ผู้ชนะรางวัลออสการ์ รอน ฮาวเวิร์ด (“A Beautiful Mind”) กำกับหนังแอ็คชันผจญภัย “In the Heart of the Sea” สร้างจากหนังสือขายดีของนาธาเนียล ฟิลบริค ว่าด้วยเรื่องราวการเดินทางจริงอันน่าตื่นเต้นของเรือ Essex

IN THE HEART OF THE SEAในฤดูหนาวปี 1820 เรือ Essex เรือล่าปลาวาฬจากนิวอิงแลนด์ถูกโจมตีโดยสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ นั่นคือปลาวาฬขนาดใหญ่โตมโหฬารซึ่งมีความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมและความอาฆาตแค้นที่แทบจะเหมือนมนุษย์ หายนะทางทะเลที่เกิดขึ้นจริงครั้งนี้เป็นแรงบันดาลใจให้นวนิยายเรื่อง Moby-Dick ของเฮอร์แมน เมลวิลล์ในเวลาต่อมา แต่หนังสือเล่มนั้นเล่าเรื่องราวเพียงครึ่งเดียว “In the Heart of the Sea” เผยผลลัพธ์อันทุกข์ทรมานที่ตามมาหลังการเผชิญหน้ากันครั้งนั้น เมื่อผู้รอดชีวิตจากเรือลำนี้ถูกกดดันจนถึงขีดสุดและถูกบังคับให้ทำสิ่งที่เกินจินตนาการได้เพื่อเอาชีวิตรอด ด้วยการฝ่าฟันพายุ ความอดอยาก ความตื่นตระหนก และความสิ้นหวัง ชายเหล่านี้ชวนให้เราตั้งคำถามต่อความเชื่อที่ฝังรากลึกที่สุด ตั้งแต่คุณค่าของชีวิตไปจนถึงศีลธรรมในงานที่พวกเขาทำ

“In the Heart of the Sea” แสดงโดยคริส เฮมสเวิร์ธ (“The Avengers”, “Rush”) ในบทต้นหนที่หนึ่งผู้มีความช่ำชองประจำเรือลำนี้, โอเวน เชส, เบนจามิน วอล์กเกอร์ (“Abraham Lincoln: Vampire Hunter”) ในบทกัปตันผู้ขาดประสบการณ์, จอร์จ พอลลาร์ด, คิลเลียน เมอร์ฟี (“The Dark Knight Rises”) ในบทต้นหนที่สอง, แมทธิว จอย และเบน วิชอว์ (“Spectre”, “The Danish Girl”) ในบทนักเขียนนวนิยาย เฮอร์แมน เมลวิลล์ ซึ่งมาสอบถามถึงเหตุการณ์นี้ในอีกสามทศวรรษให้หลังจนทำให้เรื่องนี้กลายเป็นที่สนใจ ทอม ฮอลแลนด์ (“The Impossible”) แสดงเป็นลูกเรือหนุ่ม ทอม นิคเคอร์สัน และเบรนแดน กลีสัน (“Edge of Tomorrow”, “Suffragette”) รับบทเป็นนิคเคอร์สันเมื่ออายุมากขึ้นในอีกสามสิบปีต่อมา 

ฮาวเวิร์ดกำกับเรื่องนี้จากบทภาพยนตร์โดยชาร์ลส์เลวิตต์ (“Blood Diamond”) เรื่องโดยชาร์ลส์เลวิตต์และริคแจฟฟากับอแมนดาซิลเวอร์ (“Jurassic World”) โดยอาศัยเค้าโครงจากหนังสือIn the Heart of the Sea: The Tragedy of the Whaleship Essex โดยนาธาเนียล ฟิลบริค ผู้ชนะรางวัล National Book Award สาขาสารคดี ประจำปี 2000

IN THE HEART OF THE SEAภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดยโจ ร็อธ (“Oz the Great and Powerful”), พอลลา ไวน์สไตน์ (“Blood Diamond”, “This is Where I Leave You”), วิลล์ วอร์ด, ผู้ชนะรางวัลออสการ์ ไบรอัน เกรเซอร์ (“A Beautiful Mind”) และรอน ฮาวเวิร์ด ผู้อำนวยการสร้างบริหาร ได้แก่ บรูซ เบอร์แมน, ซารา แบรดชอว์, พาแล็ค พาเทล, เอริกา ฮักกินส์ และเดวิด เบิร์กสไตน์ ร่วมด้วยวิลเลียม เอ็ม คอนนอร์ ในฐานะผู้ร่วมอำนวยการสร้าง

ทีมงานสร้างสรรค์ผู้อยู่เบื้องหลัง ได้แก่ ผู้กำกับภาพรางวัลออสการ์ แอนโธนี ด็อด แมนเทิล (“Slumdog Millionaire”, “Rush”) นักออกแบบงานสร้าง มาร์ค ทิลด์สเลย์ (“The Fifth Estate”), ผู้ตัดต่อรางวัลออสการ์ ไมค์ ฮิลล์ และแดน แฮนลีย์ (ทั้งคู่ได้รางวัลจาก “Apollo 13”), นักออกแบบเครื่องแต่งกาย จูเลียน เดย์ (“Rush”) และผู้แต่งเพลงประกอบ โร้ค บาโยส (“Evil Dead”)

Warner Bros. Pictures ร่วมกับ Village Roadshow Pictures ขอนำเสนอ “In the Heart of the Sea”ผลงานการร่วมสร้างของ COTT Productions และ Enelmar Productions, A.I.E. ผลงานการสร้างของ Roth Films/Spring Creek/Imagine Entertainment ร่วมกับ Kia Jam กำกับโดยรอน ฮาวเวิร์ด

ภาพยนตร์เรื่องนี้จะออกฉายในระบบสองมิติและสามมิติในโรงภาพยนตร์บางแห่งและในโรงภาพยนตร์ IMAX โดย Warner Bros. Pictures บริษัทในเครือ Warner Bros. Entertainment และในบางพื้นที่โดย Village Roadshow Pictures intheheartoftheseamovie.net

 

ข้อมูลการถ่ายทำ

เรากำลังมุ่งหน้าไปที่สุดขอบโลก ทิ้งบ้านไว้เบื้องหลังพร้อมความหวังอันน้อยนิดเพื่อค้นหาความจริง นี่คือหนึ่งในเรื่องราวการเดินเรือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาเรือล่าปลาวาฬจากแนนทักเก็ตที่ชื่อEssex ถูกโจมตีโดยสัตว์ทะเลอันทรงพลังซึ่งก็คือปลาวาฬสีขาวขนาดมหึมาที่ไม่ยอมลดละ จนกระทั่งเหลือลูกเรือเพียงไม่กี่คนที่เอาชนะอุปสรรคซึ่งยากจะฝ่าฟันได้และรอดชีวิตมาบอกเล่าประสบการณ์ของตน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกือบ 200 ปีนับจากการเดินทางอันน่าหวาดกลัว ความจริงก็ได้เลือนหายกลายเป็นประวัติศาสตร์ภายใต้เงาของนวนิยายอันมีชื่อเสียงที่ได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ครั้งนั้น นั่นก็คือ Moby-Dick ของเฮอร์แมน เมลวิลล์ มาบัดนี้ด้วยฝีมือของผู้กำกับชั้นเยี่ยมรอน ฮาวเวิร์ด ตำนานของเรือ Essex ลูกเรือผู้กล้าหาญ และปลาวาฬสีขาวในตำนานจึงได้รับการถ่ายทอดสู่จอภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในเรื่องราวการผจญภัยอันยิ่งใหญ่ “In the Heart of the Sea”

IN THE HEART OF THE SEAMoby-Dick เป็นเรื่องแต่ง ทว่า “In the Heart of the Sea” นำเสนอตำนานอันทรงพลังซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้นวนิยายอมตะของเมลวิลล์ในเวลาต่อมา ฮาวเวิร์ดกล่าวว่า “เรื่องจริงของเรือ Essex นั้นน่ามหัศจรรย์ เป็นเรื่องราวที่เต็มเปี่ยม รุ่มรวย และมีความเป็นภาพยนตร์อยู่ในตัวเอง รวมทั้งมีจุดหันเหและจุดพลิกผันมากมายตลอดทาง แม้ว่าหนังเรื่องนี้เล่าเรื่องในอดีต แต่ก็ได้กล่าวถึงแนวคิดเรื่องความสัมพันธ์ การอยู่รอด ความเป็นมนุษย์ และธรรมชาติที่ยังคงเข้าถึงได้และกระตุ้นความคิด รวมทั้งเชื่อมโยงกับความเข้าใจที่เรามีต่อสิ่งที่เราเป็นในฐานะมนุษย์”

ในตอนแรกฮาวเวิร์ดได้รับบทภาพยนตร์เรื่องนี้มาจากนักแสดงคริสเฮมสเวิร์ธระหว่างที่ทั้งสองทำงานร่วมกันใน “Rush” เฮมสเวิร์ธซึ่งแสดงในเรื่องนี้ในบทต้นหนที่หนึ่งของเรือEssex โอเวน เชส กล่าวว่า “ผมชอบบทหนังเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกเลยครับ ‘In the Heart of the Sea’ เป็นเรื่องราวของความเป็นวีรบุรุษและผู้คนที่ถูกท้าทายให้ทำเกินขีดจำกัดของตนเองในแทบทุกๆ ด้าน แล้วผมก็ยังหลงใหลความเป็นหนังเขย่าขวัญเชิงจิตวิทยาจากการที่ปลาวาฬพลิกสถานการณ์มาเป็นต่อเหนือมนุษย์ สัตว์ตัวนี้ได้รับการถ่ายทอดให้มีความลึกลับน่าเหลือเชื่อ ในแง่ที่ว่าทำไมปลาวาฬตัวนี้จึงลงมือโจมตี ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกเรือ Essex ไม่เคยพบมาก่อน นักล่าได้กลายมาเป็นผู้ถูกล่า”

เบนจามิน วอล์กเกอร์ ผู้รับบทเป็นกัปตันเรือ Essex เสนอว่าการปะทะห้ำหั่นกันระหว่างนักล่าและปลาวาฬเป็นองค์ประกอบเพียงส่วนเดียว “เรื่องนี้มีบททดสอบสำคัญอยู่สามส่วนคือ มนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับธรรมชาติ และมนุษย์กับตัวเอง คุณจะเอาชนะบททดสอบเหล่านั้นและเอาชีวิตรอดได้อย่างไร นั่นคือคำถามในหนังเรื่องนี้ แต่ก็มีความงดงามอยู่ในเรื่องนั้นด้วย และคุณจะได้เห็นความมั่นคงอดทนในจิตวิญญาณของมนุษย์”

ฮาวเวิร์ดยอมรับว่าเมื่อเฮมสเวิร์ธเสนอโครงการนี้ให้เขาเป็นครั้งแรก “ผมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรือ Essex และไม่รู้ว่าบทหนังมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่พอได้รู้ว่าเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นจริง ผมก็อึ้งไปเลย แล้วผมก็เริ่มเห็นภาพหนังซึ่งจะต้องมีความดิบเถื่อนและตึงเครียด…หนังแบบที่ตัวผมเองอยากดู ซึ่งถือเป็นเครื่องทดสอบสำคัญสำหรับผมครับ”

IN THE HEART OF THE SEAการเดินทางที่ไม่ธรรมดาของเรือEssex และลูกเรือได้รับการบันทึกไว้โดยนาธาเนียล ฟิลบริคในหนังสือ In the Heart of the Sea: The Tragedy of the Whaleship Essex นักเขียนและนักประวัติศาสตร์รายนี้เป็นชาวแนนทักเก็ตผู้หลงใหลในอุตสาหกรรมที่ทำให้เกาะเล็กๆ ในแมสซาชูเซ็ตต์ได้ปรากฏอยู่บนแผนที่ “หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นมาจากความอยากรู้ของผมเองว่าสมัยก่อนตอนที่แนนทักเก็ตยังเป็นเมืองหลวงด้านการล่าปลาวาฬของอเมริกานั้นเป็นอย่างไร เรื่องนี้ฝังใจผม”

เรื่องราวการเดินทางอันอับโชคที่ฟิลบริคบอกเล่าอย่างละเอียดนี้ส่งผลคล้ายคลึงกันแก่ทีมงานและนักแสดงผู้อำนวยการสร้างพอลลาไวน์สไตน์ยืนยันว่า “หนังสือเล่มนี้วางไม่ลงเลยค่ะฉันหยุดอ่านไม่ได้เลยและเมื่อโครงการนี้เกิดขึ้นเรารู้เลยว่านี่จะเป็นงานที่เราทุ่มสุดตัวฉันพบว่าประเด็นนี้ร่วมสมัยมากๆแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าและฉากเรื่องนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องราวอย่างที่คุณพบเห็นได้ในปัจจุบันเป็นการสำรวจแนวคิดที่เป็นอมตะเรื่องความทะเยอทะยานและการเสียสละผู้ชายกับพ่อผู้หญิงกับสามีสัตว์และธรรมชาติรวมถึงชีวิตและความตาย”

ไบรอันเกรเซอร์เพื่อนผู้ร่วมอำนวยการสร้างของฮาวเวิร์ดกล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่ถ่ายทอดผ่านมุมมองของกลุ่มคนซึ่งทำสิ่งที่ตนเชื่อว่าถูกต้องและมีคุณค่าเราจะได้เห็นความซับซ้อนทางศีลธรรมจากเรื่องราวส่วนนี้แต่ทั้งหมดอยู่ภายใต้เปลือกนอกที่เป็นหนังแอ็คชันดรามาว่าด้วยการเดินทางในท้องทะเลที่น่าตื่นเต้น”

“นี่ไม่ใช่แค่เรื่องราวของคนกลุ่มนี้และการเดินทางของพวกเขาเท่านั้น” ผู้อำนวยการสร้างวิลล์ วอร์ดกล่าว “แต่ยังเป็นเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อว่าด้วยการอยู่รอดและสิ่งที่คนคนหนึ่งยอมทำเพื่อรักษาชีวิตของตัวเองและผู้อื่นเอาไว้ ตอนที่อ่านบทและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวในหนัง สิ่งที่ทำให้ผมตกตะลึงคือคนเหล่านี้ทำสิ่งนี้เพื่อหาเลี้ยงชีพ พวกเขาล่องเรืออกไปสู่ทะเลเปิดโดยใช้เรือขนาด 80 ถึง 100 ฟุตโดยแต่ละครั้งใช้เวลาหลายปี และเมื่อพวกเขาเห็นปลาวาฬ พวกเขาก็จะตามล่าสัตว์ร่างยักษ์นั่นด้วยเรือพายลำเล็กๆ มันเหลือเชื่อจริงๆ ครับ”

IN THE HEART OF THE SEAช่วงไม่กี่ปีมานี้สังคมสมัยใหม่เริ่มเข้าใจว่าปลาวาฬเป็นสิ่งมีชีวิตที่รู้สึกได้ทั้งยังมีสติปัญญาและอารมณ์ขั้นสูงแต่มือเขียนบทชาร์ลส์เลวิตต์ซึ่งรับผิดชอบเนื้อเรื่องร่วมกับริคแจฟฟาและอแมนดาซิลเวอร์ชี้ว่าคุณต้องมองความเป็นอยู่ของคนเหล่านี้ผ่านมุมมองของอดีต “นี่ไม่ใช่หนังที่เชิดชูการล่าปลาวาฬตรงกันข้ามมันแสดงให้เห็นว่าการล่าปลาวาฬโหดเหี้ยมแค่ไหน” เขากล่าว “อุตสาหกรรมการล่าปลาวาฬในยุคต้นศตวรรษที่ 19 เน้นการผลิตน้ำมันเป็นหลักก่อนจะมีคนคิดหาวิธีขุดน้ำมันจากใต้พื้นโลกน้ำมันปลาวาฬให้แสงสว่างแก่อเมริกาและยุโรปผู้คนกล่อมทารกให้หลับในเปลที่ทำจากกระดูกปลาวาฬเฟอร์นิเจอร์ชุดคอร์เซ็ตของผู้หญิงและสิ่งจำเป็นสารพัดอย่างทำมาจากผลพลอยได้ของปลาวาฬแต่ชีวิตของคนที่อยู่บนเรือล่าปลาวาฬกลับถูกทิ้งขว้างไม่ได้มีค่ามากไปกว่ารายการในงบดุลของบริษัท

“เรื่องนี้ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นเรื่องของ ‘มนุษย์ปะทะธรรมชาติ’” เลวิตต์กล่าวต่อ “แต่ที่จริงแล้วไม่ควรมีคำว่า ‘ปะทะ’ เพราะมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แต่โชคร้ายที่ทัศนคติโดยทั่วไปในสังคมตะวันตกช่วงนั้นไม่ใช่อย่างนั้น คนสมัยก่อนว่ามนุษย์มีอำนาจปกครองเหนือธรรมชาติรวมถึงสัตว์ทั้งหมดด้วย ปลาวาฬไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าสินค้าที่รอการเก็บเกี่ยวมาเท่านั้น”

“การที่ผู้ชมจะเข้าใจวัฒนธรรมของนักล่าปลาวาฬได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับความสามารถของรอนที่จะสร้างโลกที่ปรากฏในภาพยนตร์ขึ้นมา” เกรเซอร์ตั้งข้อสังเกต “เขาถนัดเป็นพิเศษเรื่องการทำให้ตัวละครมีความเป็นมนุษย์และมีหลายมิติดังนั้นคุณจะได้เห็นด้านที่แตกต่างกันของคนเหล่านี้เมื่อพวกเขาแปรสภาพไปขณะพยายามต่อสู้เพื่ออยู่รอดในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่”

ไวน์สไตน์เห็นด้วยว่าหนังเรื่องนี้อยู่ในมือของคนที่เหมาะสมที่สุดแล้ว “จะให้ฉันพูดยังไงก็ไม่พอค่ะเกี่ยวกับประสบการณ์ในการทำงานกับรอนเขาเป็นผู้กำกับที่สุดยอดจริงๆหนักแน่นและชัดเจนทำงานหนักเน้นการทำงานร่วมกันและการมีส่วนร่วม  ในฐานะผู้อำนวยการสร้างไม่ใช่เรื่องยากค่ะที่จะส่งมอบโครงการถ้าคุณส่งให้ผู้กำกับฝีมือดีและรอนก็นำฝีมือและอีกหลายสิ่งหลายอย่างมาให้หนังเรื่องนี้”

IN THE HEART OF THE SEAทีมนักแสดงซึ่งนำโดยเฮมสเวิร์ธก็เห็นด้วยกับเธอ “รอนเป็นคนใจกว้างที่สุดคนหนึ่งที่ผมรู้จักและมีวินัยในการทำงานที่เยี่ยมมากด้วย” เฮมสเวิร์ธกล่าว “ในฐานะผู้กำกับเขาคอยก้าวข้ามขีดจำกัดอยู่เสมอถ้าคุณดูหนังที่เขาเคยทำมาคุณจะเห็นว่าคุณไม่สามารถจัดหนังเหล่านั้นให้มารวมอยู่ในหมวดหมู่เดียวกันได้มีตั้งแต่หนังตลกขำขันไปจนถึงหนังดรามาชวนติดตามและหนังแอ็คชันฟอร์มใหญ่เขาเคยทำมาหมดแล้วครับและทำด้วยความสมบูรณ์แบบและความชาญฉลาด ‘In the Heart of the Sea’ เป็นงานที่ต้องอาศัยความทุ่มเทเต็มที่จากเราทุกคนและเมื่อต้องทำงานแบบนี้เราก็ต้องร่วมมือร่วมใจและคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันเขาคอยกระตุ้นให้เราพร้อมอยู่เสมอซึ่งก็คือสิ่งที่คุณต้องการในฐานะนักแสดงนั่นคือการได้รับความท้าทายและแรงบันดาลใจ”

วอล์กเกอร์ยืนยันว่า “รอนชอบให้การทำงานเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นธรรมชาติ ดังนั้นเขาคาดหวังให้คุณเตรียมพร้อมมาแล้วเมื่อไปถึงกองถ่าย ผมเคารพในแนวทางนี้และทำงานไปตามนั้น เขาถ่ายทำด้วยกล้องหลายตัวในทุกๆ เทค เพราะเขาต้องการถ่ายทอดว่าสภาวะที่หมิ่นเหม่ระหว่างชีวิตและความตายของคนที่อยู่กลางท้องทะเล และผมคิดว่าเวลาดูหนังคุณจะรู้สึกได้ แทบจะเหมือนกับว่าคุณเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งด้วย เหมือนคุณหลบอยู่ที่เสากระโดงเรือและสังเกตเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว”

ฮาวเวิร์ดเผยว่านั่นคือเป้าหมายของเขามาตลอดโดยกล่าวว่า “เวลาดูหนังผมอยากเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งและผมมองว่า ‘In the Heart of the Sea’ เป็นโอกาสที่น่าตื่นเต้นในการนำผู้ชมไปยังอีกโลกหนึ่งผมอยากนำผู้ชมออกเดินทางไปสู่โลกที่งดงามและแจ่มชัดผมตระหนักดีว่าการเล่าเรื่องนี้อย่างที่ควรจะเป็นนั้นเต็มไปด้วยความท้าทายแต่ก็เป็นความท้าทายที่เรารับมือได้แล้วในปัจจุบันนี้เราสามารถนำเสนอเรื่องราวนี้บนจอภาพยนตร์ให้มีความน่าเชื่อถือน่าตื่นเต้นและถึงระดับที่ภาพยนตร์ควรจะเป็น”

IN THE HEART OF THE SEAเพื่อนำผู้ชมไปยังอีกสถานที่และอีกยุคสมัยหนึ่ง ทีมงานจึงได้สร้างแนนทักเก็ตในยุคต้นถึงกลางศตวรรษ 1800 ขึ้นมาที่ Warner Bros. Studios Leavesden ในอังกฤษ ทีมงานยังได้ถ่ายทำฉากสำคัญในทะเลเปิดที่ ลา โกเมรา หนึ่งในเกาะขนาดเล็กที่สุดในหมู่เกาะคานารี พร้อมกันนั้นนักแสดงหลายรายก็ได้สัมผัสการล่องเรือยุคศตวรรษที่ 19 บนเรือ Essex จำลองซึ่งมีขนาดเท่าของจริง

“มันเป็นการผจญภัยที่น่าทึ่งจริงๆ ครับ” ฮาวเวิร์ดกล่าว “แต่ก็เต็มไปด้วยความทุ่มเท เต็มไปด้วยชีวิตจิตใจ และแนวคิดน่าสนใจที่จะนำเสนอ และใครจะนำเสนอแนวคิดเหล่านั้นได้ดีไปกว่าทีมนักแสดงที่โดดเด่นของเราล่ะครับ”

นอกจากเฮมสเวิร์ธและวอล์กเกอร์แล้ว ทีมนักแสดงหลักยังได้แก่ คิลเลียน เมอร์ฟี, เบรนแดน กลีสัน, ทอม ฮอลแลนด์ และเบน วิชอว์

“นักแสดงของเราต้องอดทนกับความสมบุกสมบันตลอดการถ่ายทำ” ฮาวเวิร์ดกล่าว “แต่ทุกคนก็มุ่งมั่นที่จะทำงานออกมาให้ดี เพราะเคารพความเป็นจริงในเรื่องราวและชีวิตของบุคคลที่พวกเขาถ่ายทอด”

โศกนาฏกรรมของเรือเอสเซ็กส์เป็นเรื่องราวของชายสองคน
กัปตันจอร์จ พอลลาร์ด และต้นหนที่หนึ่งโอเวน เชส

นักแสดง

แนนทักเก็ตยุคต้นศตวรรษ 1800 เจริญรุ่งเรืองด้วยความมั่งคั่งของอุตสาหกรรมน้ำมันปลาวาฬด้วยเหตุนี้คนกลุ่มหนึ่งบนเกาะจึงได้รับความเคารพมากที่สุดฟิลบริคอธิบายว่า “คนล่าปลาวาฬในแนนทักเก็ตคล้ายนักบินรบในปัจจุบันที่ได้รับการยกย่องว่าเก่งกล้าสามารถพวกเขาเดินวางมาดไปตามถนนเมนสตรีทเป็นนักสำรวจซึ่งเดินทางไปตามที่ต่างๆที่ไม่เคยมีคนไปเพื่อต่อสู้กับสัตว์ที่ทรงพลังที่สุดในโลกคือคนเหล่านี้ดูเท่และออกจะกร่างด้วยพวกเขาจะดูถูกคนที่ทำงานอยู่บนฝั่งหรือแม้กระทั่งกะลาสีเรือทั่วไปว่าเป็นชาวเรือที่ด้อยกว่าดังนั้นถ้าคุณเป็นเด็กหนุ่มชาวแนนทักเก็ตคุณต้องอยากเป็นนักล่าปลาวาฬ”

แต่ภายในชุมชนนักล่าปลาวาฬนั้นยังมีระบบชนชั้นที่ชัดเจนซึ่งขึ้นอยู่กับสายเลือดมากกว่าประสบการณ์ในทะเลโอเวนเชสเป็นนักล่าปลาวาฬที่เชี่ยวชาญและส่งน้ำมันเป็นจำนวนมากกลับมายังท่าได้หลายครั้งแล้วแต่เนื่องจากเขาไม่ได้เกิดในตระกูลนักล่าปลาวาฬเขาจึงไม่ได้รับเลือกให้เป็นกัปตันของEssex

IN THE HEART OF THE SEAคริสเฮมสเวิร์ธกล่าวว่า “เชสเป็นคนชนชั้นแรงงานที่มีทักษะและคุณสมบัติเหมาะแก่การเป็นกัปตันแต่ไม่ได้มีสิทธิแต่กำเนิดเพราะเขาไม่ได้มาจากตระกูลที่มีอภิสิทธิ์และไม่ได้มีชื่อหรือภูมิหลังที่เหมาะสมเขาจึงไม่ได้รับตำแหน่งกัปตันและต้องไปเป็นต้นหนให้จอร์จพอลลาร์ดซึ่งทำให้เขาโกรธและไม่พอใจ”

“เชสเป็นคนกล้าหาญมีคุณธรรมและดึงดูดใจคน” ฮาวเวิร์ดกล่าว “แต่เขาก็มีข้อบกพร่องเช่นกันเขาถูกผลักดันด้วยความต้องการที่จะพิสูจน์ตัวเองและเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นในเรื่องนี้คริสเป็นนักแสดงที่กล้าหาญและสามารถถ่ายทอดตัวละครตัวนี้ออกมาได้ในทุกแง่มุมโดยบางครั้งไม่ต้องพูดออกมาเลยซักคำการแสดงของเขาทำให้เราได้รู้จักเชสอย่างลึกซึ้ง”

ความขุ่นเคืองต่อจอร์จพอลลาร์ดที่เชสเก็บกดไว้มีแต่จะทวีคูณขึ้นเมื่อกัปตันใหม่รายนี้ขาดประสบการณ์โดยสิ้นเชิงเฮมสเวิร์ธยืนยันว่า “สองคนนี้ขัดแย้งกันอย่างหนักเนื่องจากเชสรู้อยู่เต็มอกว่าเขาควรเป็นกัปตันและลึกๆแล้วพอลลาร์ดเองก็รู้ตัวเช่นกันเมื่อทั้งสองพยายามวางอำนาจในหมู่ลูกเรือสถานการณ์จึงเริ่มอันตรายเพราะทั้งสองมีความเห็นขัดแย้งกันในการทำสิ่งต่างๆลูกเรือตั้งคำถามว่าตัวเองควรเชื่อใครเพราะพอลลาร์ดเป็นกัปตันแต่โอเวนเชสมีความรู้มากกว่า”

แม้ว่าพอลลาร์ดมีอำนาจสั่งการแต่เขาก็รู้สึกสงสัยลังเลเพราะรู้ว่าตำแหน่งนี้เขาได้รับมาโดยไม่สมควรจะได้ “จอร์จพอลลาร์ดไม่ได้เลือกว่าเขาอยากเป็นอะไร” วอล์กเกอร์อธิบาย “เขาเป็นทายาทของครอบครัวนักล่าปลาวาฬที่มีชื่อเสียงและเติบโตมาพร้อมกับความรับผิดชอบในการรักษามรดกของตระกูลพอลลาร์ดไว้…ไม่ว่าเขาจะถนัดด้านนี้หรือไม่เขารับความกดดันเอาไว้มากมายและถ้าเราเข้าใจความกดดันนั้นเราก็จะเข้าใจจอร์จพอลลาร์ด”

“เบน วอล์กเกอร์เป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมมากครับ” ฮาวเวิร์ดกล่าว “เขามีความฉลาดและความเข้าใจลึกซึ้งในการเข้าถึงความซับซ้อนของตัวละครอย่างพอลลาร์ด ซึ่งไม่ได้ถูกผลักดันด้วยความต้องการที่จะเอาชนะหรือล่าปลาวาฬ แต่เป็นการไล่ตามอุดมคติซึ่งเป็นภาระที่เขารับมาจากชื่อเสียงของตระกูล”

วอล์กเกอร์กล่าวว่า “เขาได้รับโอกาสให้เป็นกัปตันเป็นครั้งแรกซึ่งทุกอย่างก็ไปได้สวย… จนกระทั่งเขาได้โอเวน เชสมาเป็นต้นหนที่หนึ่ง นับจากนั้นมาการต่อสู้ระหว่างชายสองคนนี้ก็บังคับให้พอลลาร์ดต้องหาคำตอบว่าตัวเขาเองเป็นใครในฐานะมนุษย์คนหนึ่งแทนที่จะเป็นในปริบทของครอบครัว และผมคิดว่ามันน่าสนใจมากนะ… ที่คนบางคนได้ค้นพบตัวเองขณะถูกทดสอบด้วยเหตุการณ์ทางธรรมชาติ”

เฮมสเวิร์ธเห็นด้วยพร้อมระบุว่า “เหตุการณ์ก่อนและหลังเป็นแง่มุมที่ผมว่าน่าสนใจที่สุดครับ เรื่องที่ว่าผู้รอดชีวิตตอบสนองอย่างไรต่อประสบการณ์ที่ตัวเองได้ฝ่าฟันมา ทุกคนอยู่คนละฟากจากสิ่งที่ตัวเองเป็นในตอนเริ่มต้น เมื่อกลับมาบ้าน พวกเขาจะมองดูตัวเองและมองโลกอย่างไร มองการล่าปลาวาฬอย่างไร พวกเขาจะกลับไปทำอย่างเดิมอีกหรือไม่… หรือพวกเขาอาจคิดว่า ‘การกระทำนี้อาจจะผิด เรื่องนี้อาจให้บทเรียนบางอย่างแก่เรา’”

ความขัดแย้งระหว่างกัปตันและต้นหนที่หนึ่งทำให้ต้นหนที่สอง แมทธิว จอย ต้องพยายามไกล่เกลี่ยระหว่างทั้งสองคน คิลเลียน เมอร์ฟี ผู้รับบทนี้กล่าวว่า “แมทธิวพยายามเป็นตัวกลางในความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างเชสและพอลลาร์ด สิ่งที่ผมชอบคือเรื่องราวในอดีตที่คุณจะได้จากเขา เห็นได้ชัดว่าเขาสนิทกับเชส สองคนนี้ล่องเรือด้วยกันตั้งแต่อายุราว 13 ปี คุณจะได้เห็นว่าเขาเป็นคนติดเหล้าที่กลับใจมาตั้งต้นชีวิตใหม่ เป็นตัวละครที่ค่อนข้างน่าสนใจเลยล่ะครับ”

เมอร์ฟีเสริมว่าเขาสนใจบทหนังและตัวผู้กำกับไม่แพ้กัน “ผมอ่านบทเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่าเป็นเรื่องราวการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่หนักแน่นอย่างที่เราไม่ค่อยได้เห็นกันในทุกวันนี้ เป็นบทหนังเรื่องหนึ่งที่คุณวางไม่ลงและจะยังคงนึกถึงอยู่เมื่อไปเข้านอนและตื่นขึ้นในเช้าวันถัดมา

“แล้วยังมีเรื่องการทำงานกับรอนซึ่งทำหนังที่ผมชอบตลอดหลายปีที่ผ่านมา” เมอร์ฟีกล่าวต่อ “ผมพูดอยู่เสมอว่าผู้กำกับเป็นคนกำหนดบรรยากาศในกองถ่ายซึ่งจะส่งต่อไปยังนักแสดงและทีมงาน ในกองถ่ายของรอน ฮาวเวิร์ด มีพลังแง่บวกมากๆ และเขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องในรายละเอียดการถ่ายทำทุกส่วนและตัวละครทุกตัว เขาได้ส่งต่อความกระตือรือร้นรวมถึงความสุขในการทำหนังไปยังทีมงาน นั่นคือสิ่งที่คุณจะได้รับจากเขาครับ”

นักแสดงสองคนจากต่างรุ่นรับบทเป็นโธมัส นิคเคอร์สันในช่วงเวลาที่ห่างกันสามทศวรรษ นักแสดงหนุ่มทอม ฮอลแลนด์รับบทเป็นเด็กรับใช้บนเรือวัย 14 ปีที่ออกเดินทางล่าปลาวาฬเป็นครั้งแรกบนเรือ Essex ส่วนนักแสดงผู้คร่ำหวอด เบรนแดน กลีสัน รับบทเป็นชายผู้ยังมีรอยแผลเป็นจากประสบการณ์ที่โหดร้ายครั้งนั่น แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะเป็นรอยแผลที่มองไม่เห็นก็ตาม

ฮาวเวิร์ดอธิบายว่า “นิคเคอร์สันทั้งสองคนช่วยให้เราได้สำรวจแง่มุมต่างๆ ที่ทั้งน่าสนใจและเปี่ยมด้วยอารมณ์ มีทั้งอันตรายและความน่าตื่นเต้นจากการผจญภัยซึ่งมองผ่านสายตาของเด็ก และความบอบช้ำจากโศกนาฏกรรมในความทรงจำของชายที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่”

ทอม ฮอลแลนด์ บรรยายถึงนิคเคอร์สันวัยเด็กว่าเป็น “เด็กแกร่งที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ผมเคยเห็น เขาเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีใครให้พึ่งได้ เขาออกเดินทางร่วมกับชายฉกรรจ์กลุ่มนี้ซึ่งทำงานนี้มานานหลายปี และไม่ได้รู้เรื่องในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่เลยแม้แต่น้อย เขารับงานนี้อย่างเด็กไร้เดียงสาที่พร้อมจะเริ่มต้น แต่ไม่ได้รู้ว่าตัวเองจะได้เจอกับอะไร”

สามสิบปีต่อมาเราได้พบนิคเคอร์สันซึ่งกลายเป็นผู้รอดชีวิตจากเรือ Essex ที่เหลืออยู่คนสุดท้าย ขณะที่เขาถูกคะยั้นคะยอให้เล่าเหตุการณ์ที่ยังคงหลอกหลอนตัวเขา เบรนแดน กลีสัน กล่าวว่า “เขายังเด็กตอนที่ได้พบสิ่งเลวร้ายนี้และไม่เคยพูดถึงความน่าหวาดกลัวของสิ่งที่เขาได้เผชิญมา เขาเก็บกดมันไว้นานหลายปีและมันก็เป็นสิ่งที่กำลังฆ่าเขา เมื่อเขาพาตัวเองมาถึงจุดที่สามารถเผชิญหน้ากับประสบการณ์นี้ได้ในท้ายที่สุด จึงเหมือนกับว่าเขาได้ปลดปล่อยอารมณ์นั้นออกมา”

คนที่อ้อนวอนขอให้นิคเคอร์สันพูดถึงหายนะครั้งนั้นก็คือนักเขียนหนุ่มที่มีชื่อว่าเฮอร์แมน เมลวิลล์ โดยชาร์ลส์ เลวิตต์ได้กล่าวถึงการสร้างโครงร่างของบทภาพยนตร์ว่า “ผมอยากหลอมรวมเรื่องจริงจากเรื่อง Essex เข้ากับเรื่องแต่งของเมลวิลล์ซึ่งกำลังทำงานเขียนเพื่อสร้างสรรค์งานนวนิยายอเมริกันชิ้นเอก Moby-Dick หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องผ่านมุมมองของนิคเคอร์สัน แต่เราก็จะเริ่มนึกออกว่าจินตนาการของเมลวิลล์มีจุดเริ่มต้นมาจากไหน”

เบน วิชอว์ ซึ่งรับบทเป็นนักเขียนผู้กลายเป็นตำนานกล่าวว่า “หนังเรื่องนี้เริ่มต้นจากการที่เฮอร์แมน เมลวิลล์ กระหายอยากรู้เรื่องจริง เขาเคยได้ยินผู้คนคุยกันและเชื่อว่ามีการปกปิดความจริงบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนเรือ Essex ในแง่หนึ่งตัวละครของผมเป็นตัวกระตุ้นเรื่องราวในหนัง เนื่องจากว่าสุดท้ายเขาเป็นคนทำให้นิคเคอร์สันยอมเล่าเรื่องราวของตัวเอง สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองเป็นเหมือนการชำระล้างจิตใจจากประสบการณ์ที่เจ็บปวด พวกเขานั่งคุยกันทั้งคืน และเมื่อค่ำคืนนั้นสิ้นสุดลงพวกเขาก็ได้เห็นตัวเองในมุมมองใหม่”

นิคเคอร์สันอาจไม่ได้เปิดใจกับนักเขียนรายนี้หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากภรรยาซึ่งรับบทโดยมิเชลล์ แฟร์ลีย์ กลีสันกล่าวว่า “เธอสนับสนุนให้เมลวิลล์ไปขอร้องสามีให้เล่าเรื่องนี้ออกมาเพราะเธอมองว่าวิธีนี้เป็นความหวังเดียวของทั้งคู่ เธอไม่ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด แต่เธอต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับความมืดที่ปกคลุมคนทั้งสองและทำให้เขาอยู่แต่ในโลกของตัวเอง”

ฮาวเวิร์ดกล่าวว่า “ที่จริงแล้ว ‘In the Heart of the Sea’ เกี่ยวข้องกับบทบาทของผู้หญิงในชีวิตของผู้ชายกลุ่มนี้อยู่มากทีเดียว เพราะในประวัติศาสตร์ของแนนทักเก็ตและอุตสาหกรรมการล่าปลาวาฬ ผู้หญิงคือผู้อยู่รอดที่แท้จริง ขณะที่ผู้ชายออกเสี่ยงโชคเป็นเวลานานหลายปีในแต่ละครั้ง ผู้หญิงเป็นคนดูแลให้เกาะแห่งนี้เดินหน้าไปได้ ผู้หญิงไม่ได้แค่เลี้ยงดูและดูแลบ้าน แต่เป็นคนขับเคลื่อนชุมชน”

ชาร์ลอตต์ ไรลีย์ รับบทเป็นเพกกี ภรรยาผู้ห่วงใยของโอเวน เชส เธอกำลังตั้งครรภ์ลูกคนแรกตอนที่สามีกำลังจะจากไปโดยเขาให้สัญญาว่าจะกลับมาหาเธอ ฮาวเวิร์ดกล่าวว่า “การได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างโอเวนกับภรรยาในตอนเริ่มต้นสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจตัวละครของเขา เมื่อเรื่องราวกลายเป็นเรื่องของการหาทางกลับบ้าน เราต้องรู้ว่าเขากำลังต่อสู้เพื่อบางสิ่งที่มีความหมายมาก ไม่ใช่แค่ชีวิตของตัวเอง แต่สิ่งสำคัญคือครอบครัวและผู้หญิงที่เขารัก”

คนที่ออกเดินทางร่วมกับพอลลาร์ดและเชส ได้แก่ คาเลบ แชพเพล รับบทโดยพอล แอนเดอร์สัน, บาร์ซิลลาย เรย์ เพื่อนวัยรุ่นของนิคเคอร์สัน รับบทโดยเอ็ดเวิร์ด แอชลีย์, พ่อครัวประจำเรือ วิลเลียม บอนด์ รับบทโดยแกรี บีเดิล, แรมสเดลล์ รับบทโดย แซม คีลีย์, ริชาร์ด ปีเตอร์สัน รับบทโดยโอซี อิคไฮล์, เบนจามิน ลอว์เรนซ์ รับบทโดยโจเซฟ มอว์ล และเฮนรี คอฟฟิน ลูกพี่ลูกน้องของพอลลาร์ดและสมาชิกอีกคนหนึ่งของตระกูลนักล่าปลาวาฬที่มีชื่อเสียง รับบทโดยแฟรงค์ ดิลเลน ส่วนจอร์ดี มอลลา รับบทเป็นกัปตันเรือล่าปลาวาฬชาวสเปนซึ่งเคยเผชิญหน้ากับปลาวาฬสีขาวตัวนี้มาแล้วและพยายามเตือนลูกเรือ Essex ถึงอันตรายที่รออยู่ข้างหน้า

สัตว์ประหลาดมันมีอยู่จริงหรือ หรือว่าเรื่องราวเหล่านี้มีอยู่
เพียงเพื่อให้เราเคารพความลึกลับดำมืดของท้องทะเล

ITHOTS_BusShelter_MJ

ปลาวาฬ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปลาวาฬสีขาวรับบทบาทสำคัญในดรามาเรื่องนี้ดังนั้นการสร้างปลาวาฬตัวนี้ขึ้นมาจึงต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของทีมงานหลายฝ่ายประกอบกันฮาวเวิร์ดกล่าวว่า “พฤติกรรมของปลาวาฬหัวทุย (sperm whale) เป็นสิ่งที่เราศึกษาและวิเคราะห์ร่วมกันเราพบผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลและและนักชีววิทยาทางทะเลเพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมของพวกมันได้ดียิ่งขึ้นสิ่งที่ผมสนใจมากที่สุดคือทำไมเรื่องนี้จึงเกิดขึ้นการที่เรือลำหนึ่งถูกโจมตีโดยปลาวาฬอย่างไม่ลดละเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครได้ยินและไม่เคยมีอะไรแบบนี้มาก่อนเป็นเรื่องราวที่แปลกประหลาดที่สุดผมเชื่อว่าสัตว์ตัวนี้ถูกกดดันจนถึงจุดแตกหักซึ่งนำมาสู่การปะทะกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

นักออกแบบงานสร้าง มาร์ค ทิลด์สเลย์กล่าวว่า “เราต้องแน่ใจว่าปลาวาฬดูเป็นสิ่งมีชีวิตในหนัง เราลองใช้ภาพปลาวาฬสีขาวบางภาพซึ่งก็ออกมาดูดี แต่โชคร้ายที่ปลาวาฬสีขาวของจริงนั้นให้ภาพที่สงบและล่องลอย แต่จากการศึกษาข้อมูลของเรา เราพบว่าปลาวาฬอายุมากหลายตัวเริ่มมีผิวหนังหลุดลอกออกไป ดังนั้นเราจึงทำให้ปลาวาฬตัวนี้มีสีคล้ำขึ้น แต่คุณจะเห็นสีขาวเป็นรอยด่างโผล่ออกมาในจุดที่ผิวหนังหลุดลอก”

“ปลาวาฬตัวนี้มีรอยแผลจากการต่อสู้ครั้งก่อนกับมนุษย์และนักล่าอื่นๆ ด้วย ดังนั้นลักษณะภายนอกจึงแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงในอดีตที่ผ่านมาของมัน” ผู้สร้างวิชวลเอฟเฟ็กต์ เลสลี เลอร์แมนกล่าว

ปลาวาฬได้มีชีวิตขึ้นมาด้วยงานซีจีโดยทีมวิชวลเอฟเฟ็กต์ซึ่งนำโดยเลอร์แมนและผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟ็กต์ โจดี จอห์นสัน จอห์นสันให้ความเห็นว่า “การก้าวข้ามขีดจำกัดโดยไม่ให้ล้นเกินไปนับเป็นเรื่องท้าทายเป็นพิเศษด้วยความที่สัตว์ตัวนี้มีขนาดใหญ่และมีกำลังมาก เพราะเราไม่ต้องการให้ผู้ชมหลุดออกจากโลกแห่งความเป็นจริงไปสู่โลกแฟนตาซี แต่ละครั้งที่เราวางแนวทางฉากแอ็คชันที่เกี่ยวข้องกับปลาวาฬตัวหลักหรือปลาวาฬตัวอื่นๆ เราจะส่งแนวคิดไปให้ผู้เชี่ยวชาญดูและคุยกันว่ามันดูสมเหตุสมผลมากแค่ไหนและน่าจะมีพฤติกรรมอย่างอื่นอีกหรือเปล่า วิธีนี้ช่วยให้เราได้ขอบเขตในการทำงาน”

สิ่งที่ทำให้ปลาวาฬตัวนี้แตกต่างจากสิ่งอื่นๆ ในกรอบการอ้างอิงของเราก็คือขนาด ด้วยความยาว 95 ฟุต น้ำหนักราว 80 ตัน และส่วนหางกว้าง 20 ฟุต เมื่อเทียบกันแล้ว ปลาวาฬหัวทุยตัวผู้ตัวอื่นๆ ที่พวกเขาได้พบมีความยาวเกินครึ่งหนึ่งไปเล็กน้อยที่ราวๆ 52 ฟุต

พอลลา ไวน์สไตน์กล่าวว่าขนาดอันใหญ่โตของปลาวาฬตัวนี้ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้มันแตกต่าง “สำหรับฉันแล้วมันเป็นเสียงจากธรรมชาติที่บอกว่า ‘พอได้แล้ว!‘  มันเป็นผู้ปกป้องที่กำลังบอกนักล่าปลาวาฬด้วยวิธีเดียวที่มันทำได้ว่าให้หยุดการรุกรานน่านน้ำและฆ่าครอบครัวของมันได้แล้ว ด้วยยุคสมัยที่เราอยู่ นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก ฉันคิดว่าผู้ชมก็คงอยากให้เชส พอลลาร์ด และคนอื่นๆ รอดชีวิตและได้กลับบ้าน แต่ในขณะเดียวกันผู้ชมก็จะคอยเชียร์ปลาวาฬด้วย เป็นความรู้สึกที่ผสมปนเปกันซึ่งทำให้เรื่องราวชวนติดตามยิ่งขึ้นกว่าเดิม”