเขา เคิร์คได้ด่วนตัดสินใจอะไรบางอย่าง ที่แว้งกลับมาทำร้ายเขาในภายหลัง แต่สิ่งที่เราต้องการนำเสนอคือสป็อคยินดีจะตายเพื่อรักษากฎหมาย และเคิร์คก็ไม่เต็มใจที่จะปล่อยให้เพื่อนเขาตายเพราะกฎบางอย่าง มันทำให้พวกเขาขัดแย้งกันตั้งแต่เริ่มต้น และมันก็กลายเป็นธีมที่เกิดขึ้นเรื่อยๆ ตลอดทั้งเรื่อง แต่แล้วก็มีตอนหนึ่งที่สป็อคเข้าใจจริงๆ ว่าการเป็นเพื่อนรักกันเป็นอย่างไร เมื่อเขายอมรับกับตัวเองว่าเขาใส่ใจคนอื่นได้ลึกซึ้งแค่ไหน ตอนนั้นเองที่คุณจะตระหนักได้ว่าเขาอาจจะมีความเป็นมนุษย์มากกว่าที่ตัวเขาคิดเสียอีกครับ”

ควินโตตั้งข้อสังเกตว่า ภาพยนตร์ภาคนี้ทำให้สป็อคต้องใช้พลกำลังมากกว่าที่ตัวละครตัวนี้ในเวอร์ชันไหนๆ ต้องเจอเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นการกระโจนเข้าสู่ภูเขาไฟที่เดือดพล่านไปจนถึงการต่อสู้ประชิดตัวที่ดุดัน “มีทั้งการวิ่ง การใช้เรี่ยวแรงมากมาย และผมก็ต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับหนังเรื่องนี้” เขากล่าว “แต่นั่นก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดในหนังเรื่องนี้เพราะมันทำให้ผมได้เชื่อมโยงกับสป็อคในแบบที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งมันสนุกมากครับ”

สิ่งที่สนุกเช่นกันคือการสำรวจความรักที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ระหว่างสป็อคและอูฮูร่า มันเป็นความสัมพันธ์ที่น่าจะเผยความรู้สึกนึกคิดของสป็อคมากเกินกว่าที่เขาต้องการ “มันมีช่วงเวลาดีๆ ในหนังเรื่องนี้ระหว่างอูฮูร่าและสป็อค ที่เธอจะเผยออกมาว่าทำไมเธอถึงอารมณ์เสียกับเขาในเรื่องที่เขาเต็มใจจะตายเหลือเกิน และเขาก็แย้งเธอกลับไปว่า ‘คุณคิดว่าผมตัดสินใจเรื่องนี้ง่ายๆ งั้นรึ ผมสัญญากับคุณได้เลยว่ามันไม่เป็นแบบนั้น’ ดังนั้น คุณก็จะได้ล่วงรู้ถึงความคิดอ่านจริงๆ ของสป็อคในแบบที่เรายังไม่เคยรู้มาก่อน มันเป็นสิ่งที่ทรงพลังจริงๆ สำหรับผมครับ”

เขากล่าวเสริมว่า “การร่วมงานกับโซอี้ ซัลดานาในบทอูฮูร่าเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ครับ เธอมีความเปิดเผยและความเปราะบาง แต่ก็มีความเข้มแข็งอย่างเหลือเชื่อด้วย เธอสามารถสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับคนที่สู้เก่งที่สุดในหมู่พวกเขาได้ แต่เธอก็สามารถทำตัวอ่อนโยนและเปิดเผยในแบบที่น่าหลงใหลได้ เรารู้จักกันมาหลายปีแล้ว และผมก็รู้สึกดีจริงๆ ที่ได้กลับมาสู่ความคุ้นเคยแบบนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่คุณต้องเผยความสนิทสนมกันขนาดนั้นน่ะครับ”

สำหรับความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ของสป็อค ควินโตกล่าวว่าเขาไว้วางใจอับรามส์อย่างเต็มที่ในการนำพาตัวละครตัวนี้ไปสู่ทิศทางใหม่ “สิ่งที่ทำให้เจ.เจ.แตกต่างออกไปคือการเน้นย้ำในเรื่องตัวละครและความเป็นมนุษย์ของเขา เขาไม่ได้ยึดติดกับหนังสือ และกับ Star Trek เขาก็ไม่ได้ทำแบบนั้นครับ แล้วเขาก็ไม่ปล่อยให้เรามองข้ามความสำคัญของหนังภาคแรกด้วย เขาบอกอย่างชัดเจนเลยว่า เรากำลังเริ่มต้นเรื่องราวแบบใหม่ โดยไม่ได้แค่เริ่มต้นจากตอนจบของภาคที่แล้วน่ะครับ”

สิ่งหนึ่งที่ยังคงเหมือนเดิมสำหรับควินโตคือขั้นตอนเมคอัพประจำวันที่เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของเขาให้มีลักษณะที่คลาสสิกของชาววัลแคน แต่ในครั้งนี้ มันก็มีความท้าทายใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน ในช่วงเริ่มต้นเรื่อง สป็อคได้สวมชุดภูเขาไฟพิเศษ ที่ทำให้เขาสามารถลงไปในใจกลางเปลวเพลิงและหินที่กำลังลุกไหม้ของดาวนิบิรูได้ ซึ่งควินโตบอกว่าการสร้างชุดนี้ก็เป็นกระบวนการยืดยาวเช่นเดียวกัน “ชุดนี้ถูกสร้างขึ้นจากแบบคอมพิวเตอร์เลเซอร์บนร่างกายผม มันก็เลยต้องมีการปรับชุดหลายครั้งอยู่ครับ” เขากล่าวอธิบาย “ชุดนี้ทั้งอึดอัดและรัดรูปอย่างเหลือเชื่อ แต่มันก็ดูน่าทึ่งจริงๆ การสวมชุดนี้เป็นเหมือนการฝึกสมาธิสำหรับผม ผมต้องสวมชุดนี้ถ่ายทำซีเควนซ์ภูเขาไฟถึงหกวัน และมันก็น่าท้าทายทีเดียวครับ”

แต่ที่สำคัญที่สุด ควินโตรู้สึกตื่นเต้นกับโอกาสที่ได้เผยตัวตนของตัวละครตัวนี้ ผู้เป็นที่หลงใหลของผู้ชมนับล้านด้วยความย้อนแย้งในตัวเองและการค้นหาตัวตนหนึ่งเดียวของเขาที่ไม่มีวันสิ้นสุด “มันเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับผมที่มีโอกาสได้สวมบทตัวละครตัวนี้ ผู้ได้รับการยอมรับในวงกว้างว่าเป็นตัวแทนของความเฉลียวฉลาด ตรรกะและความเห็นอกเห็นใจครับ” เขากล่าวสรุป “สป็อคสอนผมในทุกครั้งที่ผมได้ไปเกี่ยวข้องกับเขา และหนึ่งในสิ่งที่เขาสอนผมคือเรื่องของศักดิ์ศรีครับ”

 

อูฮูร่า:

โซอี้ ซัลดานาเองก็ชื่นชอบโอกาสที่ได้แสดงให้เห็นแง่มุมใหม่ๆ ของอูฮูร่า ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งมีชีวิตต่างดาว ผู้จริงจังและมีเสน่ห์น่าหลงใหล ผู้ใช้ทักษะในการฟังและตีความของเธออย่างมากในฐานะเจ้าหน้าที่สื่อสารของยานเอนเตอร์ไพรซ์ เช่นเดียวกับควินโต ซัลดานาก็สนใจในไอเดียของการผลักดันความสัมพันธ์ระหว่างสป็อคและอูฮูร่าให้พัฒนาขึ้นอีกระดับ และทำให้มันเจอกับมรสุมด้วย “ฉันคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาในภาคแรกทำให้ทุกคนแปลกใจ แต่วิธีเดียวที่จะเดินหน้าคือทำให้มันพัฒนาไปไกลกว่าเดิมค่ะ” เธอให้ความเห็น “ถ้าพวกเขาจะอยู่ด้วยกัน ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะต้องผ่านการทดสอบ และสิ่งที่มันเกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้คือจุดหักมุมเยี่ยมๆ ในแบบที่ทำให้คุณรักเจ.เจ.ค่ะ”

ในภารกิจครั้งนี้ อูฮูร่า ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวบนสะพานเดินเรือของยานเอนเตอร์ไพรซ์ จะได้ร่วมงานกับแครอล มาร์คัส อูฮูร่าอยู่ในตำแหน่งแห่งที่พิเศษระหว่างเคิร์คและสป็อค ผู้ซึ่งต้องการให้เธอเป็นพันธมิตรด้วยทั้งคู่ “เธอรู้สึกหลงใหลคนอย่างสป็อคมากกว่า เพราะเธอเองก็เป็นคนที่ใช้ชีวิตโดยยึดมั่นกับกฎระเบียบเช่นกัน แต่เคิร์คก็มีความไร้ระเบียบบางอย่างที่เธอชื่นชมและเธอก็รู้ว่าเขาเป็นคนที่มีหัวใจดีงามค่ะ” ซัลดานากล่าว “เธออยู่ในตำแหน่งแห่งที่พิเศษเพราะอำนาจของเธอได้รับการนับถือจากคนทั้งสองค่ะ”

ตำแหน่งนั้นทำให้ซัลดานาได้อยู่แถวหน้าในการมองเคิร์คและสป็อคทำให้ต่างฝ่ายสับสนและให้ความไว้วางใจกันในแบบใหม่ “มันวิเศษสุดที่ได้เห็นคริสและแซ็คสานต่อการสร้างตัวละครเหล่านี้ โดยเคารพในตัวตนของพวกเขาแต่ก็เสริมเอาความเป็นตัวเองเข้าไปด้วย” เธอตั้งข้อสังเกต “ฉันคิดว่าพวกเขามีแต่จะเก่งขึ้น และฉันก็ชื่นชอบการได้เห็นพวกเขาปะทะคารมกันในหนังเรื่องนี้ เมื่อพวกเขาโต้ตอบกันกลับไปกลับมา คุณก็จะได้เห็นมิตรภาพที่งดงามและน่านับถือระหว่างคริสและแซ็คเบื้องหลังนั้นน่ะค่ะ”

เช่นเดียวกับเคิร์คและสป็อค อูฮูร่าเองก็เจอกับความเปลี่ยนแปลงสำคัญใน “Into Darkness” เช่นกัน “ลูกเรือกำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ขึ้นและเรียนรู้ที่จะยอมรับเส้นทางที่พวกเขาแต่ละคนได้เลือกน่ะค่ะ” ซัลดานากล่าว “คุณได้เห็นพวกเขาเริ่มสบายใจกับการเป็นตัวเองมากขึ้น และอูฮูร่าก็แสดงให้เห็นเรื่องนั้นอย่างชัดเจน เธอถามตัวเองว่าฉันมีความกล้าที่จะเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อเพื่อนร่วมทีมของฉัน เพื่อยานของฉัน เพื่อหลักการที่ฉันเชื่อรึเปล่า นั่นเป็นคำถามที่น่าตื่นเต้นสำหรับเธอค่ะ”

สิ่งที่น่าตื่นเต้นไม่แพ้กันสำหรับซัลดานาคือโอกาสในการแสดงพรสวรรค์ในการพูดภาษาคลิงกอนอย่างคล่องแคล่วของอูฮูร่าเป็นครั้งแรก ซึ่งหมายถึงการต้องเรียนรู้ภาษาที่คิดขึ้นใหม่ ที่มีหลักไวยากรณ์และโครงสร้างที่แปลกประหลาดของตัวเอง “ภาษาคลิงกอนสนุกมากค่ะ” เธอรำพึง “มันเป็นเรื่องน่าสนใจจริงๆ ที่ได้ทดลองตัวสะกดแบบนั้นและเรียนรู้ความหมายของแต่ละคำ แล้วค่อยรวมเอาทั้งหมดนั้นเข้าไปสู่ดรามาและความตึงเครียดในฉากนั้นๆ ในกองถ่าย ตอนที่ฉันอยู่กับนักแสดงคลิงกอน ที่หางชูสะบัด จินตนาการฉันก็บรรเจิดที่ได้เห็นว่าเราจะไปไกลได้แค่ไหน ฉันชื่นชอบการทำอะไรแบบนั้น พวกสิ่งใหม่ๆ ที่หาได้ยากและท้าทายน่ะค่ะ”

อับรามส์ตื่นเต้นกับลักษณะที่ซัลดานามองการพบกับชาวคลิงกอน “เธอมีความสามารถในการพูดในแบบที่น่าติดตามครับ ไม่ว่าเธอจะพูดภาษาไหนก็ตาม” เขากล่าว “โซอี้ใส่คุณสมบัตินั้นเข้าไปและทำให้มันสมจริง มันก็เลยกลายเป็นสิ่งที่ทั้งเจ๋งและสนุก ไม่ได้ออกมาน่าขัน มันอาจจะเป็นเส้นแบ่งบางๆ ในหนังเรื่องนี้ก็ได้และเธอก็น่าทึ่งทีเดียวครับ”

 

โบนส์, สก็อตตี้, เชคอฟและซูลู:

เลียวนาร์ด “โบนส์” แม็คคอย แพทย์ประจำยาน ก็อยู่ในระหว่างการตั้งคำถามเช่นกัน เขาตั้งคำถามทิศทางที่ฝูงบินสตาร์ฟลีทกำลังมุ่งหน้าไป “เขามีความกังวลเกี่ยวกับภารกิจนี้ของพวกเขาเพราะมันเป็นภารกิจทางทหารมากกว่าและเขาก็เชื่อว่าฝูงบินสตาร์ฟลีทจะมีประสิทธิภาพสูงสุดในภารกิจเกี่ยวกับสันติภาพและการสำรวจครับ” คาร์ล เออร์เบิน นักแสดงบู๊ผู้กลับมารับบทนี้อีกครั้ง หลังจากไปรับบทตัวละครแห่งโลกอนาคตใน “Dredd” กล่าว

อารมณ์ขันเจ็บแสบของโบนส์กลายเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์บนยานเอนเตอร์ไพรซ์ ที่คอยทำให้เคิร์คและสป็อคไม่ถือสาหาความในเรื่องต่างๆ และกันและกันอย่างจริงจังเกินไปนัก แต่ตอนนี้ เขาต้องรับศึกหนักในเรื่องนั้นเมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้นทั่วยานเอนเตอร์ไพรซ์ สำหรับเออร์เบิน ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของความสนุกสนาน “สำหรับผม แก่นของ Star Trek คือมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับกลุ่มคนที่อาจจะไม่ได้มีคุณสมบัติที่จะเข้ากันได้ดีอย่างสมบูรณ์แบบ แต่เป็นคนที่สามารถก้าวข้ามความแตกต่างเพื่อเอาชนะคู่ปรับที่มีร่วมกันได้” เขาอธิบาย “ผมมองโบนส์ว่าแตกต่างจากสป็อคอย่างสุดขั้ว ถ้าสป็อคเป็นเหตุผล โบนส์ก็จะเป็นความเป็นมนุษย์…ส่วนเคิร์คก็ต้องหาพื้นที่ตรงกลางระหว่างทั้งคู่ เพื่อเป็นกัปตันที่ยอดเยี่ยม ใน ‘Star Trek Into Darkness’ คุณจะได้เห็นจุดบรรจบที่สำคัญในความสัมพันธ์นั้นขณะที่พวกเขาแต่ละคนพยายามหาคำตอบว่าจะตอบสนองกับภารกิจนี้อย่างไรน่ะครับ”

สก็อตตี้ วิศวกรผู้เอะอะมะเทิ่งของยาน ก็อยู่ระหว่างจุดเปลี่ยนใน “Star Trek Into Darkness” เช่นเดียวกัน ซึ่งมันก็สร้างความตื่นเต้นให้กับนักแสดงและนักแสดงตลกชาวอังกฤษ ไซมอน เพ็กก์ ที่กลับมารับบทนี้อีกครั้งอย่างยิ่ง “มันน่าตื่นเต้นมากที่ได้รับบทสก็อตตี้อีกครั้ง เพราะลูกเรือเอนเตอร์ไพรซ์กำลังกลายเป็นลูกเรือจริงๆ แล้วในตอนนี้ ในภาคแรก เราก็แค่พบกัน เพื่อหาทางที่จะเดินไปด้วยกัน แต่ตอนนี้ สก็อตตี้รู้จักทุกคนดีขึ้นแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะยังอยู่ในขั้นตอนระหว่างการทดลองความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ตามที ยกตัวอย่างเช่น เขายังคงเรียกเชคอฟว่า ‘วี แมน’ น่ะครับ” เพ็กก์กล่าวกลั้วหัวเราะ

แต่คนในยานเอนเตอร์ไพรซ์ที่สก็อตตี้รู้จักดีที่สุดคือ เคิร์ค เพื่อนของเขา และการที่ตอนนี้เขาเป็นกัปตันของยานที่ทรงพลังนี้ก็ไม่ได้หยุดยั้งวิศวกรผู้พูดจาขวานผ่าซากผู้นี้จากการพูดในสิ่งที่คิดเลย แม้ว่ามันจะเสี่ยงต่อหน้าที่การงานของเขาเองก็ตาม เขาเรียกจิมว่า ‘กัปตัน’ เสมอ แต่เขาก็พูดจาตรงไปตรงมากับเขา และในภาคนี้ พวกเขาก็เกิดความขัดแย้งกัน เพราะสก็อตตี้ทดสอบเขาในเวลาที่ไม่เหมาะสม ก็เลยต้องรับผลที่ตามมาครับ” เพ็กก์อธิบาย “ในขณะเดียวกัน มันก็มีความสัมพันธ์จริงๆ อยู่ตรงนั้น สก็อตตี้เคารพเคิร์ค เขามองเคิร์คว่าเป็นกัปตันที่กล้าหาญ มีพรสวรรค์และมีสัญชาตญาณเฉียบคม และเขาก็ชอบความจริงที่ว่าเขาเป็นตัวของตัวเอง เมื่อพวกเขาทะเลาะกันใหญ่โต สก็อตตี้ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์…แต่เขาก็พร้อมที่จะทำสิ่งที่กัปตันของเขาร้องขอด้วย”

ปรากฏว่า ความกังวลในทีแรกของสก็อตตี้เกี่ยวกับอันตรายในภารกิจใหม่ของยานเอนเตอร์ไพรซ์ได้กลายเป็นจริง “สก็อตตี้เป็นนักดื่มนิดๆ เป็นคนเอะอะโวยวายหน่อยๆ และบางครั้งก็งี่เง่าอยู่บ้าง แต่เขาก็เป็นวิศวกรที่เก่งทีเดียวล่ะครับ” เพ็กก์กล่าว

นอกจากนี้ เพ็กก์ยังยินดีกับการได้กลับมาร่วมงานกับเจ.เจ. อับรามส์อีกครั้งด้วย “เขาเป็นเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนยานเอนเตอร์ไพรซ์นี้ด้วยความกระตือรือร้น การมองโลกในแง่บวกและความคิดสร้างสรรค์ ที่ทำให้ทุกคนตื่นตัวอยู่เสมอครับ” เขากล่าว

แอนตัน เยลชิน ผู้กลับมาสู่ยานเอนเตอร์ไพรซ์อีกครั้งในบท พาเวล เชคอฟ อัจฉริยะชาวรัสเซีย ก็รู้สึกคล้ายๆ กัน “สิ่งที่ผมชื่นชอบเกี่ยวกับเจ.เจ.คือเขาใส่ใจในโลกใบนี้และการเดินทางส่วนตัวของตัวละครแต่ละตัวจริงๆ” เขากล่าว “ผมรู้สึกสนุกกับการถูกกำกับโดยเจ.เจ. และการเห็นเขากำกับด้วยครับ”

เชคอฟเป็นผู้มาแทนที่สก็อตตี้ชั่วคราวในตอนที่เขาเกิดปัญหากับเคิร์ค “ในช่วงเวลาที่ร้อนระอุ เคิร์คกับสก็อตตี้มีความเห็นไม่ลงรอยกัน และเคิร์คก็บอกเชคอฟว่า ‘สวมเสื้อสีแดงซะ’ น่ะครับ” เยลชินอธิบาย “มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น มันน่าตื่นเต้นแม้แต่ในระดับสุนทรียศาสตร์เพราะในหนังภาคหนึ่ง ผมสวมเสื้อผ้าสีเดียว แต่ตอนนี้ ผมได้สวมเสื้ออีกสีหนึ่งแล้วน่ะครับ! แต่ยิ่งไปกว่านั้น ผมรู้สึกเยี่ยมที่ได้แสดงฉากที่เชคอฟจะต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเขาพร้อมแล้วและสามารถที่จะยืนหยัดและสลับหน้าที่ได้น่ะครับ”

เยลชินเตรียมตัวที่จะกลับมารับบทเชคอฟอีกครั้งด้วยการหวนคืนสู่รากเหง้าของตัวละครตัวนี้ “ผมได้ดูและดูซ้ำหลายๆ เอพิโซดจากซีรีส์ออริจินอล ที่ผมชื่นชอบเชคอฟในนั้นน่ะครับ” เขาอธิบาย “ผมชอบตัวละครตัวนี้จริงๆ และผมก็ตื่นเต้นที่ได้กลับไปอยู่บนยานเอนเตอร์ไพรซ์อีกครั้ง ผมชอบการที่หนังเรื่องนี้ได้นำเสนอธีมเยี่ยมๆ ของการมีชัยชนะและการทำในสิ่งที่ถูกต้อง มันเป็นธีมที่ปรากฏบ่อยครั้งในประวัติศาสตร์วรรณกรรมและหนัง เข้าผสมผสานกับอารมณ์ขันและความชาญฉลาดของโลก Star Trek น่ะครับ”

จอห์น โช ผู้ที่กลับมารับบท ฮิคารุ ซูลู นักบินของยาน ก็กล่าวเห็นพ้องด้วยกับความคิดนั้นว่า “ภาคที่สองให้ความรู้สึกเหมือนว่ามันซื่อตรงต่อต้นกำเนิดทางจิตวิญญาณของ Star Trek ในแบบที่มันนำเสนอไอเดียและคำถามสำคัญๆ ผ่านทางตัวละครที่คุ้นเคยเหล่านี้น่ะครับ”

สำหรับโช การกลับสู่สะพานเดินเรือร่วมกับเพื่อนร่วมงานของเขาให้ความรู้สึกว่าเป็นธรรมชาติจริงๆ “มันรู้สึกเหมือนว่าเวลาไม่ได้ผ่านไปเลย” เขารำพึง “มีไม่กี่ครั้งในชีวิตหรอกนะครับที่คุณจะได้รับประสบการณ์ดีๆ และได้ทำแบบเดียวกันนั้นอีกครั้งในรูปแบบที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ผมก็เลยรู้สึกเหมือนได้รับอภิสิทธิ์พิเศษเลยครับ”

 

แครอล มาร์คัส, คริสโตเฟอร์ ไพค์และผู้บัญชาการ

สะพานเดินเรือยานเอนเตอร์ไพรซ์ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ในการเดินทางครั้งนี้ด้วย นั่นคือแครอล มาร์คัส เจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์พิเศษ ผู้นำความยุ่งยากของตัวเองมาพร้อมกันด้วย ผู้รับบทนักฟิสิกส์ทรงเสน่ห์ผู้นี้ ที่สร้างจากตัวละครที่ปรากฏตัวใน Star Trek เรื่องก่อนๆ คืออลิซ อีฟ นักแสดงหญิงชาวอังกฤษผู้จบจากอ็อกซ์ฟอร์ด ผู้ฝากผลงานไว้ใน “She’s Out of My League” และ “Sex and the City 2”

“เราต้องการคนที่จะให้ความรู้สึกแตกต่างจากทีมนักแสดงคนอื่นๆ แต่ก็สามารถเข้ากับทีมได้ในแบบที่วิเศษสุด เธอจะต้องเป็นคนฉลาดและตลก เธอจะต้องเซ็กซี แต่ก็จะต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจจริงๆ และอลิซก็มีคุณสมบัติทั้งหมดนั้นครับ” อับรามส์กล่าว

อีฟรู้สึกยินดีที่ได้เข้าร่วมทีมนักแสดง โดยเฉพาะในแบบที่เต็มไปด้วยความน่าสนใจแบบนี้ “แครอลขึ้นยานเอนเตอร์ไพรซ์มา โดยเรื่องของเธอถูกเก็บเป็นปริศนาค่ะ” อีฟตั้งข้อสังเกต “เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านอาวุธ ที่ได้รับปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์ขั้นสูง เธอก็เลยเหมือนทับรอยสป็อคอยู่เล็กๆ แล้วระหว่างแครอลกับเคิร์คก็มีประกายวูบวาบบางอย่าง และสป็อคก็เห็นเรื่องนั้น ดังนั้น บางทีมันอาจจะทำให้เขารู้สึกถูกคุกคามเล็กๆ ค่ะ”

ประกายความรักวูบวาบที่สร้างปัญหานั้นสนุกเป็นพิเศษเมื่อได้แสดงคู่กับคริส ไพน์ในบทเคิร์ค “แครอลกับเคิร์คมีกลิ่นไอแบบเฮพเบิร์นกับเทรซีค่ะ” เธอรำพึง “ที่มีการปะทะคารมเยี่ยมๆ การทำงานกับคริสก็วิเศษมาก เขาเป็นคนที่เอื้อเฟื้ออย่างเหลือเชื่อ และฉันก็คิดว่าเขาแบกรับหนังเรื่องนี้ได้อย่างงดงามค่ะ”

คริสโตเฟอร์ ไพค์ กัปตันคนเดิมและผู้เป็นอาจารย์สำหรับลูกเรือเอนเตอร์ไพรซ์ ก็มีบทสำคัญใน “Into Darkness” เช่นกัน โดยบรูซ กรีนวู้ด ได้กลับมาเพื่อช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กัปตันเคิร์ค ศิษย์ผู้อ่อนเยาว์ของเขา ในตอนเรื่องเริ่มต้นขึ้น ไพค์โกรธที่เคิร์คล่วงละเมิดกฎสูงสุด อันเป็นกฎของฝูงรบสตาร์ฟลีทที่ไม่อาจล่วงละเมิดได้ ที่นักท่องอวกาศจะต้องไม่ไปยุ่งเกี่ยวหรือทำสิ่งใดที่อาจเปลี่ยนแปลงวิถีของอีกอารยธรรหนึ่ง โดยมันอาจทำให้เขาสูญเสียตำแหน่งของเขาไปได้ “มันเป็นความจริงที่ว่าไพค์รักเคิร์คเหมือนลูกชาย” กรีนวู้ดกล่าว “ที่ทำให้เขาสามารถตัดสินใจแทนเคิร์คและสป็อคได้ แม้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำจะเป็นความผิดร้ายแรงก็ตาม”

ไพค์ไม่เพียงแต่เป็นแรงบันดาลใจให้เคิร์คเท่านั้น แต่เขายังกระตุ้นเคิร์คให้กลายเป็นผู้นำที่ดีกว่าเดิมด้วย “ไพค์บอกเคิร์คว่าในตอนที่คุณปล่อยให้อารมณ์เป็นตัวตัดสินใจ คุณจะทำให้หลายคนตกอยู่ในความเสี่ยง และคุณอาจจะเปลี่ยนแปลงวิวัฒนากาลของจักรวาลด้วยซ้ำไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้” กรีนวู้ดบอก “เขาบอกเรื่องนี้กับเคิร์คเพราะไพค์รู้ว่าซักวันหนึ่ง เขาอาจจะได้ใช้ฝีมือของตัวเองในการกอบกู้จักรวาลครับ”

ผู้บัญชาการยานในฝูงบินสตาร์ฟลีทอีกคนหนึ่งก็ต้องตกอยู่ในอันตรายเช่นเดียวกันใน “Into Darkness” แต่เขาอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นซะทีเดียว ผู้ที่รับบทตัวละครที่มืดหม่นและลึกลับนี้คือนักแสดง ผู้กำกับและนักประวัติศาสตร์ศิลป์ ปีเตอร์ เวลเลอร์ ผู้เป็นที่รู้จักจากบทบาทที่เข้มข้น ที่หลากหลายตั้งแต่ “Robocop” ไปจนถึงดรามาฆาตกรต่อเนื่องจอมเจ้าเล่ห์ “Dexter” และเขาก็สนใจโอกาสที่ได้นำ Star Trek เข้าสู่โลกอันตรายของแบล็ค ออพส์ หน่วยจู่โจมกองหน้าและความลับของฝูงบินสตาร์ฟลีท

เวลเลอร์ได้รับเลือกให้แสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยโชคชะตาบันดาลโดยแท้ โดยเขาบังเอิญได้ไปอยู่ที่ออฟฟิศโปรดักชันของแบ๊ด โรบอท เพื่อประชุมเกี่ยวกับการกำกับโปรเจ็กต์โทรทัศน์ที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย ในตอนที่อับรามส์เกิดแรงบันดาลใจบางอย่างขึ้นมา “ตอนที่ผมคุยกับเขา ผมก็ได้แต่คิดว่า อืม เขาน่าจะเพอร์เฟ็กต์สำหรับบทผู้บัญชาการ” ผู้กำกับเล่า “หลังจากนั้น ผมก็โทรกลับไปหาเขา ยื่นข้อเสนอให้เขาและเขาก็บอกว่าผมเอาด้วย มันเป็นความบังเอิญในการคัดเลือกนักแสดงที่พิลึกที่สุดเท่าที่ผมจำได้เลยครับ”

อับรามส์กล่าวเสริมว่า “เราโชคดีที่ได้ตัวเขา ในแง่หนึ่ง ปีเตอร์เป็นคนที่ละเอียดละออและใส่ใจในเรื่องทุกท่วงท่าและรายละเอียด ส่วนอีกแง่หนึ่ง เขาเป็นคนฉลาด และรอบรู้อย่างเหลือเชื่อ ว่าทำไมเขาถึงพูดในสิ่งที่เขาพูดออกไป แต่เขาก็มีสัญชาตญาณเป็นเยี่ยมด้วย และพอเขาเริ่มคุ้นเคยกับกลไกของสิ่งที่เขาทำอยู่ เขาก็ลืมกลไกพวกนั้นและการได้ดูเขาก็เหลือเชื่อเลยครับ”

เวลเลอร์กระโจนเข้าสู่โอกาสนี้อย่างเต็มตัว “บทหนังเรื่องนี้วิเศษสุดครับ” เขากล่าว “ออร์ซี, เคิร์ทซ์แมนและลินเดลอฟได้ให้วัตถุดิบมากมายกับผม และด้วยการขัดเกลาเพิ่มเติมของเจ.เจ. ผมคิดว่าเราก็สามารถสร้างตัวละครที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาได้ เขาเป็นคนที่มีความรู้สึกของความรักชาติ ผู้ทำในสิ่งที่เขาเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องสำหรับฝูงบินสตาร์ฟลีท เขาอาจจะไม่ดูเหมือนเป็นตัวร้ายก็จริง แต่มันซับซ้อนกว่านั้นเยอะครับ”

 

ค้นพบคู่อาฆาต

                หัวใจที่มืดหม่นของ “Star Trek Into Darkness” อยู่ในรูปแบบของศัตรูที่ลึกลับ ผู้ก่อการร้ายข้ามจักรวาล ผู้ซึ่งสัญชาตญาณทำลายล้างของเขาดูเหมือนจะไร้ขอบเขตไม่ว่าจะเป็นในโลกหรืออวกาศ เขาคือจอห์น แฮร์ริสัน บุรุษแห่งหายนะผู้กลายเป็นเป้าหมายของกัปตันเคิร์ค

ตั้งแต่ตอนที่ทีมผู้สร้างเริ่มนึกถึงชายที่มีชื่อว่าจอห์น แฮร์ริสัน และความเชื่อมโยงลึกซึ้งที่เขามีต่อตำนานของ Star Trek พวกเขาก็เริ่มค้นหาคนที่มีความสามารถทางการแสดงที่จะมาสวมบทนี้ได้แล้ว

หลังจากได้พบกับนักแสดงมากความสามารถหลายสิบคน อับรามส์ก็ตัดสินใจที่จะเดินไปในเส้นทางที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ เขาได้พลิกความคาดหมายด้วยการมองไปที่เบเนดิคท์ คัมเบอร์แบทช์ นักแสดงชาวอังกฤษ ที่เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบทบาทอิงประวัติศาสตร์และพีเรียด ที่มีตั้งแต่ซีรีส์ “Sherlock,” “War Horse,” “Atonement” และ “Tinker Tailor Soldier Spy” ไปจนถึง “The Hobbit” และ “Parade’s End” แม้อาจจะดูเหมือนเขาทำในสิ่งที่พลิกความคาดหมาย แต่อับรามส์ก็เชื่อในทักษะและเสน่ห์ของคัมเบอร์แบทช์

“ในภาคแรก เรามีนักแสดงพิเศษสุดที่สวมบทบาทที่เป็นไอคอนเหล่านี้ แล้วทำให้มันเป็นบทบาทของพวกเขา ด้วยจิตวิญญาณที่ตอกย้ำในสิ่งที่พวกเขาทำเบเนดิคท์ทำในสิ่งเดียวกันกับตัวละครตัวนี้ครับ” อับรามส์อธิบาย “เขาเข้ามาในเรื่องนี้ด้วยทัศนคติ บุคลิก แบ็คกราวน์และความเข้มแข็งแบบใหม่ แต่เขาก็เป็นนักแสดงที่ทรงพลังและมีเสน่ห์น่าติดตามมากจนมันเวิร์ค เขามีวิธีการสวมบทนี้ที่ซับซ้อน ประชดประชันที่เหมาะเหลือเกิน สำหรับผมแล้ว มันขัดความกังวลทุกอย่างที่ว่าเขามีรูปร่างหน้าตาอย่างไร เราไม่ได้ลบล้างสิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ แต่เขาเป็นตัวละครตัวนี้ในเวอร์ชันของเรา และมันเป็นวิธีที่ถูกต้องเพราะเขาเก่งเหลือเกินครับ”

คัมเบอร์แบทช์เป็นแฟน Star Trek อยู่แล้วในตอนที่เขาได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ “ผมได้ดูภาคแรกแล้วและผมก็คิดว่ามันยอดเยี่ยม มันเป็นหนังที่ชาญฉลาด เฉียบคมอย่างน่าทึ่ง แต่ในขณะเดียวกัน ก็ซื่อตรงต่อต้นฉบับด้วย และบทนี้ก็ทำให้ผมสนใจมากยิ่งขึ้นไปอีก” เขากล่าว “เจ.เจ.กับผมคุยกันบ่อยเรื่องตัวละครของผม ว่าเขาเป็นใคร และเขามีบทบาทอะไรในฝูงบินสตาร์ฟลีทครับ”

เป็นเรื่องตื่นเต้นสำหรับคัมเบอร์แบทช์ที่จะได้เดินเข้ามาในฉากยานเอนเตอร์ไพรซ์ ท่ามกลางครอบครัวที่ผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้นอยู่แล้ว แม้ว่าเขาจะรับบทเป็นคนนอกผู้เป็นภัยคุกคามต่อครอบครัวนั้นก็ตาม “เจ.เจ.ได้สร้างบรรยากาศในกองถ่ายที่สนุกน่าขันครับ” เขาให้ความเห็น “เขามีความเคารพต่อนักแสดงและกระบวนการของพวกเขา ดังนั้น มันก็เลยมีเวลาและสถานที่ทั้งสำหรับการเล่นและการใช้สมาธิเคร่งเครียดเสมอ มันเป็นส่วนผสมที่ยอดเยี่ยมที่มีในกองถ่ายครับ”

ขณะที่เขาดำดิ่งลงไปในจิตใจที่สับสนของตัวละครตัวนี้ คัมเบอร์แบทช์ก็ได้เข้าฝึกฝนเพื่อเตรียมรับบทบาทที่ใช้พลกำลังมากที่สุดเท่าที่เขาเคยได้รับมา ซึ่งจะทำให้เขาเจอกับฉากต่อสู้และซีเควนซ์ต่อสู้มากมาย เขากล่าวว่าทั้งคริส ไพน์และแซ็คคารี ควินโตได้ช่วยเขาในเรื่องนั้น “แซ็คและคริสเก่งในเรื่องนั้นมาก พวกเขาทั้งแข็งแกร่งและรวดเร็วมาก และพวกเขาก็ใจดีและเอื้อเฟื้อผมมาก” เขากล่าว “พวกเขากังวลเรื่องความปลอดภัยเสมอ แล้วพวกเขาก็ปล่อยให้อารมณ์พลุ่งพล่านออกมาครับ”

อารมณ์ที่ตึงเครียดเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างไพน์และคัมเบอร์แบทช์ เป็นที่รับรู้ได้ของทุกคน “ผมชอบการได้เห็นคริสและเบเนดิคท์ตอนที่พวกเขาเข้าฉากด้วยกันเพราะเกิดประกายวูบวาบขึ้นจริงๆ ครับ” คาร์ล เออร์เบินกล่าว

ไพน์กล่าวเสริมว่า “เบเนดิคท์เจาะลึกตัวละครตัวนี้ราวกับมีดผ่าตัด การแสดงของเขาแม่นยำมาก ผมมองเขาอย่างทึ่งในฐานะแฟนหนังและเพื่อนนักแสดง มันทั้งน่าขนลุก น่าสยดสยองและบอกตามตรงนะครับ ผมคิดว่าเขาได้สร้างช่วงเวลาที่น่าจะถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมของตำนาน Star Trek ขึ้นมาครับ”

 

การขยายยานเอนเตอร์ไพรซ์

                ถ้า “Star Trek Into Darkness” เพิ่มขนาดแอ็กชัน สเกลหรือแม้กระทั่งความนึกคิดของตัวละคร ทีมผู้สร้างก็เห็นพ้องต้องกันว่าได้เวลาแล้วที่พวกเขาจะขยายมุมมองของยานเอนเตอร์ไพรซ์เอง เริ่มตั้งแต่สะพานเดินเรือ อันเป็นหัวใจสำคัญของยาน พวกเขาไม่เพียงแต่ต่อยอดจากฉากกระดาษลังในซีรีส์ออริจินอลเท่านั้น แต่รวมถึงฉากเมื่อหลายปีก่อนด้วย

“เราอยากให้ผู้ชมได้เห็นยานลำนี้มากกว่านี้ และทำให้มันมีมิติมากขึ้น” อับรามส์กล่าว “ในภาคแรก เราทำงานอย่างหนักเพื่อทำให้ยานลำนี้ให้ความรู้สึกสมจริงและใหญ่เป็นพิเศษ และมันก็เวิร์คซะส่วนใหญ่ครับ แต่ปัญหาคือสะพานเดินเรืออยู่ในฉากหนึ่ง ห้องเดินทางก็อยู่อีกฉากหนึ่ง ส่วนพยาบาลก็อยู่อีกฉากหนึ่ง ทำนองนั้นครับ ซึ่งคุณก็เลยไม่สามารถสร้างอะไรที่ต่อเนื่องขึ้นมาได้เลย ในครั้งนี้ เราได้สร้างฉากที่ติดๆ กัน เพื่อที่เราจะสามารถเดินจากสะพานเดินเรือไปตามทางเดิน เพื่อเข้าสู่บริเวณเทอร์โบ พลาซา เลี้ยวหัวมุมเข้าสู่ส่วนพยาบาล มันไม่ได้เพียงแต่ช่วยสร้างความรู้สึกด้านขนาดให้กับยานเท่านั้น ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่สนุกดีนะครับ แต่มันยังสร้างความรู้สึกของความเชื่อมโยงกันระหว่างส่วนต่างๆ ด้วย แล้วพอทีมงานและนักแสดงเข้ามาในฉากที่ออกแบบมาอย่างงดงาม มันก็ช่วยทำให้พวกเขาเชื่อในสถานที่แห่งนี้จริงๆ มันช่วยยกระดับทุกอย่าง ทั้งการแสดง แสง งานกล้อง มันเป็นประโยชน์ในทุกทาง และมันก็ทำให้เราได้เห็นภาพที่กว้างใหญ่ขึ้นของโลกที่เรารักเหลือเกินน่ะครับ”

ผู้ควบคุมงานสร้างเจฟฟรีย์ เชอร์นอฟกล่าวสรุปว่า “แบบดีไซน์ใหม่ทำให้ผู้ชมมีโอกาสได้อยู่บนยานเอนเตอร์ไพรซ์จริงๆ” เขากล่าวต่อ “ตอนที่ผมได้เห็นแบบแปลนดั้งเดิม ผมก็คิดว่านี่จะเป็นสิ่งที่พิเศษสุดสำหรับ Star Trek จริงๆ ไม่มีใครเคยเดินจากปลายด้านหนึ่งของยานไปยังอีกด้านหนึ่งหรือวิ่งผ่านตลอดทั้งลำยานได้ แล้วยิ่งไปกว่านั้น เราก็ได้สร้างเทอร์โบ พลาซา ซึ่งทำให้เราได้เห็นถึงขนาดของยานในแนวตั้งเป็นครั้งแรกด้วยครับ”

นักแสดงเห็นพ้องกันว่า ฉากเอนเตอร์ไพรซ์ใหม่ช่วยสร้างความสมจริงให้กับการเดินทางข้ามห้วงอวกาศ “ในหนังเรื่องนี้ เราได้สนามเด็กเล่นแบบเต็มรูปแบบครับ” คริส ไพน์กล่าว “งานรายละเอียดที่ทีมงานได้สร้างขึ้นมาเป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์ใจครับ ทีมงานก่อสร้างต้องทำงานสัปดาห์ละ 7 วัน วันละ 24 ชั่วโมง เพื่อให้เราได้มีโลกที่กว้างใหญ่ให้ได้ดำดิ่งลงไป มันยอดเยี่ยมเลยครับ”

หน้าที่ในการออกแบบตกเป็นของผู้ออกแบบงานสร้าง สก็อต แชมบ์ลิส ผู้ซึ่งร่วมงานกับอับรามส์บ่อยคั้ง และก็ได้สร้างผลงานที่เป็นแรงบันดาลใจของตัวเองออกมาใน “Star Trek” ภาคแรก ด้วยการจินตนาการยานเอนเตอร์ไพรซ์ขึ้นใหม่ ผ่านทางปริซึมงานออกแบบสมัยใหม่ในยุคปัจจุบันของเรา บัดนี้ เขาตั้งใจจะยกระดับมาตรฐานผลงานของตัวเองขึ้นมา

อับรามส์กล่าวว่า “สก็อตทำเกินกว่าความคาดหวังทุกอย่างของผมที่มีต่อหนังเรื่องนี้ เขาทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่เพียงแต่การออกแบบฉากที่น่าอัศจรรย์ใจเหล่านี้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างฉากขึ้นมาในแบบที่ยกระดับงานดีไซน์ด้วยครับ ทุกองค์ประกอบของยานเอนเตอร์ไพรซ์เป็นอะไรที่น่าทึ่ง และไม่ว่าผมจะมองไปที่ไหน ผมก็รู้สึกทึ่งกับมันครับ”

เชอร์นอฟกล่าวเสริมว่า “สก็อตมีเป้าหมายที่ทะเยอทะยานมากๆ ในหนังเรื่องนี้ นั่นคือการพาผู้ชมไปสู่อนาคตไกลโพ้น แต่ก็ต้องรักษาระดับความสมจริงเอาไว้ด้วย ตอนที่ผมได้ดูเจ.เจ.และสก็อตทำงาน ผมก็ได้เห็นพวกเขาตรวจดูทุกรายละเอียด ว่าเราอยากให้คนรู้สึกยังไงเกี่ยวกับโลกใบนี้และเราจะพาพวกเขาไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร พวกเขามีความสัมพันธ์ด้านความคิดสร้างสรรค์ที่วิเศษสุดครับ”

กระบวนการสร้างสรรค์ได้เริ่มต้นขึ้นด้วยแบบดีไซน์ใหม่ที่ท้าทายของแชมบ์ลิสสำหรับเอนเตอร์ไพรซ์เต็มรูปแบบ “พอเราได้งานอาร์ตเวิร์คคอนเซ็ปต์มาแล้ว เราทุกคนต่างก็หลงรักมันครับ” ทอมมี ฮาร์เปอร์ ผู้จัดการงานสร้างเล่า “แล้วมันก็เป็นเรื่องที่ว่าเราจะทำมันได้อย่างไร จะสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร ให้แสงมันอย่างไร โดยไม่ใช้ทุนเกินตัวน่ะครับ สิ่งที่เราได้ในท้ายที่สุดคือฉากที่งดงามอย่างแท้จริง มันช่วยเปิดกว้างโลกใบนี้ให้กับเจ.เจ. และผมก็คิดว่ามันจะทำแบบนั้นให้กับผู้ชมด้วยเหมือนกัน”

แชมบ์ลิสตั้งข้อสังเกตว่า ผลงานของเขาใน “Star Trek” ทั้งสองภาคได้รับอิทธิพลที่แข็งแรงจากสิ่งหนึ่ง นั่นคือแบบดีไซน์อุตสาหกรรมของปิแอร์ คาร์แดง นักออกแบบหัวก้าวหน้าชาวฝรั่งเศส ผู้เป็นที่รู้จักจากงานสร้างสรรค์ยุคอวกาศ ที่มีสีสันฉูดฉาดและรูปทรงเรขาคณิต “สิ่งที่คาร์แดงทำในแวดวงออกแบบอุตสาหกรรมเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับฉากเอนเตอร์ไพรซ์ทุกฉากเลยครับ” แชมบ์ลิสกล่าว

มันเป็นเรื่องจริงเป็นพิเศษสำหรับฉากที่คุมขังนักโทษไฮเทค “ในการออกแบบคุกที่คุมขังนักโทษ ผมนึกถึงบ้านริมทะเลที่ปิแอร์ คาร์แดงสร้างขึ้นในยุค 70s ครับ” นักออกแบบอธิบาย โดยอ้างถึง “บับเบิล เฮาส์” ที่โด่งดัง ที่ตั้งอยู่นอกเมืองคานส์ “มันมีเสาสีขาวตั้งเรียงราย และหน้าต่างทรงกลม ที่ถ้าไม่มองเข้าไปในห้องอื่นๆ ก็จะมองขึ้นไปยังท้องฟ้าเบื้องบน นอกจากนี้ ผมยังดูฉากโทรทัศน์อิตาเลียนทรงกลมต่างๆ ที่มีโมลด์พลาสติกล้อมกรอบทั้งด้านบนและด้านล่างครับ ทั้งหมดนั้นสุดท้ายแล้วก็กลายเป็นกล้องวงจรปิดในห้องขังแต่ละห้อง มันทำให้เกิดความรู้สึกหลอกๆ ที่นักโทษถูกขังอยู่ในหน้าต่างร้านค้าที่งดงาม ของการถูกสังเกตการณ์ตลอดเวลา ที่ถ่ายทอดคุณสมบัติทางอารมณ์และความรู้สึกอึดอัดออกมาด้วยครับ”

สำหรับยานเอนเตอร์ไพรซ์ แชมบ์ลิสได้ยึดมั่นกับวิสัยทัศน์ที่เขาและอับรามส์ได้เห็นพ้องเกี่ยวกับมุมมองที่พวกเขามีต่อ Star Trek “ไอเดียของเราคือการสร้างความรู้สึกแบบเรโทร-เทค ที่ร่วมสมัยแต่ก็ทำให้เรายึดมั่นอยู่กับซีรีส์ดั้งเดิมด้วยน่ะครับ ผมชื่นชอบการนำแบบดีไซน์สวยๆ เพรียวบางจากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ยุคเริ่มแรก เพื่อแสดงความคารวะต่อ Star Trek ยุคเก่า เราพยายามจะผสมผสานความรู้สึกแบบเรโทรกับอนาคตเข้าด้วยกันในแบบที่ทั้งสองอย่างสนับสนุนกันและกัน เป้าหมายสำคัญเสมอมาของเราคือการนำการมองอนาคตในแง่บวกของยีน ร็อดเดนเบอร์รีมาแปลงให้อยู่ในยุคสมัยองเราน่ะครับ”

ยานเอนเตอร์ไพรซ์ไม่เพียงแต่ถูกต่อขยายเพิ่มเติมในการเดินทางครั้งนี้เท่านั้น แต่มันต้องผ่านการเหินเวหาที่สุดเหวี่ยงที่สุดด้วย มีตอนหนึ่ง ยานลำนี้หักหัวลงอย่างเร็วในตอนที่มันกำลังจะลงจอดฉุกเฉิน ซึ่งอับรามส์เลือกที่จะจำลองฉากที่สวยงามของแชมบ์ลิสขึ้นมา “ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นพร้อมกับลวดสลิงและฉากที่เอียง เพื่อที่เราจะได้เดินบนผนังกันจริงๆ น่ะครับ” ไซมอน เพ็กก์อธิบาย “มันสนุกมากที่ได้ถ่ายทำ และต้องปรับความรู้สึกของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ว่าตรงไหนเป็นด้านบน ตรงไหนเป็นด้านล่าง แล้วมันก็เป็นความท้าทายด้วยเหมือนกัน แต่ผมกับคริสก็ชื่นชอบการได้อยู่ในสายรัดบังเหียน และถูกลากไปมาพร้อมตะโกนโหวกเหวกเพราะเรารู้ว่ามันจะต้องเป็นซีเควนซ์ที่มหัศจรรย์แน่ๆ”

“เราเรียกมันว่าซีเควนซ์กลิ้งหลุนๆ ครับ” โรเจอร์ กายเย็ทท์ ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล อธิบาย “ยานลำนี้กำลังพลิกตัวและแรงดึงดูดเทียมก็กำลังสิ้นสภาพ เมื่อเรื่องนั้นเกิดขึ้น คนก็จะเริ่มกระเด้งกระดอนไปมา เจ.เจ.สนใจไอเดียที่ว่า ถ้าคุณขยับกล้องในทางหนึ่ง และถ้าคนเคลื่อนไหวในแบบหนึ่ง มันก็คงจะให้ความรู้สึกเหมือนว่าทุกอย่างในยานถูกจับห้อยหัวน่ะครับ และเขาก็พูดถูก เจ.เจ.เข้าใจเวทมนตร์ของงานวิชวลในระดับรายละเอียดที่ลึกซึ้งที่สุดครับ”

 

การสำรวจโลกใหม่ที่แปลกต่าง: นิบิรูและโครนอส

                “Star Trek Into Darkness” นำพาให้ทีมผู้สร้างต้องใช้ทักษะในการสร้างดาวเคราะห์ ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก มากกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสร้างนิบิรู ดาวเคราะห์ภูเขาไฟสีแดง ที่เปิดภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยซีเควนซ์แอ็กชันที่น่าตื่นตาตื่นใจ และในการสร้างโครนอส ดาวบ้านเกิดของชาวคลิงกอน ที่ถูกเผาผลาญด้วยเพลิงสงคราม “ไม่มีอะไรจะน่าตื่นเต้นหรือสนุกอย่างเหลือเชื่อสำหรับทีมผู้สร้างมากกว่าการสร้างดาวอื่นๆ อีกแล้วล่ะครับ” สก็อต แชมบ์ลิสยอมรับ “คุณจะมีโอกาสที่หาได้ยากในการสร้างสิ่งที่สมจริงอย่างไม่อาจจินตนาการได้ขึ้นมาครับ”

สำหรับฉากแรกๆ ของเรื่องบนดาวนิบิรู ซึ่งอุดมสมบูรณ์ แต่ล้าหลังด้านเทคโนโลยี แชมบ์ลิสสนุกสนานอย่างยิ่งในการจินตนาการอารยธรรมสไตล์เกาะขึ้นมา “สิ่งหนึ่งที่ผมชื่นชอบเกี่ยวกับ Star Trek คือการทำงานกับสิ่งแวดล้อมที่ย้อนแย้งกันมากมาย” เขากล่าว “นิบิรูแตกต่างกับดาวคลิงกอนอย่างสุดขั้ว และดวงดาวทั้งสองก็แตกต่างจากโลกโดยสิ้นเชิง ทุกคนอยากให้ดาวเคราะห์ที่เป็นเกาะนี้มีบรรยากาศที่เย้ายวน และสิ่งหนึ่งที่ผมจำได้จากการเดินทางไปฮาวายคือสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า ‘ไม้ไผ่ลิปสติก’ ซึ่งมีแดงเข้ม และงดงามเกินบรรยาย มันก็เลยทำให้ผมนึกว่า ถ้าดาวดวงนี้เต็มไปด้วยสีแดงล่ะ มันคงเป็นเรื่องที่วิเศษสุด หากผสมผสานมันด้วยสีฟ้าน้ำทะเลและทรายสีขาว ไม่เพียงแต่มันจะเป็นแถบสีที่น่าทึ่งเท่านั้น แต่มันก็มีกลิ่นไอเรโทร ซึ่งเรายอมรับด้วยการเล่าเรื่อง Star Trek ของเรา แล้วเราก็พัฒนาบรรยากาศทางวัฒนธรรมขึ้นมาห้อมล้อมมันน่ะครับ”

เจฟฟรีย์ เชอร์นอฟกล่าวเสริมว่า “บางครั้ง ความท้าทายของนิบิรูก็ท่วมท้นเลยครับ ไม่เพียงแต่ฉากและการถ่ายทำจะเป็นเรื่องท้าทาย แต่เราต้องสร้างคนทั้งเผ่า ซึ่งเราต้องใช้เวลาคิดอยู่หลายเดือน หนังหลายเรื่องอาจจะแค่พูดว่า เราจะทำมันด้วย CG แต่เจ.เจ.อยากจะเนรมิตชีวิตให้กับดาวดวงนี้ต่อหน้ากล้องจริงๆ เราก็เลยเริ่มออกแบบชาวนิบิรูของเรา ซึ่งเราใช้เวลานานมกกว่าจะคิดลุคของพวกเขาออกมาได้ ด้วยการร่วมงานกับเนวิลล์ เพจ ผู้ออกแบบสิ่งมีชีวิตของเรา, เดวิด แอนเดอร์สัน ผู้ออกแบบเมคอัพสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ของเราและไมเคิล แคปแลน ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายไงครับ”

สิ่งที่ท้าทายไม่แพ้กันคือดาวโครนอส และอีกครั้งหนึ่งที่อับรามส์ให้อิสระกับแชมบ์ลิสอย่างเต็มที่ในการถ่ายทอดสังคมนักรบของชาวคลิงกอนออกมาในแบบฉบับของเขาเอง ผมเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเจ.เจ.อยากให้โครนอสเป็นสนามเด็กเล่นที่น่าอัศจรรย์ แต่การที่สนามเด็กเล่นนั้นจะออกมาเป็นยังไงก็ต้องอาศัยการทดลองวิธีต่างๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าครับ” แชมบ์ลิสเล่า “โครนอสมีวัฒนธรรมของการรบพุ่งกัน เราก็เลยคิดว่ามันคงจะน่าสนใจที่ได้แสดงถึงส่วนหนึ่งของดาวดวงนั้นที่เป็นเหมือนทุ่งร้างที่เต็มไปด้วยสารพิษ เหมือนสิ่งที่คุณจะได้เห็นหลังระเบิดนิวเคลียร์หรือหายนะทางสิ่งแวดล้อม และก็ต่อยอดจากตรงนั้นเพิ่มเติมครับ”

เขาพบแรงบันดาลใจในโลเกชันที่ไม่ธรรมดาเลย “ผมพบภาพถ่ายของสวนน้ำร้างในรัสเซีย มันเป็นสถานที่กว้างใหญ่จากยุค 50s หรือ 60s ที่อยู่ในสภาพทรุดโทรม มันก็เลยให้ความรู้สึกที่น่าขนลุก ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับลุคที่เราต้องการจริงๆ ครับ” แชมบ์ลิสอธิบาย

ฉากขนาด 40,000 ฟุตถูกสร้างขึ้นบนซาวน์สเตจขนาดใหญ่ “สเกลมันมหึมาเลยครับ” ทอมมี ฮาร์เปอร์กล่าว “เจ.เจ.อยากจะทำหลายอย่างต่อหน้ากล้อง ไม่ให้มันเป็นโลกดิจิตอลเท่านั้น เราอยู่ภายใต้ภาวะตึงเครียด แต่เราก็ทำมันได้สำเร็จ ซึ่งรวมถึงผนังแสงสว่างวาบ ที่เป็นเหมือนตัวละครในฉากนี้ครับ มันเป็นหนึ่งในฉากที่คุณจะจดจำได้ และแค่ได้ไปถึงโครนอสก็น่าตื่นเต้นแล้วครับ!”

นอกเหนือจากการเนรมิตชีวิตที่เจิดจ้าให้กับโครนอสแล้ว แชมบ์ลิสก็มีโอกาสได้ออกแบบภายในของยานต่อสู้ของคลิงกอน “มันสนุกจริงๆ ที่ได้สร้างเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมให้กับยานลำนี้ มันเป็นยานสามที่นั่ง เราก็เลยตัดสินใจว่าทั้งสามที่นั่งนี้จะหันหน้าไปคนละทาง มันเป็นพื้นที่ที่แคบและสลับซับซ้อนจริงๆ ซึ่งเราก็รักความท้าทายแบบนั้น พวกเราทุกคนต่างก็ปีนป่ายไปด้านใน ซึ่งหัวเราชนกันแถมข้าวของก็ถูกปัดตกระเกะระกะไปหมด และเราก็คิดกันว่า ‘มันสวยมากเลยแต่น่าจะถ่ายทำฉากยากมากแน่ๆ’ แล้วเจ.เจ.ก็เข้ามา และทำให้พื้นที่นี้เวิร์คสำหรับกล้อง ซึ่งมันน่าตื่นเต้นมากครับ”

สำหรับชาวคลิงกอนเอง อับรามส์อธิบายว่า “เราโชคดีมากที่ได้เนวิลล์ เพจ ซึ่งเป็นผู้ออกแบบสิ่งมีชีวิตที่วิเศษสุด และเดวิด แอนเดอร์สัน ผู้เป็นศิลปินเมคอัพและสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ มาทำงานร่วมกันเพื่อเนรมิตชีวิตให้กับชาวคลิงกอน เราได้เลือกนักแสดงที่วิเศษสุดหลายคนมารับบทต่างๆ และพวกเขาก็ทำหน้าที่ได้อย่างน่าทึ่ง และเช่นเดียวกับแบบดีไซน์ของยานเอนเตอร์ไพรซ์ ชาวคลิงกอนในหนังเรื่องนี้ก็เป็นการแสดงคารวะต่อสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ รวมถึงชาวคลิงกอนต้นฉบับด้วยน่ะครับ”

 

แฟชันอวกาศ

                ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ไมเคิล แคปแลน ผู้กลับมาทำงานในเรื่องนี้อีกครั้ง ได้ต่อยอดการทำงานของตัวเองใน “Into Darkness” ซึ่งเป็นงานที่แตกต่างจากการออกแบบเครื่องแต่งกายส่วนใหญ่ ตรงที่ในเรื่องนี้ มันต้องอาศัยจินตนาการมากกว่าการค้นคว้าข้อมูล “Star Trek เป็นเหมือนการทำงานในหนังพีเรียด แต่เป็นหนังพีเรียดที่ไม่มีอะไรหลงเหลือจากยุคนั้นเลยน่ะครับ! คุณไม่สามารถไปเดินร้านของเก่าหรือบริษัทเสื้อผ้า เพื่อรวบรวมชุดได้” เขาตั้งข้อสังเกต “ใน Star Trek ทุกอย่างจะต้องถูกสร้างขึ้นมา และถ้ามีการเปลี่ยนแปลงหรือเสริมแต่งอะไรในบท มันก็ไม่มีอะไรที่คุณสามารถดึงออกมาใช้หรือมีพร้อมใช้อยู่แล้ว หนังแบบนี้ก็เลยต้องมีการเตรียมตัวมหาศาลเลยครับ”

สำหรับการเดินทางครั้งใหม่นี้ กระทั่งเครื่องแบบมาตรฐานของลูกเรือก็ต้องผ่านการปรับเปลี่ยนเช่นกัน “เราไม่ต้องการจะไปยุ่มย่ามกับมันมากนัก แต่เราก็อยากทำให้มันให้ความรู้สึกที่ซับซ้อนและเซ็กซีกว่าเดิม” แคปแลนอธิบาย”ผมได้ซิลค์สกรีนเครื่องแบบด้วยลวดลายบูมเมอแรง ที่คุณจะได้เห็นในฉากโคลสอัพ มันเป็นความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ และสีสันก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยเล็กน้อยเช่นกัน สีแดงจะออกเป็นสีแดงเลือดมากขึ้น ส่วนสีน้ำเงินก็จะอมเขียวมากขึ้น สีทองจะออกไปในโทนมัสตาร์ดมากขึ้น ส่วนกางเกงก็จะรัดรูปมากขึ้น และเราก็ได้ปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่างเข้าไป ดังนั้น ตอนนี้ นักแสดงก็ไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อทางหัวอีกแล้ว เพราะมันมีซิปที่มองไม่เห็นซ่อนอยู่ครับ”

หนึ่งในชุดที่น่าตื่นเต้นที่สุดในครั้งนี้คงหนีไม่พ้นชุดสำรวจภูเขาไฟของสป็อค และแคปแลนก็ได้นำภาพจำของชุดอวกาศไปในทิศทางใหม่ “ผมนึกเรื่องนี้มานานแล้ว และผมก็ได้สีทองแดง ซึ่งเป็นสีที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนในหนังไซไฟครับ” เขาอธิบาย “ชุดอวกาศมักจะเป็นสีเทา เงิน ขาวหรืออาจจะเป็นสีทองด้วยซ้ำไป แต่ผมก็ได้แต่นึกถึงเงาของเปลวเพลิงและผมก็นึกถึงว่ามันจะงดงามแค่ไหนน่ะครับ”

อย่างไรก็ดี ความงามของชุดนี้กลับซ่อนความสลับซับซ้อนอย่างสูงเอาไว้ “มันเป็นชุดที่มีรายละเอียดมากๆ มีการใช้เส้นลวดและวิศวกรรมจักรกลมากมายเพื่อเสริมกับลุคของมัน แซ็คเหมือนกับต้องถูกยึดตัวกับชุดจริงๆ เราก็เลยต้องเพิ่มกลไกการสลัดตัวอย่างรวดเร็วให้กับเขาด้วยครับ”

นอกจากนี้ แคปแลนยังได้เย็บชุดเว็ทสูทของฝูงบินสตาร์ฟลีทให้กับนักแสดงหลักหลายคน ซึ่งรวมถึงชุดแดงทับทิมให้กับอูฮูร่า ตัวละครของโซอี้ ซัลดานาอีกด้วย “ผมคิดว่าชุดเว็ทสูทของอูฮูร่าเป็นหนึ่งในชุดโปรดของเจ.เจ.ในหนังเรื่องนี้ครับ” แคปแลนกล่าว “เราอยากให้มันดูเหมือนเว็ทสูทสไตล์ Star Trek ผมก็เลยออกแบบสิ่งที่ผมคิดว่าจะดูสมัยใหม่และเหมาะสำหรับ Star Trek ครับ”

ลุคใหม่ๆ ยังรวมถึงชุดอวกาศที่ทำจากเหล็กถัก พร้อมด้วยเกราะส่องสว่าง ชุดเครื่องแบบของฝูงบินสตาร์ฟลีทและชุดชัตเติลเรียบๆ สำหรับการเดินทางแบบสบายๆ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เรายังจะได้เห็นลูกเรือเอนเตอร์ไพรซ์สวมชุดพลเมือง บนยานการค้านอร์เมียน และบนดาวโครนอส ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่น่าตื่นเต้นสำหรับแคปแลนด้วย “ผมอยากให้พวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าที่จะเหมาะกับสภาพสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาจะไปเจอ ชุดพวกนั้นก็เลยจะหยาบๆ และพร้อมใช้ แต่ผมก็ชื่นชอบการได้ทำงานกับไอเดียที่ว่า ตัวละครแต่ละตัวใส่ชุดเครื่องแบบที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเองน่ะครับ” เขาอธิบาย

นอกจากนี้ ซัลดานายังรู้สึกตื่นเต้นกับชุดของเธอ โดยเธอกล่าวว่า “ฉันรักเสื้อผ้าหนังแบบคนเร่ร่อน ประมาณ Mad Max ที่ทำให้เรากลมกลืนกับดาวโครนอส ไมเคิลเป็นทั้งศิลปินและนักเล่าเรื่องเลยล่ะค่ะ”

ในแง่มุมที่มืดหม่นกว่า แคปแลนก็สนุกสนานกับการคิดเครื่องแบบให้กับลูกเรือเวนเจนซ์ ด้วยการใช้ลวดลายแบบตารางกริด ที่จะเล่นกับแสงสว่าง และสำหรับตัวร้าย ที่รับบทโดยเบเนดิคท์ คัมเบอร์แบทช์ด้วย “สำหรับเบเนดิคท์ ผมชอบไอเดียของเสื้อโค้ทตัวยาว คุณก็เลยจะได้เห็นเขาเดินโดยมีหางเสื้อโค้ทสะบัดอยู่ด้านหลัง ตอนที่คุณได้เห็นเขาครั้งแรกบนดาวโครนอส มันเหมือนเขามีไฟส่องสว่างอยู่ ซึ่งผมกับเจ.เจ.คิดว่ามันคงเป็นไอเดียที่ดีถ้าเราจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใครในตอนแรก คุณเกือบจะคิดว่าเสื้อโค้ทของเขาเป็นเสื้อโค้ทชาวคลิงกอนด้วยซ้ำไป แล้วพอเขากระโดดลงมา คุณก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าเขาเป็นใคร เพราะเขาสวมฮู้ดและหน้ากาก แล้วพอเขาถอดทั้งหมดนั่นออก คุณก็จะประหลาดใจที่ได้เห็นเบเนดิคท์น่ะครับ”

สำหรับชุดของชาวคลิงกอน แคปแลนได้ใช้แบบดีไซน์ที่สร้างขึ้นสำหรับภาคแรก แต่ผู้ชมไม่เคยเห็นมาก่อน “เราใช้เนื้อผ้าที่ดูเหมือนหนังแรดหรือหนังช้าง สำหรับชุดบุกจู่โจมของพวกเขาครับ” เขาอธิบาย “หมวกเกราะของพวกเขานำเค้าโครงมาจากแมงดาทะเล ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นแบบดีไซน์ที่ยอดเยี่ยม แล้วเขาก็ออกแบบอีกลุคหนึ่งสำหรับพวกนักรบ ซึ่งจะทำให้การต่อสู้คล่องตัวขึ้นครับ”

อีกหนึ่งความท้าทายสำหรับแคปแลนคือโอกาสในการออกแบบโลกที่ไม่มีใครรู้จักและโลกของเราเอง แม้มันจะเป็นซานฟรานซิสโกและลอนดอนในศตวรรษที่ 23 ก็ตามที อีกครั้งหนึ่งที่เขาพบว่าตัวเองต้องมองไปสู่อนาคตและอดีตพร้อมๆ กัน “เช่นเดียวกับส่วนที่เหลือของเรื่อง เราอยากให้แบบดีไซน์บนโลกมีพื้นฐานจากยุค 60s แต่ก็เป็นเวอร์ชันอนาคตที่เป็นไปได้ เราได้แรงบันดาลใจจากนักออกแบบอย่างคริสเตียน ดิออร์, รูดี้ เกิร์นไรช์และคอร์แทจ แล้วก็ทำให้มันเป็นแบบดีไซน์ของเราเองครับ”

แคปแลนกล่าวว่า นั่นเองเป็นสิ่งสำคัญในการร่วมงานกับอับรามส์ “ทุกสิ่งจะต้องเจ๋ง แต่ที่สำคัญที่สุด มันจะต้องสะท้อนถึงอารมณ์ที่แท้จริงของเรื่องราวที่เรากำลังบอกเล่าอยู่ด้วยครับ” เขากล่าวสรุป

 

ที่ซึ่งการค้นพบเกิดขึ้น: การตะลุยสู่ศูนย์เนชันแนล อิกนิชัน แฟซิลิตี้

                ยีน ร็อดเดนเบอร์รีเคยพูดถึง Star Trek ว่า “เกือบทั้งหมดนี้มาจากความู้สึกของผมที่ว่าอนาคตของมนุษยชาติช่างสว่างไสว เราเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ยังมีความมหัศจรรย์มากมายรอเราอยู่เบื้องหน้า ผมมองไม่เห็นว่ามันจะเป็นอย่างอื่นไปได้” จิตวิญญาณนั้น ซึ่งยังคงดึงดูดผู้คนนับล้านให้สนใจเรื่องราวการเดินทางข้ามอวกาศที่เขาสร้างขึ้นมาเมื่อเกือบ 50 ปีก่อน ได้รับแรงบันดาลใจจากแรงขับที่ไม่สิ้นสุดของมนุษย์ในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หลักปรัชญาใน Star Trek ก็ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักวิทยาศาสตร์ นักสำรวจและนักเขียนรุ่นใหม่ๆ มากมาย

ในการแสดงความคารวะต่อวงจรแรงบันดาลใจดังกล่าว เจ.เจ.อับรามส์ได้นำ “Star Trek Into Darkness” สู่โลเกชันที่มีความหมายพิเศษ นั่นคือศูนย์เนชันแนล อิกนิชัน แฟซิลิตี้ (เอ็นไอเอฟ) ที่ห้องปฏิบัติการลอว์เรนซ์ ลิเวอร์มอร์ สถานที่ค้นคว้าเรื่องอนาคตของพลังงาน ณ ที่นี้ มีการใช้แสงเลเซอร์ที่เข้มข้นที่สุดของโลก 192 เครื่องเพื่อไขปริศนาเรื่องสสารและปฏิสสาร และเพื่อสำรวจเรื่องของปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ ฟิวชัน ซักวันหนึ่ง ผลงานของเอ็นไอเอสอาจจะก่อให้เกิดการปฏิวัติด้านพลังงานที่พลิกโฉมหน้าของโลก ปลดปล่อยมนุษยชาติจากเชื้อเพลิงจำกัดที่สร้างมลพิษและก่อให้เกิดปัญหา และทำให้การเดินทางในอวกาศมีความเป็นไปได้มากขึ้นก็เป็นได้

เอ็นไอเอฟ ซึ่งเป็นสถาบันลับสุดยอดของรัฐบาล มักจะไม่อนุญาตให้กองถ่ายเข้ามา…แต่ Star Trek เป็นอะไรที่ต่างออกไป ความเชื่อมโยงระหว่าง Star Trek และเอ็นไอเอฟมีมาตั้งแต่รากเหง้าของมัน เพราะยานเอนเตอร์ไพรซ์มีเชื้อเพลิงคือดิวเทอเรียม เป็นไอโซโทปของไฮโดรเจน ที่เป็นที่รู้จักในชื่อของ “ไฮโดรเจนหนัก” เช่นเดียวกับเอ็นไอเอฟ และนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่ทำงานอยู่ที่เอ็นไอเอฟยอมรับว่าพวกเขาเริ่มต้นจากการดูเคิร์คและสป็อคพยายามจะผลักดันขอบเขตความรู้ของมนุษย์ในปัจจุบันออกไปอีก

ดร.เอ็ดเวิร์ด โมเซส ผู้ช่วยผู้อำนวยการหลักของศูนย์เอ็นไอเอฟและหนึ่งในคณะบริหารของโฟตอน ไซเอนซ์กล่าวว่า “หลายปีมาแล้วที่เรารอให้ Star Trek รู้ตัวว่าพวกเขาควรจะมาอยู่ตรงนี้ครับ! นี่เป็นสถาบันที่มีความเป็นโลกอนาคตมากๆ…และผมก็คิดว่าพวกเราทุกคนต่างก็ได้รับอิทธิพลจากวิสัยทัศน์โลกอนาคตของ Star Trek นะครับ”

สำหรับทีมผู้สร้าง เอ็นไอเอฟได้เปิดโอกาสสำหรับการใช้โลเกชันที่ไม่มีทางลอกเลียนแบบได้ มันเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ดำดิ่งเข้าไปในภายในเตานิวเคลียร์ของยาน ที่มาของการขับเคลื่อนแบบวาร์ปที่ล้ำสมัยที่สุดของฝูงบินสตาร์ฟลีท ที่ทำให้เกิดการเดินทางที่ไวกว่าแสงได้ สำหรับเอ็นไอเอฟ นี่เป็นโอกาสให้พวกเขาได้เห็นห้องปฏิบัติการของพวกเขาถูกตีความผ่านมุมมองของนักเล่าเรื่องภาพยนตร์ “มันน่าตื่นเต้นอย่างมากที่ได้เห็นวิสัยทัศน์ของเจ.เจ. อับรามส์ที่มีต่อสิ่งที่พวกเราทำครับ” โมเสสตั้งข้อสังเกต

อับรามส์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประทับใจกับความงดงามทางเทคโนโลยี และความรู้สึกของการตกอยู่ท่ามกลางสถานที่ที่ซึ่งวิทยาศาสตร์ศตวรรษที่ 21 กำลังนำไปสู่ศตวรรษที่ 23 ของเรื่อง “เราไปที่นั่นเพื่อพยายามจะถ่ายทำหนัง แต่รอบตัวเรา นักวิทยาศาสตร์นวัตกรรมเหล่านี้กำลังทำงานอยู่กับเทคโนโลยีที่น่าจะช่วยโลกทั้งใบได้” เขากล่าว “ไอเดียที่ว่าซักวันหนึ่ง การค้นคว้าที่เอ็นไอเอฟจะสามารถสร้างพลังงานอนันต์ที่สะอาดขึ้นมาได้เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นเหลือเกิน ในทางกลับกัน มันก็เป็นโลเกชันเยี่ยมๆ สำหรับเรื่องราวนี้ครับ แต่ที่สำคัญกว่านั้น เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการต้อนรับที่นี่ คนพวกนี้กำลังทำงานวิจัยที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของดาวดวงนี้ในแบบเดียวกับที่วงล้อหรือหลอดไฟได้ทำมาแล้ว เราไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำว่าพวกเขาจะปล่อยให้เราถ่ายทำในนี้ และพวกเขาก็ตื่นเต้นมากที่เราเข้าไป มีคนจำนวนมากบอกกับเราว่า Star Trek เป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาสนใจวิทยาศาสตร์ด้วยนะครับ”

ตลอดการถ่ายทำ นักวิทยาศาสตร์ ศิลปินและบุคคลสาธารณะต่างมารวมตัวกันที่กองถ่ายของ “Into Darkness” เพื่อจะดูการถ่ายทำ Star Trek การรวมตัวกันของพวกเขาเป็นสิ่งที่ทำให้ทีมงานรำลึกอยู่เสมอว่า คอนเซ็ปต์นี้ยังคงมีเสน่ห์น่าหลงใหลและเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วโลกมากแค่ไหน

ไบรอัน เบิร์คกล่าวสรุปว่า “ผมคิดว่าสิ่งที่ดึงดูดคนที่แตกต่างหลากหลายเหล่านี้ให้สนใจ Star Trek คือสิ่งเดียวกับที่ดึงดูดเจ.เจ. ทีมงานและนักแสดงของเรา นั่นคือความรู้สึกอัศจรรย์ในสิ่งที่อาจรออยู่ในอนาคต ในตอนที่เรากล้าที่จะทิ้งโลกไว้เบื้องหลังเพื่อเรียนรู้สปีซีส์และโลกต่างๆ เราต่างก็ถูกดึงดูดเข้าหาอนาคตนั้น ที่ซึ่งจะไม่มีสงครามบนโลกอีกต่อไป และไม่ว่าเราจะมีปัญหาอะไรก็ตาม เราก็จะแก้ไขปัญหาไปด้วยกัน นั่นคือวิสัยทัศน์ของ Star Trek ครับ และนั่นคือสิ่งที่ตกอยู่ในความเสี่ยงในเรื่องราวนี้ด้วยครับ”

# # # # #

ประวัตินักแสดง

จอห์น โช (John Cho) รับบท ฮิคารุ ซูลู

ในฐานะหนึ่งในนักแสดงที่น่าตื่นเต้นที่สุดในปัจจุบัน จอห์น โช ยังคงมีผลงานการแสดงที่น่าหลงใหลทั้งในจอแก้วและจอเงินอย่างต่อเนื่อง โชได้รับความสนใจเป็นครั้งแรกในคอเมดียอดนิยมปี 1999 เรื่อง “American Pie” ซึ่งเขาได้ทำให้ศัพท์แสลงที่ว่า “มิลฟ์” ขึ้นมา เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งกลับมารับบทเดิมอีกครั้งในภาคล่าสุดของแฟรนไชส์นี้ “American Reunion” ซึ่งเพิ่งแพร่ภาพเมื่อต้นปีนี้ โชได้มีชื่อเสียงโด่งดังในบท ฮาโรลด์ ลีในคอเมดีคัลท์เรื่อง “Harold & Kumar Go to White Castle,” “Harold & Kumar Escape from Guantanamo Bay” และ “A Very Harold and Kumar 3-D Christmas”

ด้านจอเงิน ล่าสุด โชได้แสดงประกบโคลิน ฟาร์เรล, เจสสิก้า บีลและเคท เบคคินเซลในรีเมกภาพยนตร์คลาสสิกของเลน ไวส์แมนเรื่อง “Total Recall” ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ เขาจะได้แสดงประกบเมลิสซา แม็คคาร์ธีและเจสัน เบทแมนในภาพยนตร์โดยเซธ กอร์ดอนเรื่อง “Identity Thief” ในเดือนพฤษภาคม โชจะได้กลับมารับบทร้อยโทฮิคารุ ซูลูในซีเควลเรื่อง “Star Trek into the Darkness” ที่เป็นที่จับตามองอย่างสูง

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ภาพยนตร์โดยเวทซ์ บรอสเรื่อง “American Dreamz” ที่แสดงประกบวิลเลม เดโฟและฮิวจ์ แกรนท์, “Better Luck Tomorrow,” “Pavilion of Women,” ภาพยนตร์โดยสตีเวน โซเดอร์เบิร์กห์เรื่อง “Solaris” และภาพยนตร์รางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเรื่อง “American Beauty”

ปัจจุบัน เขาได้แสดงคอเมฮิตทางเอ็นบีซีเรื่อง “GO ON” ในบทสตีเฟน เจ้านายและเพื่อนสนิทของแมททิว เพอร์รี โชได้รับบทเอเจนท์ดีมิทรี โนห์ในซีรีส์ดรามาเอบีซีเรื่อง “FlashForward” และซีรีส์โดยพี่น้องไวท์เรื่อง “Off Centre” นอกเหนือจากบทรับเชิญมากมาย เขายังได้ร่วมแสดงในซีซันสุดท้ายของซีรีส์ “Kitchen Confidential” อีกด้วย

โชเกิดในกรุงโซล ประเทศเกาหลี และเติบโตในลอสแองเจลิส, แคลิฟอร์เนีย เขาเริ่มแสดงระหว่างที่เขาศึกษาวรรณคดีอังกฤษที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย, เบิร์คลีย์ เขาได้แสดงละครเรื่อง “The Woman Warrior” ที่เปิดการแสดงทั่วประเทศ ละครเรื่องนี้ดัดแปลงจากอนุทินที่โด่งดังโดยแม็กซีน คิงสตัน ผลงานละครเวทีเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่บทลาเออร์เทสในละครโดยสิงคโปร์ รีเพอร์ทอรี เธียเตอร์เรื่อง “Hamlet” และละครเรื่องอื่นๆ ให้กับอีสต์ เวสต์ เพลเยอร์ส

ปัจจุบัน โชใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส

 

เบเนดิคท์ คัมเบอร์แบทช์ (Benedict Cumberbatch) รับบท จอห์น แฮร์ริสัน

เบเนดิคท์ คัมเบอร์แบทช์ เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบทนำใน “Sherlock Holmes” ภาพยนตร์น่าทึ่งที่สตีเวน มอฟแฟทท์และมาร์ค แก็ททิสส์ดัดแปลงจากหนังสือโดยโคแนน ดอยล์ บทนี้ทำให้เขาโด่งดังระดับโลกและได้รับรางวัลมากมาย ซึ่งรวมถึงการได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลบาฟตาและรางวัลคริติกส์ ชอยส์ อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ล่าสุด ด้านจอเงิน เขาได้แสดงบทนายพลสจวร์ตในภาพยนตร์โดยสตีเวน สปีลเบิร์กที่ดัดแปลงจากเรื่อง “War Horse” และบทปีเตอร์ กิลเลียม ประกบแกรี โอลด์แมน, ทอม ฮาร์ดี้และโคลิน เฟิร์ธ ในภาพยนตร์โดยโทมัส อัลเฟร็ดสันเรื่อง “Tinker Tailor Soldier Spy” ในปี 2001 เบเนดิคท์ได้กลับไปแสดงให้กับเนชันแนล เธียเตอร์อีกครั้ง โดยเขาได้รับบททั้งสัตว์ประหลาดและดร.แฟรงค์เกนสไตน์ในละครเรื่อง “Frankenstein” โปรดักชันของแดนนี บอยล์ ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลลอว์เรนซ์ โอลิเวียร์ อวอร์ดและอีฟนิง สแตนดาร์ด อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม

เบเนดิคท์ได้ศึกษาการละครที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ก่อนที่จะศึกษาที่ลอนดอน อคาเดมี ออฟ ดรามาติค อาร์ต (แลมดา) ผลงานจอแก้วช่วงแรกๆ ของเขาได้แก่ “Tipping the Velvet,” “Silent Witness,” “Nathan Barley,” “Spooks,” “Dunkirk,” “To the Emds of the Earth” และ “The Last Enemy” อย่างไรก็ดี การแสดงที่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อของเขาในบท สตีเฟน ฮอว์กิ้ง นักจักรวาลวิทยาจากเคมบริดจ์ในดรามาที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างสูงทางบีบีซีเรื่อง “Hawking” คือผลงานที่ทำให้เขาได้รับความสนใจจากผู้ชมทั่วโลกและทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาเป็นครั้งแรก เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาครั้งที่สองในปี 2010 จากการแสดงในบทเบอร์นาร์ดในซีรีส์บีบีซีเรื่อง “Small Island”

ผลงานภาพยนตร์ของเบเนดิคท์รวมถึง “Starter for Ten,” “Amazing Grace,” “Third Star,” “Wreckers,” “Stuart: A Life Backward,” “The Other Boleyn Girl” และบทเฮอร์เบิร์ท มาร์แชลในภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ของโจ ไรท์เรื่อง “Atonement”

ด้านละครเวที เขาได้แสดงสองซีซันกับเดอะ นิว เชคสเปียร์ คัมปะนีในรีเจนท์ ปาร์ค, บทลินส์แรนด์ในละครเรื่อง “Lady from the Sea” โปรดักชันของเทรเวอร์ นันน์, บทจอร์จในละครโดยเทนเนสซี วิลเลียมส์เรื่อง “Period of Adjustment,” บททีสแมนในละครเวสต์เอนด์เรื่อง “Hedda Gabbler” โปรดักชันของริชาร์ด แอร์ ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโอลิเวียร์และเอียน ชาร์ลส์ตัน อวอร์ด, บทเบเรนเกอร์ในละครโดยอิโอเนสโก้เรื่อง “Rhinocerus,” “The Arsonists” และ “The City” ที่รอยัล คอร์ท และในปี 2010 เขาก็ได้รับบทเดวิด สก็อต ฟาวเลอร์ในละครเรื่อง “After the Dance” โปรดักชันของเธีย แชร์ร็อค, เนชันแนล เธียเตอร์และแรททิกัน

เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งได้แสดงในดรามาบีบีซี/เอชบีโอเรื่อง “Parades End” เมื่อปีที่แล้ว เขาได้ถ่ายทำบทมังกรสม็อคในภาพยนตร์โดยปีเตอร์ แจ็คสันเรื่อง “The Hobbit” ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์โดยสตีฟ แม็คควีนเรื่อง “August: Osage Country” ภาคที่สามของแฟรนไชส์ Sherlock จะเริ่มถ่ายทำในปี 2013

 

อลิซ อีฟ (Alice Eve) รับบท แครอล มาร์คัส

นับตั้งแต่สำเร็จการศึกษาจากอ็อกซ์ฟอร์ด อลิซ อีฟ ก็ได้แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ของเธอในแวดวงภาพยนตร์ โทรทัศน์และละครเวที ล่าสุด เธอได้รับบท ‘เอเจนท์โอห์วัยสาว’ ในภาพยนตร์โดยโคลัมเบีย พิคเจอร์สเรื่อง “Men in Black III” ในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่กำกับโดยแบร์รี ซอนเนนเฟลด์ เธอได้แสดงประกบวิล สมิธและทอมมี ลี โจนส์ ผู้กลับมารับบทของพวกเขาอีกครั้งในภาคสามของแฟรนไชส์นี้

เมื่อเร็วๆ นี้ เธอยังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์โดยโร้ค พิคเจอร์สเรื่อง “The Raven” ซึ่งเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากช่วงบั้นปลายชีวิตของเอ็ดการ์ อัลเลน โป ซึ่งตัวนักกวีผู้นี้ได้ไล่ล่าฆาตกรต่อเนื่อง ผู้ซึ่งก่อเหตุฆาตกรรมคล้ายกับในเรื่องราวของเขา อีฟรับบท ‘เอมิลี’ คู่หมั้นของเอ็ดการ์ อัลเลน โป ที่รับบทโดยจอห์น คูแซ็ค ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในวันที่ 9 มีนาคม ปี 2012 โดยรีเลทีฟวิตี้

เมื่อเร็วๆ นี้ เธอเพิ่งปิดกล้องภาพยนตร์เรื่อง “Eye of Winter” ดรามาอาชญากรรมเกี่ยวกับอาชญากรตาบอด ผู้จับตัวเจ้าของโรงแรมตกยากและลูกสาวของเธอเป็นตัวประกัน เพื่อเรียกร้องเงินคืนจากตำรวจกังฉิน ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่กำกับโดยเจ๋อชุน ร่วมแสดงโดยไบรอัน แครนสตัน, โลแกน มาร์แชล-กรีน และเออร์ซูลา ปาร์คเกอร์

ในปี 2010 อีฟได้แสดงในโรแมนติกคอเมดีโดยดรีมเวิร์คส์และพาราเมาท์เรื่อง “She’s Out of My League” ภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมแสดงโดยเจย์ บารูเชล ผู้ซึ่งตัวละครของเขาในที่สุดก็คว้าตัวสาวในฝันมาได้ โดยสาวในฝันผู้นี้รับบทโดยอีฟ แต่เขากลับปล่อยให้ความกลัวและความไม่มั่นใจของตัวเองมาคุกคามความสัมพันธ์ของพวกเขา นอกจากนี้ เธอยังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ฮิตประจำบ็อกซ์ออฟฟิศช่วงซัมเมอร์ของวอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง “Sex and the City 2” อีกด้วย

ในปี 2008 เธอได้สร้างความประทับใจบนเวทีบรอดเวย์และเวสต์เอนด์ของลอนดอนในละครที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง “Rock N Roll” ในละครเรื่องนี้ที่เขียนบทโดยทอม สต็อพเพิร์ดและกำกับโดยเทรเวอร์ นันน์ เธอได้แสดงประกบรูฟัส ซีเวล, ไบรอัน ค็อกซ์ และซินีด คูแซ็ก

ในปี 2006 อีฟได้แสดงประกบเจมส์ แม็คอะวอยและรีเบ็กก้า ฮอลในภาพยนตร์เรื่อง “Starter for Ten” ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดยทอม แฮงค์และสร้างขึ้นจากหนังสือเบสต์เซลเลอร์โดยเดวิด นิคโคลส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มนักศึกษาที่ใช้วิธีการเจรจาต่อรองเพื่อความอยู่รอดในมหาวิทยาลัยในบริสทอลปี 1980 “Starter for Ten” เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโตปี 2006

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอก็เช่น “ATM,” “The Decoy Bride,” “Crossing Over,” “Big Nothing” และ “Stage Beauty” ผลงานจอแก้วได้แก่ “The Rotters Club,” “Losing Gemma” และ “Hawking”

เธอเป็นลูกสาวของสองนักแสดง เทรเวอร์ อีฟและชารอน มอห์น เธอศึกษาที่ลอนดอน ก่อนจะไปศึกษาต่อด้านภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ระหว่างเรียน เธอได้ร่วมแสดงในละครเวทีหลายเรื่อง ซึ่งนั่นเองที่ทำให้เธอเกิดความชื่นชอบในการแสดงขึ้นมา การแสดงระหว่างเรียนมหาวิทยาลัยของเธอรวมถึงบท ‘กาแล็คติก้า’ ใน “Scenes from an Execution” และ ‘มาเบล’ ใน “An Ideal Husband”

ปัจจุบัน เธอใช้ชีวิตอยู่ในลอนดอน

 

บรูซ กรีนวู้ด (Bruce Greenwood) รับบท กัปตัน ไพค์

เมื่อเร็วๆ นี้ บรูซ กรีนวู้ดได้นำแสดงในซีรีส์สยองขวัญ/ดรามาทางเอบีซีเรื่อง “The River” ในบทเอ็มเม็ต โคล นักสำรวจชีวิตสัตว์ป่า ผู้ออกรายการโทรทัศน์ ที่มองหาเวทมนตร์ในดินแดนอเมซอน และหายตัวไป ระหว่างที่ครอบครัวและเพื่อนๆ ของเขาออกเดินทางที่ทั้งอันตรายและลึกลับเพื่อตามหาเขา โอเรน เพลี ผู้สร้าง “Paranormal Activity” และสตีเวน สปีลเบิร์กรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างของเรื่อง

นอกจากนั้น เขายังได้แสดงประกบเดนเซล วอชิงตันในดรามาเรื่อง “Flight” ให้กับพาราเมาท์ พิคเจอร์ส ภายใต้การกำกับของโรเบิร์ต ซีเมคิส ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องของวิป (วอชิงตัน) นักบิน ที่มีปัญหาเสพสารเสพย์ติด ผู้ต้องบังคับเครื่องบินให้ลงจอดฉุกเฉิน และช่วยชีวิตผู้โดยสารเกือบทุกคนได้ กรีนวู้ดรับบทชาร์ลีย์ ประธานสหภาพนักบิน ผู้เคยร่วมบินกับวิปและพยายามจะช่วยเขาให้ผ่านเรื่องอื้อฉาวนี้ไปให้ได้

หลังจากนี้ เขาจะได้แสดงใน “Devils’ Knot” ที่สร้างจากหนังสือชื่อเดียวกันและประกบรีส วิทเธอร์สปูน และโคลิน เฟิร์ธ ภายใต้การกำกับของผู้กำกับชื่อดังชาวแคนาดา อะตอม เอโกยาน โดยนี่เป็นภาพยนตร์เรื่องที่สี่ที่พวกเขาร่วมงานกัน ภาพยนตร์สามเรื่องก่อนหน้านี้ได้แก่การแสดงนำใน “Exotica” ในบทผู้ตรวจสอบภาษี ที่หมกมุ่นกับนักระบำเปลื้องผ้า ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลปาล์มทองคำที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์และได้รับรางวัลภาพยนตร์แคนาดายอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต นอกจากนี้ เขายังได้แสดงในดรามาเรื่อง “The Sweet Hereafter” ในบทพ่อของลูกสองคน ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถบัสที่น่าเศร้า ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลจูรี แกรนด์ ไพรซ์จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์และคว้ารางวัลจินนีได้หลายสาขา ซึ่งรวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงารางวัลจินนี อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายอดเยี่ยมอีกด้วย นอกเหนือจากนั้น เขายังได้แสดงในดรามาเรื่อง “Ararat” อีกด้วย

เขาได้กลับมารับบทกัปตันคริสโตเฟอร์ ไพค์ใน “Star Trek Into Darkness” หลังจากเคยรับบทนี้มาแล้วในบล็อกบัสเตอร์ปี 2009

เมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้แสดงประกบไรอัน กอสลิงและแบรดลีย์ คูเปอร์ใน “A Place Beyond the Pines” เกี่ยวกับนักขับมอเตอร์ไซค์ผาดโผน ผู้คิดจะประกอบอาชญากรรมเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ซึ่งก็เป็นเหตุให้เขาต้องปะทะกับตำรวจที่ผันตัวไปเป็นนักการเมือง กรีนวู้ดรับบทบิล คิลคัลเลน ผู้ช่วยอัยการเขต ภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนบทและกำกับโดยดีเร็ค เคนฟรานซ์

ก่อนหน้านี้ เขาได้แสดงประกบสตีฟ คาเรลและพอล รัดด์ในคอเมดีเรื่อง “Dinner for Schmucks” ให้กับผู้กำกับเจย์ โร้ค ผลงานเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ “Mao’s Last Dancer” สำหรับผู้กำกับบรูซ เบเรสฟอร์ด ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากอนุทินเบสต์เซลเลอร์ของนักเต้นสาว หลี่ซุนซิน ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวเป็นพิเศษในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโตปี 2009 เขาได้รับบทประธานาธิบดีอเมริกาประกบนิโคลัส เคจในภาพยนตร์แอ็กชันทริลเลอร์โดยวอลท์ ดิสนีย์เรื่อง “National Treasure: Book of Secrets” ในปี 2007 การควบสองบทในภาพยนตร์ชีวประวัติแปลกพิสดารของนักร้อง/นักแต่งเพลงในตำนาน บ็อบ ดีแลนเรื่อง “I’m Not There” ประกบเคท บลังเช็ตต์ และริชาร์ด เกียร์ ให้กับมือเขียนบท/ผู้กำกับท็อดด์ เฮย์เนส ทำให้เขาได้รับรางวัลโรเบิร์ต อัลท์แมน อวอร์ดจากเวทีอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ด

เขาเป็นที่รู้จักจากการแสดงยอดเยี่ยมในบทประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ผู้เจรจาในวิกฤตการณ์มิสไซล์คิวบา และผลที่ตามมาในดรามาติดตรึงใจเรื่อง “Thirteen Days” ประกบเควิน คอสท์เนอร์และสตีเวน คัลพ์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลโกลเดน แซทเทิลไลท์ สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ในปี 2006 เขาได้แสดงในทริลเลอร์เรื่อง “Déjà vu” สำหรับผู้กำกับโทนี สก็อต ประกบเดนเซล วอชิงตันและวัล คิลเมอร์ ในปี 2005 เขาได้แสดงประกบฟิลิป เซย์มัวร์ในบทนักเขียน แจ็ค ดันฟี คู่หูของทรูแมน คาโพเต้ใน “Capote” การแสดงในครั้งนั้นทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์นักแสดงสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยมในภาพยนตร์

ในปี 2004 เขาได้แสดงประกบวิล สมิธในภาพยนตร์ไซไฟยอดนิยมในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง “I’ Robot” ซึ่งเขารับบทซีอีโอผู้โหดเหี้ยมของยู.เอส. โรโบติคส์ ผู้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม ในปีเดียวกัน เขารับบทคนรักเจ้าเสน่ห์ของนักแสดงหญิงสูงวัย (แอนเน็ตต์ เบนนิง) ในภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง “Being Julia” การแสดงในเรื่องนั้นทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลจินนี อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ในปี 1999 เขาได้แสดงประกบแอชลีย์ จัดด์ในบทสามีที่วางแผนฆาตกรรมในทริลเลอร์ลุ้นระทึกเอง “Double Jeopardy” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบล็อกบัสเตอร์ เอนเตอร์เทนเมนต์ อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบชายยอดนิยม

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ “Meeks Cutoff” ประกบมิเชล วิลเลียมส์ ให้กับผู้กำกับเคลลี ไรชาร์ด, “Barney’s Version,” “Donovan’s Echo” ประกบแดนนี โกลเวอร์และ “Firehouse Dog,” “Hollywood Homicide,” “The World’s Fastest Indian,” “Eight Below,” “Rules of Engagement,” “Racing Stripes,” “Here on Earth,” “The Lost Son,” “Thick as Thieves,” “Disturbing Behavior,” “Passenger 57” และ “Wild Orchid”

กรีนวู้ดมีผลงานจอแก้วที่ประสบความสำเร็จและหลากหลาย ในปี 2009 เขาได้แสดงในภาพยนตร์ประจำวันหยุดของฮอลมาร์ค ฮอล ออฟ เฟมเรื่อง  “A Dog Named Christmas” ที่สร้างจากนิยายโดยเกร็ก คินเคด ในปี 2007 เขาได้นำแสดงในซีรีส์เอชบีโอโดยเดวิด มิลช์เรื่อง “John from Cincinnati” ก่อนหน้านั้น เขาได้รับบทประจำเป็นดร.เซธ กริฟฟิธในซีรีส์รางวัลเรื่อง “St. Elsewhere” นอกจากนี้ เขายังได้แสดงในซีรีส์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง   “Larry Sanders Show” นอกจากนั้น เขายังได้แสดงในรีเมกเรื่อง   “Magnificent Ambersons” และภาพยนตร์ประจำสัปดาห์หลายเรื่อง อาทิ “The Riverman” สำหรับเอแอนด์อีและ “Saving Millie” สำหรับซีบีเอส

บรูซและซูซาน ภรรยาของเขาแบ่งเวลาอยู่ที่ลอสแองเจลิสและแวนคูเวอร์

 

ไซมอน เพ็กก์ (Simon Pegg) รับบท มอนท์โกเมอร์รี “สก็อตตี้” สก็อต

ไซมอน เพ็กก์ ย้ายไปลอนดอนในปี 1993 และได้ร่วมแสดงในแวดวงสแตนด์อัพ คอเมดี หลังจากไม่ประสบความสำเร็จ เขาก็ได้ร่วมแสดงในซีรีส์คอเมดีเรื่อง “Asylum,” “Six Pairs of Pants,” “Faith in the Future,” “Big Train” และ “Hippies” ระหว่างปี 1998-2004 เพ็กก์ได้ออกรายการ “The 99p Challenge” ทางบีบีซี เรดิโอ โฟร์เป็นประจำ ในปี 1999 เขาได้สร้างและร่วมเขียนบทซิทคอมทางแชนแนลโฟร์เรื่อง “Spaced” กับเจสสิก้า สตีเวนสัน สำหรับโปรเจ็กต์นี้ เพ็กก์ได้ร่วมงานกับฟรอสต์ เพื่อนสนิทของเขาด้วย การแสดงซีรีส์นี้ทำให้เพ็กก์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบริติช คอเมดี อวอร์ดสาขานักแสดงคอเมดีชายยอดเยี่ยม เพ็กก็ได้ร่วมเขียนบท (กับเอ็ดการ์ ไรท์ มือเขียนบทจาก Spaced) และนำแสดงในภาพยนตร์โรแมนติกซอมบี้คอเมดี (หรือ “รอมซอมคอม”) เรื่อง “Shaun of the Dead” ที่เข้าฉายในเดือนเมษายน ปี 2004 จอร์จ เอ.โรเมโร ได้เชิญเพ็กก์และไรท์ให้มาร่วมรับบทคาเมโอในภาพยนตร์โดยโรเมโรเรื่อง “Land of the Dead” ในปี 2004 เพ็กก์ยังได้แสดงในซีรีส์สปินออฟจาก “Danger! 50,000 Volts!” ในชื่อว่า “Danger! 50,000 Zombies!” ที่เขารับบทดร.รัสเซล เฟล มือล่าซอมบี้

ผลงานเรื่องอื่นๆ ของเพ็กก์ได้แก่มินิซีรีส์สงครามโลกครั้งที่สองเรื่อง “Band of Brothers,” บทดารารับเชิญใน “Black Books,” “Brass Eye Special,”” I’m Alan Partridge,” “The Parole Officer” และในเรื่องราวเกี่ยวกับแฟคทอรี เรคคอร์ดส์เรื่อง “24 Hour Party People” นอกจากนี้ เขายังรับบทจอห์นนี อัลฟา สโตรนเทียม ด็อก นักล่าค่าหัวกลายพันธุ์ ในละครวิทยุโดยบิ๊ก ฟินิช โปรดักชันส์ ที่สร้างจากตัวละครจากการ์ตูนอังกฤษเรื่อง “2000 AD” และได้ร่วมแสดงใน  “Guest House Paradiso” ภาพยนตร์ที่สร้างจากซิทคอมเรื่อง “Bottom” ที่เขารับบทแขกของริชชีและเอ็ดดี้

เขาได้ร่วมเล่นในละครวิทยุเรื่อง Doctor Who จากบิ๊ก ฟินิช โปรดักชันส์,  Invaders From Mars ในบทดอน เชนีย์และบทบรรณาธิการในเอพิโซด “The Long Game” ของ Doctor Who ในปี 2005 นอกจากนี้ เขายังบรรยายซีรีส์เรื่องแรกของชุดสารคดี “Doctor Who Confidential” อีกด้วย

หลังจากที่เสร็จจากการทำงานใน “Shaun of the Dead” เพ็กก์ก็ถูกตั้งคำถามว่าเขาจะทิ้งแวดวงภาพยนตร์อังกฤษเพื่อสิ่งที่ดีกว่าและใหญ่กว่ารึเปล่า ซึ่งเขาก็ตอบว่า “มันไม่ใช่ว่าผมจะหนีไปแสดง ‘Mission: Impossible III!’ ซักหน่อย” ซึ่งหลังจากนั้น เขาก็ได้ทำตามนั้นจริงๆ ด้วยการรับบทเบนจี้ ดันน์ ช่างเทคนิคไอ.เอ็ม.เอฟ. ผู้ช่วเหลืออีธาน ฮันท์ ตัวละครของทอม ครูซ ในปี 2006 เขารับบท กัส ตัวละครชาวอเมริกันใน “Big Nothing” ประกบเดวิด ชวิมเมอร์

ในปี 2006 เพ็กก์และไรท์ได้สร้างภาพยนตร์เรื่องที่สองของพวกเขา “Hot Fuzz” ที่เข้าฉายในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2007 ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์แอ็กชันตำรวจที่ร่วมแสดงโดยนิค ฟรอสท์ โดยเพ็กก์ได้รับบท นิโคลัส แองเจิล ตำรวจลอนดอน ผู้ถูกย้ายไปแซนด์ฟอร์ด ที่ซึ่งเหตุการณ์สยดสยองเกิดขึ้น

ระหว่างปี 2007 เพ็กก์ได้ร่วมแสดงใน “The Good Night” (ที่กำกับโดยเจค พัลโทรว์) และภาพยนตร์ที่กำกับโดยเดวิด ชวิมเมอร์เรื่อง “Run Fatboy Run” ที่ร่วมแสดงโดยแธนดี้ นิวตันและแฮงค์ อาซาเรีย

เพ็กก์ได้ร่วมเขียนบทและแสดงประกบนิค ฟรอสท์ในภาพยนตร์เรื่อง “Paul” พล็อตของเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางข้ามอเมริกาของตัวละครของเพ็กก์และฟรอสท์ นอกจากนี้ เพ็กก์ยังประกาศว่าเขาและไรท์มีไอเดียสำหรับ “บทสรุปของสิ่งที่เราเรียกว่าไตรภาค ‘Blood and Ice Cream’ ของเรา” (โดยสองภาคแรกคือ “Shaun of the Dead” และ “Hot Fuzz”) ก่อนหน้านี้ มันมีชื่อว่า “The World Ends” ในภาพยนตร์เหล่านั้นและใน “Spaced” เพ็กก์รับบทพระเอกส่วนฟรอสท์จะรับบทไซด์คิกของเขา แต่เขาก็ได้เผยว่าใน “Paul” พวกเขาจะสลับบทบาทกัน นอกจากนี้ เขายังบอกด้วยว่าไรท์จะไม่ใช่ผู้กำกับ และ “Paul” ก็ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของไตรภาค   ‘Blood and Ice Cream’ ของพวกเขา บทภาพยนตร์ฉบับสมบูรณ์ปรากฏอยู่ในแบล็คลิสต์ปี 2008 ซึ่งเป็นลิสต์รวมรายชื่อบทภาพยนตร์ที่ดีที่สุด ที่ยังไม่ถูกผลิตเป็นภาพยนตร์ของวงการ “Paul” ได้รับคะแนนเสียงสองเสียง

เพ็กก์รับบทวิศวกร มอนท์โกเมอร์รี “สก็อตตี้” สก็อตในภาพยนตร์ “Star Trek” เรื่องที่สิบเอ็ด ที่เข้าฉายในวันที่ 8 พฤษภาคม ปี 2009 และได้กลับมารับบทนั้นอีกครั้งหนึ่งใน “Star Trek Into Darkness”

ในปี 2010 เขาได้รับบทวิลเลียม เบิร์คในภาพยนตร์โดยจอห์น แลนดิสเรื่อง “Burke & Hare” ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับชายตระกูลอัลสเตอร์ ที่เป็นฆาตกรและผู้ลักพาตัวชื่อกระฉ่อนในเอดินเบิร์กห์ ต้นศตวรรษที่ 19 นอกจากนั้น หน้าตาของเขายังถูกใช้สร้างเป็นตัวละคร วี ฮิวอี้ในการ์ตูนเรื่อง “The Boys” ด้วย แม้ว่าเรื่องนี้จะทำขึ้นโดยไม่ขออนุญาตจากเพ็กก์ เขาก็กลายเป็นแฟนซีรีส์นี้อย่างรวดเร็ว และเขาก็เขียนบทนำให้กับรวมเล่มฉบับแรกด้วยซ้ำไป นอกจากนี้ เขายังได้พากย์เสียง รีพิชีพ  หนูผู้กล้าใน “The Chronicles of Narnia: Voyage of the Dawn Treader” อีกด้วย

เขาได้กลับมารับบทเบนจี้ ดันน์อีกครั้งใน “Mission: Impossible – Ghost Protocol” ทำใหเขาเป็นนักแสดงเพียงคนเดียวจากแฟรนไชส์นั้น นอกเหนือจากทอม ครูซและวิง ราห์ม (ผู้รับบทตัวละครของพวกเขาในทุกภาค) ที่ได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์มากกว่าหนึ่งภาค

 

คริส ไพน์ (Chris Pine) รับบท กัปตันเจมส์ ที. เคิร์ค

คริส ไพน์ ผู้ปรากฏตัวในฐานะหนึ่งในนักแสดงดาวรุ่งพุ่งแรงที่สุดของฮอลลีวูด กำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำ “Jack Ryan” ที่มีกำหนดเข้าฉายในเดือนธันวาคม ปี 2013 ในบทฮีโรนักบู๊ของทอม แคลนซี ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้ เคยถูกถ่ายทอดบนจอเงินมาแล้วโดยอเล็ค บัลด์วิน, แฮร์ริสัน ฟอร์ดและเบน แอฟเฟล็ค ล่าสุด ไพน์ได้แสดงประกบอเล็ค บัลด์วิน, ฮิวจ์ แจ็คแมน, อิสลา ฟิชเชอร์และจู๊ด ลอว์ในภาพยนตร์โดยดรีมเวิร์คส์ อนิเมชันเรื่อง “Rise of the Guardians” และเขาก็ได้แสดงประกบมิเชล ไฟเฟอร์, อลิซาเบธ แบงค์และโอลิเวีย ไวลด์ในดรามาโดยทัชสโตน พิคเจอร์สเรื่อง “People Like Us” และได้ร่วมแสดงกับรีส วิทเธอร์สปูนและทอม ฮาร์ดี้ในแอ็กชันคอเมดีโดยทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์เรื่อง “This Means War”

ก่อนหน้านี้ ไพน์ได้แสดงประกบเดนเซล วอชิงตันในภาพยนตร์แอ็กชันโดยทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์เรื่อง “Unstoppable” ที่กำกับโดยโทนี สก็อต ในปี 2009 ไพน์ได้รับบทเจมส์ ที. เคิร์คในภาพยนตร์ฮิตถล่มทลายในบ็อกซ์ออฟฟิศของพาราเมาท์เรื่อง “Star Trek” สำหรับผู้กำกับเจ.เจ.อับรามส์ เขาจะกลับมารับบทนี้อีกครั้งใน “Star Trek Into Darkness”

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของไพน์ได้แก่ภาพยนตร์โดยพาราเมาท์ แวนเทจเรื่อง “Carriers,” ภาพยนตร์อนิเมชันเพื่อการศึกษาเรื่อง “Quantum Quest: A Cassini Space Odyssey,” “Bottle Shock” สำหรับมือเขียนบท/ผู้กำกับแรนดัลล์ มิลเลอร์, ภาพยนตร์อินดีเรื่อง “Small Town Saturday Night” สำหรับมือเขียนบท/ผู้กำกับไรอัน เคร็ก, ดรามาดิบเถื่อนรวมดาราโดยโจ คาร์นาฮันเรื่อง “Smokin’ Aces” สำหรับเวิร์คกิ้ง ไทเทิล ฟิล์มส์และยูนิเวอร์แซลพิคเจอร์ส, “Blind Dating” ที่ร่วมแสดงโดยเอ็ดดี้ เคย์ โธมัสและเจน เซย์มัวร์และโรแมนติกคอเมดีโดยฟ็อกซ์/นิว รีเจนซีเรื่อง “Just My Luck” ประกบลินด์ซีย์ โลฮัน ไพน์เปิดตัวผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกด้วยการแสดงประกบแอนน์ ฮาธาเวย์ใน “The Princess Diaries 2: Royal Engagement”

ด้านละครเวที ล่าสุด เขาได้แสดงในละครโดยมาร์ติน แม็คโดนัฟเรื่อง “The Lieutenant of Inishmore” ที่มาร์ค เทเปอร์ ฟอรัมในลอสแองเจลิส ในเดือนมีนาคม ปี 2011 สมาคมนักวิจารณ์ละครลอสแองเจลิสได้มอบรางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมให้กับเขาจากผลงานใน “Inishmore”

นอกจากนี้ เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล 2009 โอเวชัน อวอร์ดจากการแสดงของเขาในดรามาเรื่อง “Farragut North” ที่เขาแสดงประกบคริส นอร์ธ ที่เจฟเฟน เพลย์เฮาส์ในลอสแองเจลิสอีกด้วย ผลงานละครเวทีเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ละครโดยนีล ลาบู๊ทเรื่อง “Fat Pig”ที่เจฟเฟน เพลย์เฮาส์และ “The Atheist” ละครออฟออฟบรอดเวย์ชายเดี่ยว

ไพน์สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย, เบิร์คลีย์ ในสาขาภาษาอังกฤษ และเขาก็ไปศึกษาการแสดงที่อเมริกัน คอนเซอร์วาทอรี เธียเตอร์และมหาวิทยาลัยลีดส์ในอังกฤษ ผลงานละครเวทีเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่การแสดงในละครเรื่อง “Our Town,” “American Buffalo,” “No Exit,” “Waiting for Godot” และ “Orestes”

ไพน์มาจากครอบครัวนักแสดง พ่อแม่ของเขาคือนักแสดงกวินน์ กิลฟอร์ดและโรเบิร์ต ไพน์ และคุณยายผู้ล่วงลับของเขา แอนน์ กวินน์ ก็เป็นนักแสดงหญิงในยุค 30s และ 40s

 

โซอี้ ซัลดานา (Zoe Saldana) รับบท เนโยต้า อูฮูร่า

โซอี้ ซัลดานาเป็นตัวแทนของดาราที่แท้จริงแห่งฮอลลีวูด และเธอก็ได้สร้างชื่อเสียงในฐานะนักแสดงหญิงมากความสามารถ ที่ได้รับการยกย่อง ด้วยการเลือกบทบาทที่เธอรู้สึกชื่นชอบอย่างมาก

ซัลดานาเป็นที่รู้จักอย่างดีจากการแสดงนำในบท ‘เนย์ทิรี’ ในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ที่เป็นที่พูดถึงมากที่สุดในปี 2009 เรื่อง “Avatar” ภาพยนตร์ไซไฟทริลเลอร์โดยเจมส์ คาเมรอน ที่ร่วมแสดงโดยซิเกอร์นีย์ วีฟเวอร์และแซม เวิร์ธติงตัน “Avatar” กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล และได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมและภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปี 2010 “Avatar” ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดปี 2010 ทั้งหมดเก้าสาขา ซึ่งรวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

ในปี 2009 ชื่อเสียงของซัลดานาขยายไปถึงระดับใหม่ เมื่อเธอได้แสดงภาพยนตร์แอ็กชันไซไฟบล็อกบัสเตอร์โดยเจ.เจ. อับรามส์เรื่อง “Star Trek” ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงสี่รางวัลอคาเดมี อวอร์ดในปี 2010 ซัลดานารับบท ‘เนโยต้า อูฮูร่า’ ประกบคริส ไพน์, แซ็คคารี ควินโต้, อีริค บานาและวิโนนา ไรเดอร์ เธอกลับมารับบทเดิมอีกครั้งใน “Star Trek Into Darkness”

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ “The Losers,” “Death At A Funeral,” “Vantage Point,” “Haven,” “Guess Who,” “Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl,” “The Terminal,” “Dirty Deeds,” “Temptation and Constellation,” “Get Over It,” “Crossroads,” “Snipes,” Drumline” และการแสดงแจ้งเกิดของเธอใน “Center Stage” ผลงานจอแก้วของเธอได้แก่ซีรีส์วอร์เนอร์ บรอส.เรื่อง “Keeping It Real,” และซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “Law & Order”

ในปี 2004 ซัลดานาได้รับรางวัลยัง ฮอลลีวูด “ดาราน่าจับตามอง” โดยนิตยสารมูฟวีไลน์จากการแสดงของเธอใน “The Terminal” หลังจากนั้น เธอก็ได้ขึ้นปกนิตยสารแอลล์ในปี 2009 ในฐานะหนึ่งใน “สตรีฮอลลีวูด” ระดับแนวหน้าของนิตยสารและปกนิตยสารกลาเมอร์ ในฐานะหนึ่งใน “สตรีแห่งปี” ของนิตยสาร สิ้นปีนั้น ซัลดานาได้เป็น “ใบหน้าแห่งอนาคต” ของแม็กซ์มารา, “นักแสดงหญิงแห่งปี” ของนิตยสารกลาเมอร์ ยูเค ในปี 2010 และกลายเป็นพรีเซ็นเตอร์ใหม่ของเคลวิน ไคลน์ อันเดอร์แวร์และเคลวิน ไคลน์ เอนวี

ผลงานล่าสุดของซัลดานาได้แก่การแสดงนำในภาพยนตร์แอ็กชัน “Colombiana” ให้โซนี พิคเจอร์ส ที่เธอรับบทหญิงสาวคนหนึ่ง ผู้หลังจากที่ได้เห็นการฆาตกรรมของพ่อแม่เธอ ก็กลายเป็นมือสังหารเลือดเย็นและดรามาเรื่อง “The Words” ที่ร่วมแสดงโดยแบรดลีย์ คูเปอร์, โอลิเวีย ไวลด์และเจเรมี ไอรอนส์ และเข้าฉายในเดือนกันยายน ปี 2012 เมื่อเร็วๆ นี้ เธอเพิ่งเสร็จจากการถ่ายทำดรามาอินดีเรื่อง “Out of the Furnace” ที่ร่วมแสดงกับคริสเตียน เบลและ “Blood Ties” ที่ร่วมแสดงโดยไคลฟ์ โอเวน

ซัลดานาเกิดและเติบโตในนิวยอร์ก ปัจจุบัน เธอใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิสและนิวยอร์ก

 

แซ็คคารี ควินโต (Zachary Quinto) รับบท สป็อค

แซ็คคารี ควินโต ได้แสดงจอแก้วครั้งแรกในซีรีส์อายุสั้นเรื่อง “The Others” และได้รับบทดารารับเชิญในซีรีส์หลายเรื่อง ได้แก่ “CSI,” “Touched by an Angel,” “Charmed,” “Six Feet Under,” Lizzie McGuire” และ “L.A. Dragnet” ในปี 2003 เขาได้รับบทประจำเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ อดัม คอฟแมนในซีรีส์ฟ็อกซ์เรื่อง “24” โดยเขาได้แสดงใน 23 เอพิโซดของซีซันที่สาม

ในปี 2006 ควินโตรับบท ซาซัน เพื่อนสนิทเกย์เชื้อสายอิหร่าน-อเมริกันของทอรี สเปลลิง ในซีรีส์วีเอชวันเรื่อง “So NoTORIOUS” ปลายปีนั้น เขาได้ร่วมแสดงในซีรีส์โดยทิม คริงเรื่อง “Heroes” ในบทกาเบรียล เกรย์ หรือที่หลายคนรู้จักเขาในฐานะฆาตกรต่อเนื่อง ซิลาร์ มาสี่ซีซัน

การที่เขาได้รับเลือกให้รับบท สป็อค วัยหนุ่มในภาพยนตร์โดยเจ.เจ. อับรามส์เรื่อง “Star Trek” ถูกประกาศอย่างเป็นทางการในงานคอมิก-คอนปี 2007 ควินโต ที่แถลงข่าวร่วมกับเลียวนาร์ด นีมอยเพื่อประชาสัมพันธ์ “Star Trek” เรื่องใหม่ ได้เผยว่า นีมอยได้รับความเห็นชอบในการเลือกผู้ที่จะมารับบทสป็อควัยหนุ่ม “สำหรับผมแล้ว การเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องของเลียวนาร์ดเป็นอะไรที่ให้อิสระกับผมครับ” ควินโตบอก “ผมรู้ว่าเขามีส่วนในการให้ความเห็นชอบนักแสดงที่จะมารับบทสป็อควัยหนุ่ม ดังนั้น พอผมได้บทนี้ ผมก็รู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า มันเกิดได้ด้วยความยินยอมจากเขาครับ”

ในการให้สัมภาษณ์ในเดือนกันยายน ปี 2008 อับรามส์พูดถึงการแสดงของควินโตในบทสป็อคว่า “แซ็คคารีได้นำน้ำหนักและอารมณ์ขันเหลือเชื่อมาสู่บทนี้ ซึ่งมันเป็นส่วนผสมที่วิเศษสุดเพราะตัวละคร สป็อค ซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งที่ผมได้รับรู้ในตอนที่ดูหนังเรื่องนี้ ตอนที่ผมได้ดูหนังทั้งเรื่องหลังจากที่ถ่ายทำแต่ละซีเควนซ์มา คือเขาเป็นคนที่พิเศษสุด เขาทำในสิ่งต่างๆ ที่ผมไม่ตระหนักเลยด้วยซ้ำระหว่างที่เรากำลังถ่ายทำ มันเป็นสิ่งน่าทึ่งต่างๆ ที่บ่งบอกถึงเรื่องราวของตัวเขาเองครับ” นอกจากนี้ ควินโตยังศึกษาบันทึกทางประวัติศาสตร์ของ Star Trek ในเรื่องความหลากหลายและความกว้างขวางในเรื่องการคัดเลือกนักแสดงและเนื้อเรื่องของมันและกล่าว่า เขาหวังว่าการเลือกตั้งที่กำลังใกล้เข้ามาของบารัค โอบามาจะช่วยก่อให้เกิดความตื่นเต้นในช่วงที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในเดือนพฤษภาคม ปี 2009

หลังจาก “Star Trek” เขาก็ได้แสดงในภาพยนตร์คอเมดีขนาดสั้นเรื่อง “Boutonniere” นี่เป็นภาพยนตร์ที่เขียนบทและกำกับโดยเพื่อนและอดีตเจ้าของบ้านเช่าของเขา [นักแสดงหญิง โคลีย์ ซอห์น] ซึ่งเธอโทรไปหาเขาถามว่า ‘คุณจะช่วยมาแสดงในหนังสั้นของฉันหน่อยได้ไหม’

ควินโตได้ร่วมกับโครีย์ มูซาและนีล ด็อดสัน ก่อตั้งบริษัทบีฟอร์ เดอะ ดอร์ พิคเจอร์ส ที่ทำงานในโปรเจ็กต์ต่างๆ ในแวดวงจอแก้ว จอเงิน สื่อใหม่ๆ และนิยายภาพ มันประกาศข้อตกลงในการตีพิมพ์หนังสือสามเล่มกับอาร์ไคอา สำนักพิมพ์หนังสือการ์ตูนในงานซานดิเอโก คอมิก-คอนปี 2009 โปรเจ็กต์แรกจากการร่วมงานกันครั้งนี้คือนิยายภาพ 100 หน้าเรื่อง Mr. Murder is Dead โดยนักเขียน วิคเตอร์ ควีนาซ ตามด้วยซีรีส์การ์ตูนเรื่อง LUCID: A Matthew Dee Adventure ที่เขียนโดยนักเขียน/นักแสดงไมเคิล แม็คมิลเลียน

ผลงานละครของควินโตได้แก่การแสดงละครเวทีหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง “Much Ado About Nothing” ที่ลอสแองเจลิส เชคสเปียร์ เฟสติวัลและ “Intelligent Design of Jenny Chow” ที่โอลด์ โกลบ เธียเตอร์ ควินโตรับบทนำในบทหลุยส์ ไอรอนสันในละครออฟบรอดเวย์โดยโทนี คุชเนอร์เรื่อง “Angels in America” ที่ซิกเนเจอร์ เธียเตอร์ การแสดงในบทนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลเธียเตอร์เวิลด์ สาขาการแสดงเปิดตัวยอดเยี่ยม

ในปี 2010 บีฟอร์ เดอะ ดอร์ พิคเจอร์ส บริษัทของควินโตได้อำนวยการสร้าง “Margin Call” ภาพยนตร์อินดีเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจ ควินโตรับบทปีเตอร์ ซัลลิแวนในภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ร่วมแสดงโดยเจเรมี ไอรอนส์, เควิน สเปซีย์, สแตนซีย์ ตุชชี, เพนน์ แบ็กลีย์ และเดนี มัวร์ “Margin Call” เปิดตัวในเดือนมกราคม ปี 2011 ในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ ในเดือนตุลาคม ปี 2011 ควินโตรับบทประจำในซีรีส์เอฟเอ็กซ์เรื่อง “American Horror Story” ในบท แช็ด อดีตเจ้าของบ้าน ควินโตได้กลับมาแสดงซีซันที่สอง ในบทดร. โอลิเวอร์ เธรดสัน

 

คาร์ล เออร์เบิน (Karl Urban) รับบท ดร.เลียวนาร์ด แม็คคอย

คาร์ล เออร์เบินอาจจะเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบทบาทที่ทรงพลังของเขาในบทอีโอเมอร์ นักรบโรฮันในภาคสองและสามของไตรภาค “The Lord of the Rings” โดยปีเตอร์ แจ็คสัน และจากการแสดงน่าขนลุกของเขาในบทคิริลในภาพยนตร์โดยพอล กรีนกราสเรื่อง “The Bourne Supremacy” เมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้รับบทดร.เลียวนาร์ด “โบนส์” แม็คคอยในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ไซไฟปี 2009 เรื่อง “Star Trek” และเขายังได้กลับมารับบทเดิมอีกครั้งใน “Star Trek Into Darkness” อีกด้วย นอกจากนี้ เขายังได้แสดงในดรามาอาชญากรรมโดยโทนี เคย์เรื่อง “Black Water Transit” อีกด้วย

เออร์เบินเกิดในเมืองเวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์ เขาได้แสดงซีรีส์โทรทัศน์ตั้งแต่เด็ก ระหว่างเรียน เขาได้เขียนบท กำกับและแสดงในภาพยนตร์และละครเวทีหลายเรื่อง สมัยวัยรุ่น เขาได้ไล่ตามความฝันในการแสดงของเขาด้วยการฝึกและทำงานในละครเวที จอแก้วและจอเงินในทั้งออสเตรเลียและเอเชีย

เออร์เบินได้แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกใน “Heaven” เขาได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเวทีนิวซีแลนด์ ฟิล์ม อวอร์ดจากผลงานของเขาใน “Via Satellite” และภาพยนตร์อินดีชื่อดังเรื่อง “The Price of Milk” เมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้รับรางวัลควอนตัส ฟิล์ม อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากการแสดงของเขาในบทนิคใน “Out of the Blue”

เออร์เบินใช้ชีวิตอยู่ในนิวซีแลนด์และเป็นผู้สนับสนุนคิดส์ แคน องค์กรที่จัดหาอาหารและเสื้อผ้าให้กับเด็กนิวซีแลนด์ที่ยากจนกว่า 30,000 ชีวิต

 

ปีเตอร์ เวลเลอร์ (Peter Weller) รับบท ผู้บัญชาการกองทัพ

ปีเตอร์ เวลเลอร์ สมาชิกผู้โด่งดังในแวดวงภาพยนตร์ของโลก ได้ร่วมแสดงใน “Star Trek Into Darkness” เขาและเชอรี ภรรยาของเขามีลูกชายหนึ่งขวบหนึ่งคนชื่อธีโอดอร์ มาร์ค เจอรัลด์ ฟรานเชสโก เวลเลอร์ ซึ่งเป็นเด็กที่มีชื่อถึงห้าชื่อ

ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการศึกษาปริญญาเอกด้านประวัติศาสตร์ศิลปะโรมันโบราณและอิตาเลียนเรอเนซองส์ที่ยูซีแอลเอ เขาพูดภาษาฝรั่งเศส อิตาเลียน เยอรมัน สเปนและอ่านภาษาลาตินได้ เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยนอร์ธ เท็กซัส และสำเร็จปริญญาโทสาขาประวัติศาสตร์ศิลปะอิตาเลียน เรอเนซองส์จากมหาวิทยาลัยซิราคิวส์ในฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ที่ซึ่งเขาได้สอนการออกภาคสนามและได้ทำการสอนคอร์สของตัวเองในชื่อ Hollywood and the Roman Empire ในฐานะนักประวัติศาสตร์ศิลป์ที่มีผลงานตีพิมพ์ (Artibus et Historiae ปี 2012) เวลเลอร์ได้เขียนเกี่ยวกับศิลปะอิตาเลียนและการเดินทางให้กับนิตยสารหลายฉบับ ซึ่งรวมถึง Travel Leisure และได้นำเสนอรายงานทางวิชาการเกี่ยวกับเรอเนซองส์และวัตถุโบราณสำหรับ RENAISSANCE SOCIETY OF AMERICA และ 16th CENTURY SOCIETY เวลเลอร์เป็นนักวิชาการ/ผู้ดำเนินรายการให้กับซีรีส์ “Engineering an Empire” ทางฮิสทอรี แชนแนล

เขาได้เข้าศึกษาที่อเมริกัน อคาเดมี ออฟ ดรามาติค อาร์ตส์ ภายใต้อูทา ฮาเกน และได้รับการแนะนำให้เข้าร่วมแอ็กเตอร์ส สตูดิโอโดยเอเลีย คาซัน ผู้โด่งดัง ผลงานละครเวทีในนิวยอร์กของเขารวมถึงโปรดักชันออริจินอลของละครโดยเดวิด เร้บเรื่อง   “Sticks and Bones and Streamers” (ที่กำกับโดยไมค์ นิโคลส์), ละครโดยเดวิด มาเม็ตเรื่อง “The Woods,” ละครโดยวิลเลียม อิงเก้เรื่อง “Summer Brave,” ละครโดยวิลเลียม มาสโทรซิโมเนเรื่อง “The Wool Gatherer,” ละครโดยริชาร์ด เนลสันเรื่อง “Frank’s Home” และละครโดยอีริค มาเรีย เรมาร์กี้เรื่อง “Full Circle” ที่กำกับโดยออตโต้ พรีมิงเกอร์ ผลงานภาพยนตร์มากมายของเขารวมถึงเรื่อง “Shoot the Moon,” “RoboCop,” “The Adventures of Buckaroo Banzai,” ภาพยนตร์โดยวู้ดดี้ อัลเลนเรื่อง “Mighty Aphrodite,” ภาพยนตร์โดยไมเคิลแองเจโล แอนโตนิโอนีเรื่อง “Beyond the Clouds,” ภาพยนตร์โดยไมเคิล โทลคินเรื่อง “The New Age” และภาพยนตร์โดยเดวิด โครเนนเบิร์กเรื่อง “Naked Lunch” ที่สร้างจากนิยายโดยวิลเลียม เบอร์โรห์

เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจากการกำกับภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่อง “Partners” เอพิโซด

“Hate Crimes for Homicide: Life on the Street” ที่เขาเป็นผู้กำกับ ได้รับรางวัลแนนซี ซูซาน เรย์โนลด์ส อวอร์ดสาขาสิทธิพลเมือง และการรับบทดารารับเชิญในเอพิโซด “White Tulip” ของซีรีส์ “Fringe” รวมถึงซีซันปี 2010 ของซีรีส์ “Dexter” ของเขาได้รับคำวิจารณ์ชื่นชมสูงสุดให้กับซีรีส์ทั้งสองเรื่องจนปัจจุบัน ปัจจุบัน เขาได้กำกับซีรีส์เอฟเอ็กซ์เรื่อง “Sons of Anarchy,” ซีรีส์เอแอนด์อีเรื่อง “Longmire” และซีรีส์ใหม่เรื่อง “Mob Doctor” ให้กับฟ็อกซ์

เขารับบทนักทรัมเป็ตบีบ็อป/แจ๊ส ประจำวงดนตรีหกคนในลอสแองเจลิส

ปีเตอร์และเชอรี ภรรยาของเขา ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับแวดวงวัฒนธรรมในยุโรปและเอเชีย ซึ่งรวมถึงเรื่องราวของของโบราณ ประวัติศาสตร์ ศิลปะ สถาปัตยกรรม และอาหาร ผ่านทางประสบการณ์ส่วนตัวในฐานะนักเดินทางรอบโลกและผู้อาศัยอยู่ในฝรั่งเศสและอิตาลี โดยเฉพาะบนชายฝั่งแคมแพ็กนา ที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ตลอดเวลาเกือบสามทศวรรษ และพวกเขาก็ได้ช่วยเหลือทั้งเพื่อนและคนแปลกหน้าในการเดินทางไปยุโรป ในเรื่องของ “อย่างไร ที่ไหนและทำไม” หลังจากนี้ ปีเตอร์และเชอรีก็กำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำ “GET LOST!”รายการเรียลลิตีเดินทางเกี่ยวกับวัฒนธรรมและอาหาร

แอนตัน เยลชิน (Anton Yelchin) รับบท พาเวล เชคอฟ

แอนตัน เยลชิน เป็นหนึ่งในดาราดาวรุ่งที่ร้อนแรงที่สุดของฮอลลีวูด และด้วยการแสดงที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงของเขาใน “Like Crazy,” “Star Trek,” “The Beaver,” “Charlie Bartlett” รวมไปถึงการแสดงนำในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลายเรื่องในปีนี้ เยลชินก็กำลังกลายเป็นดาราดังอย่างรวดเร็ว

เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งปิดกล้อง “From Up on Poppy Hill” ที่เขาพากย์เสียงตัวละครเอกในเวอร์ชันภาษาอังกฤษของภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจากนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ เขายังเพิ่งเสร็จจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องใหม่ของจิม จาร์มัสช์เรื่อง “Only Lovers Left Alive” อีกด้วย โดยเยลชินได้แสดงประกบทิลดา สวินตัน, ทอม ฮิดเดิลสตันและไมอา วาซิโคว์สก้าในโปรเจ็กต์ที่ได้รับการจับตามองอย่างสูงเรื่องนี้ เขาจะกลับมารับบท ‘คลัมซี สเมิร์ฟ’ อีกครั้งในภาพยนตร์โซนีเรื่อง “Smurfs 2” ที่จะเข้าฉายในวันที่ 31 กรกฎาคม ปี 2013 และบท ‘พาเวล เชคอฟ’ อีกครั้งใน  “Star Trek Into Darkness” เขาจะเริ่มต้นถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “5 To 7” ประกบไดแอน ครูเกอร์หลังจากนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในนิวยอร์ก บอกเล่าเรื่องของนักเขียนนิยายผู้มีสัมพันธ์ลับๆ กับภรรยาของทูตฝรั่งเศส มีการวางตัววิคเตอร์ เลวิน ผู้ร่วมควบคุมงานสร้างของ “Mad Men” ให้เขียนบทและกำกับเรื่องนี้

เยลชินได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากการแสดงนำในภาพยนตร์โดยเดรค โดเรมุสเรื่อง “Like Crazy” ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ในเดือนมกราคม ปี 2011 ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ชื่นชมล้นหลามและคว้ารางวัลแกรนด์ จูรี ไพรซ์มาได้ เยลชินได้รับรางวัล “ศิลปินน่าจับตามอง” จากงานเทศกาลภาพยนตร์แอสเพนปี 2011 และรางวัล “ฮอลลีวูด สปอตไลท์ อวอร์ด” จากงานเทศกาลภาพยนตร์ฮอลลีวูดปี 2011 จากการแสดงของเขา เยลชินได้แสดงประกบนักแสดงหน้าใหม่ เฟลิซิตี้ โจนส์ในดรามาเกี่ยวกับนักศึกษาชาวอังกฤษที่ตกหลุมรักนักศึกษาชาวอเมริกัน แต่ก็ต้องพรากจากเขาเมื่อเธอถูกห้ามเข้าอเมริกาหลังจากที่เธออยู่นานเกินกำหนดในวีซ่า

เมื่อเร็วๆ นี้ เยลชินได้แสดงในทริลเลอร์โดยดิสนีย์/ดรีมเวิร์คส์เรื่อง “Fright Night” ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นรีเมกของภาพยนตร์คอเมดีสยองขวัญปี 1985 เกี่ยวกับวัยรุ่นที่ค้นพบว่าเพื่อนบ้านของเขาเป็นแวมไพร์ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เยลชินรับบท ‘ ชาร์ลีย์ บรูว์สเตอร์’ ประกบโคลิน ฟาร์เรลและโทนี คอลเล็ตต์ เยลชินได้พากย์เสียง ‘คลัมซี สเมิร์ฟ’ ในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ช่วงซัมเมอร์ปี 2011 ของโซนีเรื่อง “The Smurfs” ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ร่วมพากย์เสียงโดยทีมนักแสดงชั้นนำซึ่งรวมถึง แฮงค์ อาซาเรีย, นีล แพทริค แฮร์ริส, โซเฟีย เวการา, เคที เพอร์รีและจอร์จ โลเปซ นอกเหนือจากนั้น เยลชินยังได้พากย์เสียง ‘โจรสลัดอัลบิโน’ ในภาพยนตร์อนิเมชันเรื่อง   “The Pirates!  Band of Misfits” ที่ร่วมพากย์เสียงโดยฮิวจ์ แกรนท์, ซัลมา ฮาเย็คและเจเรมี พิเวนอีกด้ว

เยลชินได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์จากการแสดงของเขาในบท ‘พอร์ตเตอร์ แบล็ค’ ใน “The Beaver” ที่เขาร่วมแสดงกับเมล กิ๊บสันและโจดี้ ฟอสเตอร์ ซึ่งควบหน้าที่ผู้กำกับด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องของชายคนหนึ่ง (กิ๊บสัน) ผู้รู้สึกหดหู่และพบความสงบใจเมื่อได้สวมหุ่นมือบีเวอร์ เยลชินรับบทลูกชายของกิ๊บสันและฟอสเตอร์ นิตยสารเอนเตอร์เทนเมนต์ วีคลีย์ ได้ยกย่องความสามารถการแสดงอันโดดเด่นของเขาในบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องนี้ของพวกเขา โดยลิซา ชวอร์ซบอมได้เขียนไว้ว่า “การแสดงน่าตื่นเต้นยอดเยี่ยมจากแอนตัน เยลชิน ที่คงความวิเศษสุดอย่างต่อเนื่อง”

เยลชินได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “Odd Thomas” ในบท ‘อ็อด โธมัส’ พ่อครัวอารมณ์ร้อน ที่มีความสามารถมองเห็นอนาคต ที่ได้เจอกับชายลึกลับ ผู้มีความเชื่อมโยงกับอำนาจมืดที่เป็นภัยคุกคาม เขาได้แสดงประกบวิลเลม เดโฟ, แพตตัน ออสวอลท์และแอดดิสัน ทิมลิน เขาได้รับบท ‘ไคล์ รีส’ ใน “Terminator: Salvation” ประกบคริสเตียน เบลและแซม เวิร์ธติงตัน ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่กำกับโดยแม็คจี มีเรื่องราวเกิดขึ้นในปี 2018 ช่วงหลังหายนะ “Terminator: Salvation” ทำรายได้ไปกว่า 370 ล้านเหรียญทั่วโลก

นอกจากนี้ เขายังได้รับบท ‘พาเวล เชคอฟ’ ประกบคริส ไพน์และแซ็คคารี ควินโตใน “Star Trek” ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่กำกับโดยเจ.เจ. อับรามส์ ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างล้นหลาม

เยลชินรับบทนำใน “Charlie Bartlett” ประกบโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์และแคท เดนนิงส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องของวัยรุ่นร่ำรวย (เยลชิน) ที่พยายามจะปรับตัวให้เข้ากับโรงเรียนไฮสคูลรัฐบาลแห่งใหม่ “แอนตัน เยลชินได้นำเสนอการผสมผสานที่เย้ายวนของความโกรธที่ถูกระงับและการโหยหา ความไร้เดียงสาและการรู้ดีเกินในบทของเขา…” ลอสแองเจลิส ไทม์พูดถึงบท ‘ชาร์ลีย์ บาร์เล็ตต์’ ของเขา คอเมดีตลกร้ายที่เฉียบคมเรื่องนี้ได้รับความชื่นชมจากทั้งนักวิจารณ์และผู้ชมไม่ต่างกัน

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเยลชินได้แก่ “Alpha Dog” ที่แสดงประกบบรูซ วิลลิสและเอมิล เฮิร์สช์, “Hearts In Atlantis” ซึ่งเขาได้รับรางวัลยัง อาร์ติสท์ อวอร์ดสาขา “การแสดงยอดเยี่ยมในภาพยนตร์โดยนักแสดงนำรุ่นเยาว์”, “Fierce People” ประกบโดนัลด์ ซุทเธอร์แลนด์, “House of D” ที่นำแสดงโดยโรบิน วิลเลียมส์, “Middle of Nowhere” ประกบซูซาน ซาแรนดอนและ “New York, I Love You” ซึ่งร่วมแสดงโดยอีธาน ฮอว์ค, โรบิน ไรท์ เพนน์, ไชอา ลาบัฟ, ออร์ลันโด บลูม, เจมส์ คาน, จูลี คริสตี้, แอนดี้ การ์เซียและนาตาลี พอร์ทแมน นอกจากนี้ เขายังรับรางวัล “เอ็กซ์โฟลซีฟ ทาเลนท์ อวอร์ด” จากงานเทศกาลภาพยนตร์จิฟโฟนีปี 2002 ในอิตาลี

เขาได้ร่วมแสดงในซีรีส์ดรามาชื่อดังหลายเรื่อง โดยเขาได้แสดงประกบแฮงค์ อาซาเรีย ในซีรีส์ดังทางโชว์ไทม์เรื่อง “Huff” สองซีซัน นอกจากนี้ เขายังได้แสดงบทดารารับเชิญในซีรีส์ “Criminal Minds” และ “Law & Order: Criminal Intent”

ปัจจุบัน เยลชินอาศัยอยู่ในลอสแองเจลิส

 

ประวัติทีมผู้สร้าง

                เจ.เจ. อับรามส์ (J.J.Abrams)—ผู้กำกับ/ผู้อำนวยการสร้าง

เจ.เจ. อับรามส์ เป็นผู้ก่อตั้งและประธานแบ๊ด โรบ็อท โปรดักชันส์ ซึ่งเขาบริหารร่วมกับไบรอัน เบิร์ค หุ้นส่วนในการอำนวยการสร้างของเขา แบ๊ด โรบ็อท ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2001 เป็นหุ้นส่วนกับพาราเมาท์ พิคเจอร์สและวอร์เนอร์ บรอส. สตูดิโอส์แห่งนี้ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์และซีรีส์โทรทัศน์หลายเรื่องเช่น “Cloverfield,” “Star Trek,” “Morning Glory,” “Super 8,” “Mission Impossible: Ghost Protocol,” ซีรีส์เอบีซีเรื่อง “Alias” และ “Lost,” ซีรีส์ฟ็อกซ์เรื่อง “Fringe” และซีรีส์ซีบีเอสเรื่อง “Person of Interest”

อับรามส์เกิดในนิวยอร์กและเติบโตในลอสแองเจลิส เขาเข้าศึกษาที่ซาราห์ ลอว์เรนซ์ คอลเลจ ที่ซึ่งเขาได้ร่วมเขียนบททรีทเมนต์ ที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์ดิสนีย์เรื่อง “Taking Care Of Business” ในหลายปีหลังจากนั้น เขาได้เขียนบทและร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง   “Regarding Henry,” “Forever Young,” “Armageddon” และ “Joy Ride”

ในปี 1998 อับรามส์ได้ร่วมสร้างซีรีส์เรื่องแรกของเขา “Felicity” ร่วมกับเพื่อนผู้ร่วมงานกับเขามานาน แมทท์ รีฟส์ อับรามส์รับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างตลอดสี่ซีซันที่ซีรีส์นี้ออกอากาศทางวอร์เนอร์ บรอส. นอกเหนือจากนั้น อับรามส์ได้สร้างและควบคุมงานสร้างซีรีส์ “Alias” สำหรับเอบีซี และร่วมสร้าง (กับเดมอน ลินเดลอฟ) และควบคุมงานสร้างซีรีส์ “Lost” ทางเอบีซี

ในปี 2006 อับรามส์ได้กำกับ “Mission: Impossible 3” ภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา ส่วน “Star Trek” ผลงานกำกับเรื่องที่สองของเขาก็ได้เข้าฉายในเดือนพฤษภาคม ปี 2009 “Super 8” ที่เขียนบทและกำกับโดยอับรามส์และอำนวยการสร้างโดยอับรามส์, เบิร์คและสตีเวน สปีลเบิร์ก เข้าฉายในเดือนมิถุนายน ปี 2011 ผลงานล่าสุดของเขา ซึ่งเป็นซีเควลของ “Star Trek” จะเข้าฉายในปี 2013

ในปี 2005 อับรามส์ได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดสาขากำกับยอดเยี่ยมในซีรีส์ดรามาจากตอนไพล็อตของ “Lost” รวมถึงได้รับรางวัลซีรีส์ดรามายอดเยี่ยมจาก “Lost” อีกด้วย นอกจากนี้ เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีจากบทตอนไพล็อตของซีรีส์ “Alias” และ “Lost” ของเขา นอกเหนือจากนั้น อับรามส์ยังได้แต่งดนตรีธีมให้กับซีรีส์ “Alias,” “Fringe,” “Lost,” “Person of Interest” และ “Revolution” และได้ร่วมแต่งเพลงธีมสำหรับซีรีส์ “Felicity” อีกด้วย

ปัจจุบัน เขาทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างของซีรีส์ซีบีเอสเรื่อง “Person of Interest,” ซีรีส์ฟ็อกซ์เรื่อง “Fringe” และซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “Revolution”

เขาและภรรยามีลูกด้วยกันสามคน

 

อเล็กซ์ เคิร์ทซ์แมน และโรแบร์โต้ ออร์ซี (Alex Kurtzman & Roberto Orci)—มือเขียนบท/ผู้อำนวยการสร้าง

อเล็กซ์ เคิร์ทซ์แมน และโรแบร์โต้ ออร์ซี ผู้ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานมาตลอดกว่า 18 ปี ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะหนึ่งในทีมเขียนบท/อำนวยการสร้างในแวดวงจอแก้วและจอเงิน

ปัจจุบัน ทั้งคู่กำลังอยู่ระหว่างการทำงานขั้นตอนโพสต์โปรดักชันใน “Ender’s Game” และ “Now You See Me” ซึ่งทั้งสองเรื่องจะจัดจำหน่ายโดยซัมมิทในปี 2013 นอกเหนือจากการอำนวยการสร้างและเขียนบทเรื่อง “Star Trek Into Darkness” กับเดมอน ลินเดลอฟแล้ว พวกเขายังได้เขียนบทเรื่อง “All You Need is Kill” ที่นำแสดงโดยทอม ครูซและกำกับโดยดั๊ก ลีแมนด้วย เออร์วิน สตอฟฟ์รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่คิดริเริ่มที่วอร์เนอร์ บรอส. นอกเหนือจากนั้น พวกเขายังอยู่ระหว่างการเตรียมงานภาพยนตร์เรื่อง “The Amazing Spider-Man 2” และถูกวางตัวให้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ยูนิเวอร์แซลเรื่อง “The Mummy” และ “Van Helsing” ที่ถูกนำกลับมาสร้างใหม่ ด้านจอแก้ว เคิร์ทซ์แมนและออร์ซียังได้ทำงานในซีรีส์ที่ดัดแปลงจาก  “Sleepy Hollow“ ให้กับทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ โดยมีเลน ไวซ์แมนเป็นผู้กำกับ

ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทั้งคู่ได้ปล่อย  “People Like Us” สำหรับดิสนีย์ ซึ่งเป็นผลงานกำกับเรื่องแรกของอเล็กซ์ เคิร์ทซ์แมน ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่นำแสดงโดยอลิซาเบธ แบงค์และคริส ไพน์ เขียนบทโดยเคิร์ทซ์แมนและออร์ซี ร่วมด้วยโจดี้ แลมเบิร์ท ในปี 2011 ทั้งคู่ได้มีผลงานภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากการ์ตูนเรื่อง “Cowboys & Aliens” ที่พวกเขาเขียนบทร่วมกับเดมอน ลินเดลอฟ และรับหน้าที่อำนวยการสร้างด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยจอน แฟฟโรและนำแสดงโดยแดเนียล เคร็กและแฮร์ริสัน ฟอร์ด ในปีเดียวกัน พวกเขาได้เซ็นสัญญาสามปีในการสร้างซีรีส์กับทเวนตี้ เซ็นจูรีฟ อกซ์ ซีซันล่าสุดนี้เป็นช่วงเวลาที่งานยุ่งมากเพราะทั้งคู่ได้ผลิตตอนไพล็อตให้กับฟ็อกซ์, ซีบีเอสและเอบีซี เน็ตเวิร์คส์ นอกเหนือจากงานจอแก้วที่ขยายตัวอย่างมากของพวกเขา ซึ่งรวมถึงซีรีส์ซีบีเอสเรื่อง “Hawaii Five-O,” ซีรีส์ฟ็อกซ์เรื่อง “Fringe” และซีรีส์เดอะ ฮับเรื่อง “Transformers: Prime” ซีรีส์คอมพิวเตอร์อนิเมชันออริจินอล ที่ครองตำแหน่งซีรีส์เรตติ้งสูงสุดของสถานี

เคิร์ทซ์แมนและออร์ซีเป็นมือเขียนบทเบื้องหลังภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในรอบทศวรรษหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง “Transformers,” “Transformers: Revenge of the Fallen,” “Eagle Eye” และ “Mission: Impossible III” นอกจากนั้น พวกเขายังได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดียอดนิยมเรื่อง “The Proposal” อีกด้วย ผลงานการเขียนบทของทั้งคู่ทำรายได้ไปกว่า 1.3 พันล้านเหรียญทั่วโลก

            ทั้งคู่เริ่มต้นทำงานจากการเขียนบทซีรีส์ยอดนิยมเรื่อง “Hercules” และ “Xena: Warrior Princess” ที่ซึ่งพวกเขาได้กลาเยป็นหัวหน้าทีมเขียนบทอย่างรวดเร็วตอนอายุ 23 ปี หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้เขียนบทซีรีส์โดยเจ.เจ. อับรามส์เรื่อง “Alias” และท้ายที่สุด พวกเขาก็ได้ทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างของซีรีส์นี้

ทั้งคู่ใช้ชีวิตกับครอบครัวของตัวเองในลอสแองเจลิส

 

เดมอน ลินเดลอฟ (Damon Lindelof)—มือเขียนบท/ผู้อำนวยการสร้าง

แม้ว่าจะได้รับคำเตือนว่าสมองเขาอาจเน่าได้ แต่เดมอน ลินเดลอฟก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ในวัยเด็กไปกับการดูโทรทัศน์ หลังจากที่ทดลองชิมลางสายภาพยนตร์ด้วยการศึกษาภาพยนตร์จากเอ็นวายยู ทิสช์ สคูล ออฟ ดิ อาร์ตส์ เขาก็กระโดดขึ้นรถ เดินทางไปทางตะวันตกและท้ายที่สุด ก็ได้ทำงานเป็นผู้ช่วยมือเขียนบทในดรามาทางเอบีซีโดยเควิน วิลเลียมสันเรื่อง “Wasteland” ไม่นานหลังจากนั้น ซีรีส์นั้นก็ถูกแคนแซล เดมอนได้ไปเขียนบทให้ซีรีส์ “Nash Bridges” และขยับทำงานในดรามาเรื่องใหม่ทางเอ็นบีซีเรื่อง “Crossing Jordan” จากนั้น เขาก็ได้ทำงานใน “Lost” ภายในช่วงเวลาแห่งความบ้าคลั่งอย่างสมบูรณ์แบบสิบสองสัปดาห์ เขาและเจ.เจ. อับรามส์ ผู้ร่วมสร้าง ก็สามารถสร้างตอนไพล็อตที่แพงหูฉี่และมีเสน่ห์เกินต้านทานของซีรีส์นี้ให้กับเอบีซี ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้รอดชีวิตจากเหตุเครื่องบินตกในเซาธ์ แปซิฟิค ถึงกระนั้น “Lost” ก็ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำและเอ็มมี อวอร์ดในซีซันแรกที่แพร่ภาพ เดมอนปิดงานจาก “Lost” หลังจากทำงานมาแล้วหกซีซันและยังคงไม่ค่อยเข้าใจนักว่ามันมีความหมายอย่างไร

เดมอน ผู้เป็นชาวเทร็คเกอร์มานมนาน ได้รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ “Star Trek” โฉมใหม่ของเจ.เจ. ซึ่งเข้าฉายในเดือนพฤษภาคม ปี 2009 และยังรับหน้าที่เขียนบทและอำนวยการสร้างซีเควล “Star Trek” และได้เขียนบทและอำนวยการสร้างภาพยนตร์โดยเซอร์ริดลีย์ สก็อตเรื่อง “Prometheus” ในเวลาว่าง เดมอนก็ได้เขียนประวัติชีวิตของเขาขึ้นมาเนี่ยแหละ

 

ไบรอัน เบิร์ค (Bryan Burk)—ผู้อำนวยการสร้าง

ไบรอัน เบิร์ค ผู้สำเร็จการศึกษาจากสคูล ออฟ ซีเนมา-เทเลวิชันจากยูเอสซี เริ่มต้นทำงานกับผู้อำนวยการสร้างแบรด เวสตัน, เน็ด ทาเนนที่โซนี พิคเจอร์สและจอห์น เดวิสที่ฟ็อกซ์ ในปี 1995 เขาได้เข้าทำงานที่เกอร์เบอร์ พิคเจอร์ส ที่ซึ่งเขาได้พัฒนาซีรีส์ทีเอ็นทีที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีเรื่อง “James Dean” และปัจจุบัน เขากำลังถูกวางตัวให้อำนวยการสร้างเรื่อง “NFL: A Love Story”

เขาได้ร่วมงานกับเจ.เจ. อับรามส์บ่อยครั้งและเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทแบ๊ด โรบอท โปรดักชัน ซึ่งเป็นบริษัทโปรดักชันของเขา ซีรีส์ที่เขาร่วมงานกับอับรามส์ได้แก่ “Alias,” “Six Degrees,” “What About Brian,” “Lost,” “Fringe,” “Undercovers,” “Person of Interest” และ “Alcatraz” นอกจากนี้ เขายังทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์โดยอับรามส์เรื่อง  “Cloverfield,” “Star Trek,” “Super 8” และ “Star Trek Into Darkness” อีกด้วย

 

เจฟฟรีย์ เชอร์นอฟ (Jeffrey Chernov)—ผู้ควบคุมงานสร้าง

เจฟฟรีย์ เชอร์นอฟประสบความสำเร็จตลอดการทำงานในแวดวงภาพยนตร์ ตั้งแต่ที่เขาได้ทำหน้าที่ผู้ช่วยในภาพยนตร์ฮิตปี 1976 โดยดีโน เดอ ลอเรนทิสเรื่อง “King Kong” ไปจนถึงการทำงานหลายปีในตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับในภาพยนตร์คลาสสิกเรื่อง “Body Heat,” “Cutter’s Way,” “The Thing,” “Escape from New York,” “Starman” และ ฯลฯ เชอร์นอฟค่อยๆ ไต่เต้ามาเรื่อยๆ และได้ทำหน้าที่ผู้จัดการกองถ่ายในภาพยนตร์เรื่อง “Ruthless People,” “Halloween II” และ “Halloween III” หลังจากนั้น เขาก็มีผลงานเป็น  “Clue,” “The Dead Zone” และ “Richard Pryor: Live in Concert” ซึ่งเขาได้รับตำแหน่งผู้ช่วยอำนวยการสร้างด้วย นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ได้ทำหน้าที่ผู้ร่วมอำนวยการสร้างใน “Eddie Murphy Raw” และหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างใน “10 Things I Hate About You,” “Sleeping with the Enemy” และ “The Replacements” นอกจากนี้ เขายังได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “A Line in the Sand,” “Place of Darkness,” “Bad Company” และ “Homeward Bound: The Incredible Journey” อีกด้วย

เชอร์นอฟได้ดำรงตำแหน่งรองประธานอาวุโสฝ่ายโปรดักชันของดิสนีย์/ทัชสโตนนานสองปี โดยระหว่างนั้น เขาได้ดูแลภาพยนตร์ฮิตเรื่อง “Honey, I Shrunk the Kids,” “Pretty Woman” และ “Dead Poets Society” ในปี 2001 เขาได้ย้ายไปทำงานที่สปายกลาส เอนเตอร์เทนเมนต์ ที่ซึ่งเขาได้มีส่วนร่วมกับงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Shanghai Knights,” “The Recruit,” “The Lookout,” “The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy,” “The Pacifier”  และภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอีกหลายๆ เรื่อง

เขารับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างในภาพยนตร์ “Star Trek” โฉมใหม่ของแบ๊ด โรบอท ปี 2009 และรับหน้าที่เดียวกันนี้ใน “Star Trek Into Darkness”

 

 

เดวิด เอลลิสัน (David Ellison)—ผู้ควบคุมงานสร้าง

เดวิด เอลลิสัน ได้ก่อตั้งสกายแดนซ์ โปรดักชันส์ เพื่อสร้างและอำนวยการสร้างความบันเทิงเชิงพาณิชย์ระดับสูง บริษัทแห่งนี้ให้ความสำคัญกับภาพยนตร์แอ็กชัน ผจญภัย ไซไฟ และแฟนตาซีฟอร์มยักษ์ พร้อมๆ กับภาพยนตร์คอเมดีและภาพยนตร์ตลาดทุนปานกลาง สกายแดนซ์ต้องการจะทำตัวเป็นมิตรกับคนทำหนังในวงการ ที่ซึ่งการสร้างภาพยนตร์เป็นเรื่องยากขึ้นทุกที ในปี 2010 สกายแดนซ์ได้ทำข้อตกลงสร้าง จัดจำหน่ายและให้เงินทุนกับพาราเมาท์ พิคเจอร์สนานสี่ปี ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ออกมาภายใต้ข้อตกลงนี้คือ “True Grit” ที่โจเอลและอีธาน โคเอนสร้างจากนิยายโดยชาร์ลส์ พอร์ทิส อำนวยการสร้างโดยพี่น้องโคเอน, สก็อต รูดิน และสตีเวน สปีลเบิร์กและนำแสดงโดยแมทท์ เดมอน, จอช โบรลินและเจฟฟ์ บริดเจส ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อชิงสิบรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ซึ่งรวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย

นอกเหนือจาก “Star Trek Into Darkness” แล้ว สกายแดนซ์ยังเพิ่งอำนวยการสร้างภาพยนตร์พาราเมาท์เรื่อง “Mission: Impossible – Ghost Protocol” ที่อำนวยการสร้างโดยเจ.เจ.อับรามส์ และกำกับโดยแบรด เบิร์ด และ “G.I. Joe 2: Retaliation” ที่นำแสดงโดยบรูซ วิลลิส, แชนนิง ทาทัมและดเวย์น จอห์นสัน, “The Guilt Trip” ที่นำแสดงโดยบาร์บรา สตรายแซนด์และเซธ โรแกน, “Jack Reacher” ที่นำแสดงโดยทอม ครูซ, “Jack Ryan” ที่นำแสดงโดยคริส ไพน์และ ทริลเลอร์โดยมาร์ค ฟอร์สเตอร์เรื่อง “World War Z” นอกจากนี้ บริษัทยังจะร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Without Remorse” ที่เขียนบทโดยชอว์น ไรอันอีกด้วย ภาพยนตร์ที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาคือ “The Hitman’s Bodyguard” ที่เขียนบทโดยทอม โอ’ คอนเนอร์

เอลลิสัน ที่เป็นผู้ชื่นชอบภาพยนตร์อยู่แล้ว ได้เติบโตขึ้นในนอร์ธเธิร์น แคลิฟอร์เนียและเข้าศึกษาที่สคูล ออฟ ซีเนมาติค อาร์ตส์แห่งมหาวิทยาลัยเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนีย ระหว่างเรียน เอลลิสันได้อำนวยการสร้างและนำแสดงในดรามาสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเรื่อง “Flyboys” ซึ่งผสมผสานความรักของเขาที่มีต่อภาพยนตร์และการเดินทางทางอากาศ เขาเป็นนักบินผู้ประสบความสำเร็จ ผู้มีชั่วโมงบินกว่า 2000 ชั่วโมง มีใบอนุญาตขับเครื่องบินพาณิชย์หลายเครื่องยนต์และเฮลิคอปเตอร์ด้วย ในปี 2003 ด้วยวัยเพียง 20 ปี เอลลิสันเป็นนักบินแสดงโชว์ที่อายุน้อยที่สุดที่การแสดงแอร์เวนเจอร์ โชว์ของสมาพันธ์อากาศยานทดลองในออชคอช, วิสคอนซิน ที่ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในหกนักบินที่แสดงเป็น “Stars of Tomorrow” เอลลิสันมีส่วนเกี่ยวข้องกับคอนเซอร์เวชัน อินเตอร์เนชันแนล ที่ซึ่งเขาเป็นสมาชิกบอร์ดผู้อำนวยการและได้เป็นหนึ่งในคณะกรรมาธิการหลายคณะ

 

ดานา โกลด์เบิร์ก (Dana Goldberg)—ผู้ควบคุมงานสร้าง

ดานา โกลด์เบิร์ก ได้เข้าทำงานกับสกายแดนซ์ โปรดักชันส์ในปี 2010 ในตำแหน่งประธานฝ่ายโปรดักชัน ก่อนหน้านั้น เธอดำรงตำแหน่งประธานฝ่ายโปรดักชันที่วิลเลจ โรดโชว์ พิคเจอร์ส ที่ซึ่งเธอได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ทุกเรื่องของบริษัท ซึ่งรวมถึงแฟรนไชส์ “Ocean’s Eleven,” ไตรภาค “Matrix,” “Training Day,” “Get Smart” และ “Charlie and the Chocolate Factory” นอกจากนี้ เธอยังทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์หลายเรื่องของบริษัท ซึ่งรวมถึง   “I Am Legend,” “The Brave One” และภาพยนตร์อนิเมชันที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง “Happy Feet” ก่อนหน้าทำงานกับวิลเลจ โรดโชว์ในปี 1998 โกลด์เบิร์กได้ทำงานสามปีกับแบร์รี เลวินสัน และพอลลา วีนสไตน์ที่บัลติมอร์/สปริง ครี้ก พิคเจอร์ส ที่ซึ่งเธอดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายโปรดักชัน เธอเริ่มต้นทำงานในแวดวงบันเทิงในตำแหน่งผู้ช่วยที่ฮอลลีวูด พิคเจอร์ส โกลด์เป็นสมาชิกของสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์มาตั้งแต่ปี 2007

ผ่านทางสกายแดนซ์ โกลด์เบิร์กได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์โดยคริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์เรื่อง “Jack Reacher” ที่นำแสดงโทอม ครูซ ที่เข้าฉายในวันที่ 21 ธันวาคม 2012, คอเมดีเรื่อง “The Guilt Trip” ที่นำแสดงโดยเซธ โรแกน และมีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 25 ธันวาคม 2012 และ G.I. Joe 2: Retaliation” ที่นำแสดงโดยบรูซ วิลลิส, แชนนิง ทาทัมและดเวย์น จอห์นสัน และมีกำหนดเข้าฉายวันที่ 29 มีนาค 2013

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ที่โกลด์เบิร์กจะควบคุมงานสร้างผ่านทางสกายแดนซ์ได้แก่โปรเจ็กต์แจ็ค ไรอันที่กำกับโดยเคนเนธ บรานาห์ นำแสดงโดยคริส ไพน์และอำนวยการสร้างโดยลอเรนโซ ดิ โบนาเวนทูราและมาร์ค นิวเฟลด์, ซีเควล Star Trek ที่นำแสดงโดยแซ็คคารี ควินโตและคริส ไพน์ และมีกำหนดเข้าฉายวันที่ 17 พฤษภาคม 2013 และทริลเลอร์โดยมาร์ค ฟอร์สเตอร์เรื่อง “World War Z” ที่นำแสดงโดยแบรด พิตต์ และมีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 21 มิถุนายน 2013

 

พอล ชเวค (Paul Schwake)—ผู้ควบคุมงานสร้าง

พอล ชเวคเป็นซีโอโอและซีเอฟโอของสกายแดนซ์ เขาเข้าทำงานในบริษัทแห่งนี้ในปี 2009 และมีส่วนสำคัญในการทำข้อตกลงด้านการร่วมสนับสนุนด้านเงินทุนและร่วมสร้างกับพาราเมาท์ พิคเจอร์ส พอลได้หาเงินทุนในการสร้างสตูดิโอมูลค่า 200 ล้านของสกายแดนซ์ ด้วยการร่วมทุนของเจพี มอร์แกนและธนาคารอื่นๆ อีกหกแห่ง

ก่อนหน้าที่เข้าทำงานในสกายแดนซ์ พอลได้ร่วมกับผู้อำนวยการสร้างบิล ท็อดแมน จูเนียร์และเอ็ดเวิร์ด มิลสไตน์ มหาเศรษฐีการธนาคารและอสังหาริมทรัพย์ก่อตั้งเลเวล วัน เอนเตอร์เทนเมนต์ ที่ซึ่งเขาทำหน้าที่ซีโอโอ ที่เลเวล วัน พอลได้อำนวยการสร้างคอเมดีเรื่อง “Grandma’s Boy” และ “Strange Wilderness” ที่แสดงโดยอดัม แซนด์เลอร์ นอกจากนี้ เขายังได้อำนวยการสร้าง “Rendition” ที่นำแสดงโดยนักแสดงรางวัลออสการ์ รีส วิทเธอร์สปูน, เมอริล สตรีพและกำกับโดยกาวิน ฮู้ด นอกเหนือจากนั้น พอลยังเป็นผู้นำกิจการด้านโปรดักชันจอแก้วของเลเวล วันอีกด้วย

ก่อนหน้าที่จะทำงานกับเลเวล วัน พอลได้มีส่วนช่วยก่อตั้งสปายกลาส เอนเตอร์เทนเมนต์ กรุ๊ปกับผู้อำนวยการสร้าง แกรี บาร์เบอร์และโรเจอร์ เบิร์นบอม ที่ซึ่งเขารับหน้าที่ซีเอฟโอมานานเจ็ดปี ระหว่างการทำงาน สปายกลาสได้ปล่อยภาพยนตร์ออกมากว่า 20 เรื่อง ซึ่งรวมถึง “The Sixth Sense,” “Bruce Almighty” และ “Seabiscuit”

ก่อนหน้านั้น พอลรับหน้าที่รองประธานฝ่ายการเงินที่มอร์แกน ครี้กนานเจ็ดปี ระหว่างที่เขาทำหน้าที่ มอร์แกน ครี้กได้อำนวยการสร้างและปล่อยภาพยนตร์กว่า 30 เรื่อง ซึ่งรวมถึง “Robin Hood: Prince of Thieves,” “Ace Ventura,” “Last of the Mohicans” และ “True Romance”

นอกเหนือจากนั้น เขายังรับหน้าที่ผู้ตรวจสอบของไพรซ์ วอเตอร์เฮาส์นานห้าปี โดยเขาได้ดูแลลูกค้าในแวดวงบันเทิงและได้ทำงานที่วอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์ในแผนกบัญชีนานสี่ปีอีกด้วย

 

แดน มินเดล, เอเอสซี, บีเอสซี (Dan Mindel, ASC, BSC)—ผู้กำกับภาพ

ก่อนหน้านี้ แดน มินเดล, เอเอสซี, บีเอสซี ได้ร่วมงานกับเจ.เจ. อับรามส์ในฐานะผู้กำกับภาพเรื่อง “Star Trek” และ “Mission: Impossible III” เขาเกิดในเซาธ์ แอฟริกาและเรียนในออสเตรเลียและอังกฤษ เขาเริ่มต้นทำงานเป็นผู้กำกับภาพ ที่ได้ถ่ายทำโฆษณาและได้ร่วมงานกับผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จมากมาย ซึ่งรวมถึงริดลีย์ สก็อต, แบร์รี คินส์แมน, ฮิวจ์ จอห์นสันและไมค์ เซเรซิน โฆษณาที่เขาถ่ายทำให้กับโทนี สก็อตได้แก่โฆษณาที่น่าจดจำของลูกค้าหลายราย อาทิ โคคา-โคลา, เป็ปซีโค, มิลเลอร์ คัวร์สและมาร์ลโบโร

เขารับหน้าที่ผู้กำกับภาพให้กับภาพยนตร์โดยโทนี สก็อตเรื่อง “Domino,” ภาพยนตร์โดยเอียน ซอฟท์ลีย์เรื่อง   “The Skeleton Key,” “Tooth Fairy,” “Stuck on You” และ “Shanghai Noon” เขาเป็นผู้ดูแลการถ่ายทำฝั่งเวสต์ โคสท์ของเรื่อง “G.I. Jane” และการถ่ายทำเพิ่มเติมให้กับ “The Bourne Identity” และภาพยนตร์โดยโทนี สก็อตเรื่อง “The Fan” ภาพยนตร์เรื่อง “Enemy of the State” เป็นการเปิดตัวของเขาในฐานะผู้กำกับภาพเดี่ยวในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ นอกจากนี้ เขายังรับหน้าที่ผู้กำกับภาพในภาพยนตร์ขนาดสั้นโดยเคท ฮัดสันเรื่อง “Cutlass” ล่าสุด เขาได้ถ่ายทำภาพยนตร์โดยโอลิเวอร์ สโตนเรื่อง “Savages” และภาพยนตร์โดยแอนดรูว์ สแตนตันเรื่อง “John Carter”

 

มารีแอน แบรนดัน, เอ.ซี.อี. (Maryann Brandon, A.C.E.)—มือลำดับภาพ

มารีแอน แบรนดัน, เอ.ซี.อี. ได้ร่วมงานกับผู้กำกับเจ.เจ. อับรามส์ครั้งแรกในซีรีส์ “Alias” ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีสาขาการลำดับภาพกล้องเดี่ยวในซีรีส์ดรามา หลังจากนั้น เขาก็ได้กำกับ “Alias” ให้กับอับรามส์ในซีซันสามและสี่ และได้อำนวยการสร้างซีรีส์นี้ในซีซันที่สี่ หลังจากนั้น เธอก็ได้ร่วมงานกับเขาอีกในภาพยนตร์เรื่อง “Star Trek,” “Mission Impossible: 3” และ “Super 8” ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ “How to Train Your Dragon,” “Grumpier Old Men,” ”The Jane Austin Book Club,” “Born to be Wild,” “Race for Glory” และ “A Thousand Acres” ล่าสุด เธอได้รับหน้าที่ที่ปรึกษาในภาพยนตร์เรื่อง “Kung Fu Panda 2”

ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่  “Child Star: The Shirley Temple Story,” “The Miracle Worker,” “Grapevine” และซีรีส์ทีเอ็นทีเรื่อง “The Hunley”

 

แมรี โจ มาร์กี้, เอ.ซี.อี. (Mary Jo Markey, A.C.E.)—มือลำดับภาพ

ก่อนหน้านี้ แมรี โจ มาร์กี้, เอ.ซี.อี. ได้ร่วมงานกับผู้กำกับเจ.เจ.อับรามส์ในซีรีส์ “Felicity,” “Lost” ที่ตอนไพล็อตทำให้เธอและอับรามส์ได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ด, “Alias” ที่เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี, ภาพยนตร์เรื่อง “Star Trek,” “Mission: Impossible III” และ “Super 8” และซีรีส์ดรามาเรื่อง “Anatomy of Hope”

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่   “Killers,” “Rhapsody in Bloom,” “Dawg” และ “Medicine Man” ในปี 2007 มาร์กี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีครั้งที่สามและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ.ซี.อี. เอ็ดดี้ จากผลงานของเธอในภาพยนตร์เอชบีโอเรื่อง “Life Support”

 

สก็อต แชมบ์ลิส (Scott Chambliss)—ผู้ออกแบบงานสร้าง

สก็อต แชมบ์ลิส ผู้ออกแบบงานสร้างเจ้าของรางวัล ได้ออกแบบผลงานจอแก้ว จอเงิน ละครเวทีทั้งในนิวยอร์กและลอสแองเจลิส

แชมบ์ลิสได้ร่วมงานกับอเล็กซ์ เคิร์ทซ์แมน, โรแบร์โต้ ออร์ซีและเจ.เจ. อับรามส์ใน “Star Trek” และได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งใน “Star Trek Into Darkness” ผลงานที่เขาร่วมงานกับอับรามส์ครอบคลุมเวลาสองทศวรรษ ซึ่งรวมถึง “Mission: Impossible III” และซีรีส์ยอดนิยมเรื่อง “Alias” และ “Felicity” ล่าสุด เขาได้ออกแบบงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Cowboys and Aliens” และภาพยนตร์โดยฟิลิป นอยซ์เรื่อง “Salt” ที่นำแสดงโดยแองเจลินา โจลี

ตลอดหลายปีติดต่อกัน แชมบ์ลิสได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี อวอร์ดสาขากำกับศิลป์ยอดเยี่ยมและรางวัลออกแบบงานสร้างยอดเยี่ยมโดยสมาพันธ์ผู้กำกับศิลป์ จากผลงานของเขาใน “Alias” ในปี 2002 เขาได้รับรางวัลเอ็มมีและในปี 2003 เขาก็ได้รับรางวัลสมาพันธ์

แชมบ์ลิสได้เริ่มต้นจากการทำหน้าที่ผู้ช่วยนักออกแบบของโทนี วอลตันในละครบรอดเวย์หลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง “Anything Goes,” “Macbeth” และ “Grand Hotel”

นอกจากนั้น เขายังได้เขียนและวาดภาพประกอบนิยายภาพเรื่อง “Maahvelous!: Princess Puut and Dali Do Venice” ซึ่งเป็นเรื่องราวของเพื่อนสองคนที่เดินทางในต่างประเทศ ส่วนซีเควล “Fromage d’ Amour: Princess Puut in Love” เพิ่งถูกตีพิมพ์ทางเว็บ www.princesspuut.com

 

ไมเคิล แคปแลน (Michael Kaplan)—ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย

จากเครื่องแต่งกายพีเรียดใน ‘Burlesque’ และ ‘Winter’s Tale’ ไปจนถึงแบบดีไซน์อนาคตของ ‘Blade Runner’ และ ‘Star Trek’ งานออกแบบของวิสัยทัศน์ที่สมจริงและสร้างแรงบันดาลใจของไมเคิล แคปแลนได้เบ่งบานในทุกยุคสมัย

หลังจากได้รับรางวัลบาฟตา อวอร์ดจากผลงานของเขาในดรามาแปลกใหม่ของริดลีย์ สก็อต ที่กล่าวถึงมาก่อนหน้านี้ (‘Blade Runner’) เขาก็ได้ริเริ่มเทรนด์แฟชันสำหรับคนรุ่นนี้ด้วยงานออกแบบเครื่องแต่งกายของเขาในภาพยนตร์โดยเอเดรียน ไลน์เรื่อง “Flashdance”

นอกเหนือจากนั้น ความชำนาญในการทำงานภาพยนตร์หลายแนวของเขายังทำให้เขาเป็นผู้ที่ได้รับเลือกจากผู้กำกับเดวิด ฟินเชอร์ให้ทำงานในภาพยนตร์เรื่อง “Fight Club,” “Panic Room,” “The Game” และ “Se7en” รวมถึงผู้กำกับไมเคิล เบย์ในเรื่อง “Pearl Harbor” และ “Armageddon” ไมเคิลได้ร่วมงานกับผู้กำกับริดลีย์ สก็อตอีกครั้งเพื่อออกแบบเครื่องแต่งกายของภาพยนตร์เรื่อง  “Matchstick Men”

งานออกแบบของเขาได้นำสไตล์ที่ล้อเลียน ท้าทายมาสู่แอ็กชันคอเมดียอดนิยมของดั๊ก ลีแมนเรื่อง “Mr. & Mrs. Smith” (ที่นำแสดงโดยแบรด พิตต์และแองเจลินา โจลี) นำความซับซ้อนและหรูหรามาสู่ภาพยนตร์แอ็กชันโดยไมเคิล แมนน์เรื่อง “Miami Vice” (ที่นำแสดงโดยโคลิน ฟาร์เรลและเจมี ฟ็อกซ์) นำพลังงานสดใสมาสู่ภาพยนตร์ยอดนิยมระดับโลกของแบรด เบิร์ดเรื่อง “Mission: Impossible – Ghost Protocol” และนำความยับยั้งชั่งใจพอเหมาะมาสู่ทริลเลอร์ไซไฟโดยฟรานซิส ลอว์เรนซ์เรื่อง “I Am Legend” (ที่นำแสดงโดยวิล สมิธ)

ภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์โดยเจ.เจ. อับรามส์เรื่อง “Star Trek” ทำให้ไมเคิลได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายครั้งที่สามจากสี่ครั้งของเขา

หลังจากนี้ เราจะได้เห็นผลงานของเขาใน “Winter’s Tale” สำหรับอากิวา โกลด์สแมน ที่นำแสดงโดยรัสเซล โครว์และโคลิน ฟาร์เรล รวมถึงซีเควลที่เป็นที่รอคอยของเจ.เจ. อับรามส์เรื่อง “Star Trek Into Darkness”

 

ไมเคิล จิอัคคิโน (Michael Giacchino)—ผู้ประพันธ์เพลง

ไมเคิล จิอัคคิโน เริ่มต้นอาชีพในแวดวงภาพยนตร์ตั้งแต่อายุ 10 ขวบในสวนหลังบ้านของเขาที่เอจวอเตอร์ ปาร์ค, นิวเจอร์ซีย์ และท้ายที่สุด เขาก็ได้ไปเรียนการสร้างภาพยนตร์ที่สคูล ออฟ วิชวล อาร์ตส์ในนิวยอร์ก ซิตี้ หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาก็ได้ทำงานการตลาดที่ดิสนีย์และเริ่มศึกษาด้านการประพันธ์ดนตรีที่จูเลียร์ด ก่อนจะไปศึกษาต่อที่ยูซีแอลเอ จากการตลาด เขาก็ได้กลายเป็นผู้อำนวยการสร้างในแผนกดิสนีย์ อินเตอร์แอ็คทีฟ ที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ ที่ซึ่งเขาสามารถจ้างตัวเองให้แต่งดนตรีสำหรับวิดีโอเกมของพวกเขาได้ ผลงานของเขาได้รับความสนใจจากสตีเวน สปีลเบิร์ก ผู้บอกว่า “ผมทำในสิ่งที่คนสติดีทุกคนจะทำ นั่นคือผมเลือกเขาให้มาแต่งดนตรีประกอบ ‘Medal of Honor’ และประวัติที่เหลือของจิอัคคิโน ก็เกิดขึ้นจากตัวเขาเอง”

ผลงานของไมเคิลในการแต่งดนตรีประกอบวิดีโอเกมเป็นที่สนใจของเจเจ อับรามส์ ผู้ติดต่อเขาผ่านทางอีเมล์เพื่อคุยถึงความเป็นไปได้ในการแต่งดนตรีประกอบซีรีส์ “Alias” พวกเขาได้พบกัน เขาได้งานนี้ และความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็เกิดขึ้น และนำไปสู่ผลงานของเขาในซีรีส์น่าทึ่งเรื่อง “Lost” ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลเอ็มมี

เขาได้เปิดตัวในโลกการแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์เป็นครั้งแรกจาก “The Incredibles” หลังจากนั้น เขาก็ได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ฮิตในบ็อกซ์ออฟฟิศหลายเรื่องเช่น “The Family Stone,” “Mission: Impossible III,” “Ratatouille,” “Star Trek,” “Cars 2,” “Super 8” และ “John Carter” ดนตรีประกอบที่เขาแต่งให้กับภาพยนตร์ฮิตของพิกซาร์เรื่อง “Up” ทำให้เขาได้รับรางวัลออสการ์ รางวัลลูกโลกทองคำ รางวัลบาฟตา รางวัลคริติกส์ ชอยส์ อวอร์ดและสองรางวัลแกรมมี อวอร์ด

ผลงานหลังจากนี้ของไมเคิลได้แก่ภาพยนตร์โดยเจ.เจ. อับรามส์เรื่อง “Star Trek Into Darkness” และภาพยนตร์โดยแอนดี้และลานา วาโชว์สกี้เรื่อง “Jupiter Ascending” เขาได้เป็นส่วนหนึ่งของบอร์ดที่ปรึกษาของเอ็ดดูเคชัน ธรู มิวสิค ลอสแองเจลิส

 

************************************************

www.StarTrekMovie.com