“FLATLINERS ขอตายวูบเดียว” 19 ตุลาคม 2560

FLATLINERS ข้อมูลงานสร้าง

ใน Flatliners นักศึกษาแพทย์ห้าคนผู้หมกมุ่นกับความลี้ลับของสิ่งที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของชีวิตได้ทำการทดลองที่สุดท้าทายและเสี่ยงอันตรายด้วยการหยุดการเต้นหัวใจของพวกเขาเป็นระยะเวลาสั้นๆซึ่งแต่ละครั้งกระตุ้นให้เกิดประสบการณ์เฉียดตายทำให้พวกเขาได้สัมผัสถึงความรู้สึกของชีวิตหลังความตายด้วยตัวเองแต่เมื่อการทดลองของพวกเขาเริ่มเสี่ยงอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆพวกเขาแต่ละคนก็ได้เผชิญหน้ากับบาปในอดีตของพวกเขาซึ่งเกิดขึ้นจากผลลัพธ์ที่ไม่อาจอธิบายได้ของการรุกล้ำไปยังอีกด้านหนึ่งของความตาย

โคลัมเบียพิคเจอร์สร่วมกับครอสครีกพิคเจอร์สภูมิใจเสนอ Flatliners ผลงานสร้างโดยลอว์เรนซ์มาร์ค/เฟอร์เธอร์ฟิล์มส์/ซาฟรานคัมปะนีภาพยนตร์โดยนีลส์อาร์เดนออพเลฟ  นำแสดงโดยเอลเลนเพจ, ดิเอโก้ลูนา, นีนาโดเบรฟ, เจมส์นอร์ตันและเคียร์ซีย์เคลมอนส์กำกับโดยนีลส์อาร์เดนออพเลฟจากบทภาพยนตร์โดยเบนริปลีย์และเรื่องราวโดยปีเตอร์ฟิลาร์ดี้ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดยลอว์เรนซ์มาร์ค, ไมเคิลดักกลาสและปีเตอร์ซาฟรานผู้ควบคุมงานสร้างได้แก่ไมเคิลบีเดอร์แมน, โรเบิร์ตมิทัส, เดวิดแบล็คแมน, ไบรอันโอลิเวอร์และฮัสซันทาเฮอร์อีริคเครสรับหน้าที่ผู้กำกับภาพนีลส์เซเจอร์รับหน้าที่ผู้ออกแบบงานสร้างทอมเอลคินส์รับหน้าที่มือลำดับภาพเจนนีเกอริงรับหน้าที่ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายดนตรีโดยนาธานบาร์

เกี่ยวกับภาพยนตร์

“เราทุกคนต่างก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราตายแต่เห็นได้ชัดว่าเรื่องบางอย่างเราไม่รู้จะดีกว่า” ลอว์เรนซ์มาร์คผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ใหม่เรื่อง Flatliners กล่าวในภาพยนตร์เรื่องนี้นักศึกษาแพทย์ห้าคนเริ่มหมกมุ่นกับคำถามเหล่านี้และไม่ใส่ใจกับคำเตือนของผู้อำนวยการสร้างเลย

“Flatliners เป็นการเดินทางไปสู่ดินแดนที่เราไม่รู้หรือคุณอาจพูดได้ว่าดินแดนสุดท้ายที่เราไม่รู้” ผู้กำกับนีลส์อาร์เดนออพเลฟผู้เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากผลงานของเขาในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์สวีดิชที่สร้างจาก The Girl with the Dragon Tattoo และตอนไพล็อตของซีรีส์ดังเรื่อง “Mr. Robot” “มันเป็นประเด็นที่สุดโต่งการเดินทางไปสู่ห้วงเวลาหลังควาตายและให้เพื่อนพยายามดึงตัวคุณกลับมาเพื่อสำรวจสิ่งที่อยู่อีกด้านหนึ่งน่ะครับ”

Flatliners เริ่มต้นขึ้นเมื่อนักศึกษาแพทย์คนหนึ่งผู้มีแรงจูงใจส่วนตัวที่เธอเก็บงำอย่างดีเกลี้ยกล่อมให้เพื่อนสี่คนของเธอร่วมมือกับเธอทำการทดลองสุดอันตรายนั่นคือเธอต้องการจะหยุดการเต้นของหัวใจเธอและสัมผัสความตายเป็นระยะเวลาสั้นๆและสังเกตการเคลื่อนไหวของคลื่นสมองเพื่อทดลองว่าพวกเขาจะสามารถหาหลักฐานของชีวิตหลังความตายได้หรือไม่จากนั้นเธอก็ต้องการให้เพื่อนๆดึงเธอกลับมาสู่การมีชีวิตอีกครั้ง

อะไรที่สามารถเกลี้ยกล่อมให้คนเราทดลองทำสิ่งที่อันตรายขนาดนั้นได้จะมีอะไรนอกเสียจากผลลัพธ์ที่เย้ายวนใจของการคิดค้นสิ่งแปลกใหม่ที่จะทำให้พวกเขามีชื่อเสียงกันล่ะ “ลองจินตนาการดูสิครับว่าพวกเขาพบหลักฐานที่พวกเขากำลังมองหามันคงจะเป็นการค้นพบทางการแพทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบศตวรรษเลยล่ะ” ออพเลฟกล่าว “คอร์ทนีย์ที่รับบทโดยเอลเลนเพจใช้ประโยชน์จากความกดดันที่นักศึกษาคนอื่นรู้สึกในสิ่งแวดล้อมที่ตึงเครียดอย่างที่ตัวละครตัวหนึ่งพูดเอาไว้นี่ไม่ใช่โรงเรียนแพทย์ที่สอนหมอต่างจังหวัดพวกเขาเรียนที่นั่นเพื่อผลักดันวงจรความรู้ของมนุษย์ครับ”

สิ่งที่นักศึกษาแพทย์ได้พบเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ได้คาดหวังหลังจากที่พวกเขาปล่อยให้หัวใจหยุดเต้นและเผชิญหน้ากับความตายพวกเขาไม่เพียงแต่ได้สัมผัสว่าชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไรแต่พวกเขากลับมาด้วยคุณสมบัติที่ดีกว่าเดิม “ในการเดินทางไปสู่อาณาจักรแห่งความตายพวกเขากลับมาด้วยความสามารถที่พัฒนาขึ้นครับ” ออพเลฟกล่าว “พวกเขาพยายามที่จะใช้ทางลัดไปสู่ความยิ่งใหญ่แต่มันก็มีค่าตอบแทนบางอย่างที่พวกเขาต้องจ่ายในการทำเช่นนั้นครับ”

และค่าตอบแทนนั้นก็สูงลิบลิ่วขณะที่พวกเขาเผชิญหน้ากับความตายและการฟื้นคืนชีพพวกเขาก็ถูกบีบให้ต้องเผชิญหน้ากับการกระทำที่น่าเสียใจในอดีตของพวกเขา “พวกเราทุกคนในครั้งหนึ่งครั้งใดในชีวิตต่างก็เคยทำในสิ่งที่พวกเราอับอายหรือสิ่งที่ทำให้เราเสียใจมาแล้ว” ผู้อำนวยการสร้างไมเคิลดักกลาสกล่าวในระหว่างที่นักศึกษาในเรื่องเผชิญหน้ากับความตายเขากล่าวว่ามันก็กลายเป็นโอกาสให้พวกเขาได้เผชิญหน้ากับบาปของตัวเอง “ระหว่างที่พวกเขาถูกตามหลอนด้วยความผิดพลาดของตัวเองพวกเขาก็ค้นพบว่ามันไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการพยายามจะแก้ไขอดีต” เขากล่าวต่อ

“พวกเขาได้เผชิญหน้ากับองค์ประกอบต่างๆจากอดีตของพวกเขาที่พวกเขาไม่ภูมิใจนัก” ออพเลฟกล่าวเสริม “กล่าวสั้นๆก็คือพวกเขาได้ตระหนักว่าตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาเป็นอย่างไรครับ”

Flatliners ต้นฉบับเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในปี 1990 ภาพยนตร์ที่มีสไตล์งดงามและสั่นคลอนจิตใจเรื่องนี้โดนใจผู้ชมในทันทีบัดนี้เมื่อเวลาผ่านมากว่า 25 ปี Flatliners ได้หวนคืนสู่จอเงินอีกครั้งในรูปแบบทันสมัยกว่าเดิมดักกลาสผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ต้นฉบับได้ร่วมมือกับผู้อำนวยการสร้างลอว์เรนซ์มาร์คและปีเตอร์ซาฟรานในการนำภาพยนตร์เรื่องใหม่นี้ขึ้นสู่จอเงิน

ในการกำกับเวอร์ชันใหม่นี้ผู้อำนวยการสร้างได้ทาบทามออพเลฟ “นีลส์ได้นำความคิดอ่านแบบนักเขียนยุโรปที่วิเศษสุดเข้าไปในทริลเลอร์พาณิชย์สัญชาติอเมริกันครับ” ซาฟรานกล่าว “สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเราทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนีลส์คือตัวละครจะต้องเวิร์คเขาทำให้แน่ใจว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวละครมีพื้นฐานจากความเป็นจริงและความผิดพลาดในอดีตของพวกเขารวมถึงการกระทำที่พวกเขาทำเพื่อไถ่บาปให้กับตัวเองเป็นสิ่งที่น่าเชื่อ”

อีกหนึ่งสิ่งสำคัญสำหรับออพเลฟคือการสร้างภาพยนตร์ที่ยืนหยัดได้ด้วยตัวเองและเข้าถึงได้สำหรับผู้ชมร่วมสมัย

“แน่นอนครับมันเป็นหนังบันเทิงที่น่าตื่นเต้นแต่เนื้อหาของเรื่องก็ยังมีความลึกซึ้งด้วยเราได้สร้างหนังที่มีความตึงเครียดเหมาะๆมีความบันเทิงของความเป็นทริลเลอร์แต่มันก็มีความลึกซึ้งความน่าเชื่อและความสมจริงด้วยนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมสนใจโปรเจ็กต์นี้ครับ” ออพเลฟกล่าว

มาร์คกล่าวว่าการใช้แนวทางที่สมจริงมากขึ้นเป็นเรื่องสมเหตุสมผล “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากตลอดกว่ายี่สิบปีที่ผ่านมา” มาร์คกล่าว “เราสร้างหนังเรื่องนี้ในแบบที่สมจริงยิ่งขึ้นและมีพื้นฐานจากความจริงทางการแพทย์มากขึ้นครับ”

วิธีหนึ่งที่ออพเลฟใช้ในการสร้างความสมจริงให้กับทริลเลอร์เรื่องนี้คือความยึดติดกับความสมจริง “Flatliners มีองค์ประกอบแบบเรื่องเหนือธรรมชาติที่มีทั้งเรื่องสนุกและน่ากลัวแต่ภายในนั้นผมอยากให้มันเป็นเรื่องที่เชื่อได้จริงๆ” ออพเลฟกล่าว “ในตอนที่พวกเขาปล่อยให้หัวใจหยุดเต้นครั้งแรกผมอยากให้คุณเชื่อ 100% ว่ามันกำลังเกิดขึ้นจริงๆ”

ซาฟรานกล่าวว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการที่ออฟเลฟจะสร้างความสมจริงให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยตัวละครที่แข็งแกร่ง “เราอยากจะปูพื้นตัวละครอย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อที่ว่าเมื่อพวกเขาได้เจอกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาปล่อยให้หัวใจหยุดเต้นแล้วคุณจะได้เห็นทุกอย่างผ่านดวงตาของพวกเขาคุณจะรู้ว่าพวกเขาเจอกับอะไรบ้างคุณจะได้รู้ว่าพวกเขาได้สัมผัสกับอะไรบ้างในชีวิตและตอนนี้คุณก็จะกลัวแทนพวกเขา”

เบนริปลีย์ผู้ก่อนหน้านี้เขียนบทภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง Source Code เข้าร่วมงานเพื่อเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้จากเรื่องราวโดยปีเตอร์ฟิลาร์ดี้ริปลีย์กล่าวว่า “ผมเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ในตอนที่หนังต้นฉบับเข้าฉายและผมก็จำได้ว่าเคยคิดว่ามันเป็นหนังที่มีพล็อตเรื่องเฉียบมากๆผมก็เลยสนใจไอเดียของรีเมกด้วยความที่องค์ประกอบทุกอย่างยังอยู่ครบถ้วนทั้งเสน่ห์สากลของการล้วงลึกเข้าไปในชีวิตหลังความตายธีมของการไถ่บาปและการแก้ตัวผมโชคดีที่มีโอกาสได้ใช้โครงสร้างที่มั่นคงแข็งแรงอยู่แล้วสิ่งที่ผมทำคือการพัฒนาเรื่องวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและทำให้ทีมนักแสดงมีความหลากหลายและมีการประชันขันแข่งกันมากขึ้นเพื่อให้ตรงกับโรงเรียนการแพทย์ในปัจจุบันครับ”

ริปลีย์ได้ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ตลอดกระบวนการเขียนบท “ผมสนใจไอเดียทางด้านประสาทวิทยาว่าเป็นตัวขับเคลื่อนความสนใจของตัวละครในเรื่องการปล่อยให้หัวใจหยุดเต้น” เขาอธิบาย “เรายังคงไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่ว่าสมองทำงานอย่างไรมันเป็นเครื่องจักรที่ซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะเข้าใจได้ผมเริ่มสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีส่วนหนึ่งของสมองที่มีหน้าที่ผลิตประสบการณ์เฉียดตายเหมือนกับที่มีส่วนที่ทำให้เรารู้สึกโกรธหรือทำให้เรารู้สึกถึงรสชาติน่ะครับ”

ในหลายๆโอกาสระหว่างกระบวนการเขียนบทริปลีย์ได้ไปเยี่ยมชมเพื่อนนักประสาทวิทยาที่ทำงานและได้นั่งอยู่ในห้องประชุมเช้าวันนำเสนองานและได้สัมภาษณ์นักศึกษาแพทย์ที่อยู่ระหว่างการเข้าเวรด้านประสาทวิทยา “หลายเรื่องถูกใส่เข้าไปในบทด้วย” ริปลีย์กล่าว “เราทุกคนต่างก็อยากจะทำให้เรื่องน่าเชื่อที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ดังนั้นสถานการณ์ทางการแพทย์หลายเรื่องที่คุณเห็นในหนังก็เป็นความจริงที่ถูกเขียนขึ้นและนำเสนอออกมาด้วยความสมจริงอย่างมากครับ”

การคัดเลือกนักแสดง

ทีมผู้สร้างได้มองหานักแสดงห้าคนในวงกว้างเพื่อรับบทนักศึกษาแพทย์หนุ่มสาวที่ชื่นชอบการแข่งขันกัน “นี่เป็นทีมนักแสดงและด้วยเหตุนี้สิ่งสำคัญคือการหานักแสดงที่หวังว่าจะเติมเต็มกันและกันได้” มาร์คกล่าว “นักแสดงของเราแต่ละคนนำเสนอในสิ่งที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์สำหรับกลุ่ม”

เอลเลนเพจผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ดจากการแสดงแจ้งเกิดของเธอใน Juno ได้รับเลือกจากทีมผู้สร้างให้รับบทคอร์ทนีย์หญิงสาวซับซ้อนผู้เกลี้ยกล่อมให้เพื่อนๆติดตามเธอในการค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย

“ตัวละครของเอลเลนจุดประกายสิ่งที่ทำให้เรื่องราวขับเคลื่อนและโชคดีที่เธอเป็นนักแสดงหญิงที่เก่งกาจครับ” มาร์คกล่าว

“คอร์ทนีย์เป็นผู้หญิงที่มีปัญหาครับ” ซาฟรานอธิบาย “เธอถูกตามหลอนด้วยความผิดที่เธอรู้สึกจากการเป็นคนขับรถในตอนที่น้องสาวเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์เมื่อสิบปีก่อนและเธอก็แบกรับน้ำหนักนั้นมาตลอดนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เธอหลงใหลในชีวิตหลังความตายเธออยากจะรู้เหลือเกินว่าน้องสาวเธอไปสู่สุคติแล้วและเธอก็เต็มใจที่จะทำถึงขั้นที่ทดลองกับตัวเองเอลเลนเพจนำความน่าเชื่อถือและพลังด้านการแสดงมาสู่บทนี้เธอแสดงถึงภาระหนักอึ้งทางจิตใจที่คอร์ทนีย์มีและความทุกข์ทรมานที่เธอรู้สึกต่อการเสียชีวิตของน้องสาวเธอได้อย่างงดงามครับ”

“เอลเลนนำความน่าเชื่อถือทางอารมณ์และความลึกซึ้งมาสู่ตัวละครตัวนี้ครับ” ออพเลฟกล่าว “มันเป็นเรื่องน่าติดตามที่ได้เห็นเธอนำตัวละครของเธอไปสู่มุมมืดคุณอาจเรียกเธอว่าหัวหน้ากลุ่มก็ได้เธอเป็นอิทธิพลให้คนอื่นๆทำตามเธอครับ”

เพจกล่าวว่าเธอถูกใจโปรเจ็กต์นี้ในหลายๆระดับด้วยกัน “ฉันสนใจวิธีที่หนังเรื่องนี้รับมือกับความหลงใหลความกลัวการปฏิเสธเรื่องอะไรก็ตามที่เป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้ภายในจิตใจเราน่ะค่ะ” นักแสดงหญิงกล่าว “คอร์ทนีย์เป็นตัวละครที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นตัวละครที่ฉันไม่เคยแสดงมาก่อนเธอมีความลึกลับนิดๆและฉันก็สนใจในความลึกลับของเธอเธอมีอดีตที่น่าเศร้าสลดและยากลำบากเธอต้องรับมือกับความรู้สึกผิดรุนแรงและมันก็เป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้เธอเป็นเธออย่างทุกวันนี้ในการแสดงเป็นคนที่ผ่านอะไรมามากมายและได้สำรวจเรื่องแบบนั้นเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นจริงๆสำหรับฉันค่ะ”

อารมณ์ที่หลากหลายเช่นนั้นยังคงดำเนินต่อเนื่องเมื่อตัวละครของเพจเริ่มต้นการทดลองที่อันตรายของเธอ “ก่อนที่เธอจะทำให้หัวใจหยุดเต้นเธอปิดกั้นตัวเองจากความรู้สึกรุนแรงที่เธอมีเกี่ยวกับอดีตของตัวเองเธอปกป้องตัวเองจากความรู้สึกพวกนั้นค่ะ” เพจกล่าว “หลังจากที่หัวใจเธอหยุดเต้นเธอก็พบช่วงเวลาของความสุขความรู้สึกแบบที่คุณรู้สึกหลังจากคุณผ่านพ้นช่วงเวลายากลำบากมาแล้วเธอเปิดตัวเองออกเธอเริ่มรู้สึกถึงความแข็งแกร่งและอิสรภาพแต่เธอก็เริ่มที่จะสัมผัสถึงทุกอย่างที่เธอรู้สึกภายในและเปลือกด้านนอกของเธอก็เริ่มถูกกระเทาะออกมาค่ะ”

สำหรับบทตัวละครที่มีความซับซ้อนและมีความเป็นส่วนตัวมากอย่างเรย์ทีมผู้สร้างเลือกดิเอโก้ลูนา

“เรย์เป็นคนเดียวในกลุ่มที่มีประสบการณ์จริงครับ” มาร์คอธิบาย “เขาอายุมากกว่าคนอื่นและเขาก็แข็งกระด้างกว่าเขาไม่ได้โตมาแบบอภิสิทธิชนไม่ได้เข้าเรียนโรงเรียนไอวีลีคเขาเป็นพนักงานดับเพลิงที่เห็นความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานมาเยอะตอนแรกเขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเพื่อนๆของเขาถึงอยากจะทำการทดลองในแบบที่เขาพบว่าเสี่ยงตายและท้าทายแต่ท้ายที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะเข้าร่วมโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเพื่อนๆต้องการเขาและประสบการณ์ของเขาในการฟื้นชีวิตให้กับพวกเขาน่ะครับ”

“ดิเอโก้สวมบทเรย์ด้วยความอ่อนไหวหลายระดับที่จะทำให้คุณชื่นชอบตั้งแต่เริ่มต้น” ซาฟรานให้ความเห็น “แต่เมื่อเขาต้องก้าวสู่บทบาทฮีโรเขาก็มีบุคลิกที่จะทำให้มันให้ความรู้สึกสมจริงเขามีวิธีที่วิเศษสุดในการก้าวเข้าไปในฉากและควบคุมมันครับ”

“ด้วยความที่เรย์อายุมากกว่าคนอื่นหลายปีเขาก็เลยนำประสบการณ์ชีวิตและความน่าเชื่อมาสู่ไอเดียของการทำให้หัวใจหยุดเต้นและดิเอโก้ก็ให้ความรู้สึกของประสบการณ์แบบนั้นครับ” ออพเลฟกล่าวเสริม

ลูนา ผู้เป็นที่รู้จักดีจากการแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Y tu Mama Tambien, Milk และ Rogue One: A Star Wars Story กล่าวว่า เขารู้สึกเชื่อมโยงกับตัวละครนี้ในทันที “เรย์เป็นตัวละครที่คล่องแคล่วครับ” ลูนาอธิบาย “เขาเป็นคนที่เรียนโรงเรียนนี้ด้วยเหตุผลอย่างหนึ่งและเขาก็ไม่อยากจะเสี่ยงกับมัน แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็เป็นหมอและความอยากรู้อยากเห็นก็เข้าครอบงำเขา ไอเดียของการได้เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็กต์ที่เสี่ยงอันตรายเหลือเกินเป็นสิ่งที่ดึงดูดเขา เรย์ไม่สนใจในเรื่องการทำให้หัวใจหยุดเต้น แต่การดึงผู้คนพวกนี้กลับจากความตายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับเขา มันทำให้เขารู้สึกทรงพลัง เขาติดใจครับ หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเล่นกับไฟ การเล่นกับสิ่งที่คุณไม่สามารถควบคุมได้ครับ”

นีนาโดเบรฟรับบทมาร์โลตัวละครที่เธอบอกว่าถูกใจเธอตั้งแต่ทีเธอได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ “ฉันทำลิสต์ข้อดีและข้อเสียของตัวละครตัวนี้ได้สองหน้ากระดาษ” โดเบรฟเล่า “พอฉันเขียนเสร็จฉันก็ตระหนักได้ว่ามันไม่มีข้อเสียเลยฉันเพิ่งเขียนสิ่งต่างๆที่ฉันชื่นชอบเกี่ยวกับเธอและการเปลี่ยนแปลงของเธอที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้ค่ะ”

“มาร์โลเป็นตัวละครที่ยอดเยี่ยม” ซาฟรานกล่าว “เธอเป็นเด็กสาวที่คุณอยากจะเกลียดเพราะเธอมีพร้อมทุกอย่าง เธอทั้งสวย ฉลาด และร่ำรวย แต่เธอก็ใส่อารมณ์ขันเข้าไปในทุกอย่างที่เธอทำ ดังนั้น มันก็เลยเป็นไปไม่ได้ที่จะเกลียดเธอ ส่วนสำคัญเป็นเพราะนีนา โดเบรฟเป็นเด็กสาวคนนั้น นีนาเป็นคนที่คุณอยากจะคลุกคลีด้วย เธอเป็นคนมีเสน่ห์และเธอก็ใส่เสน่ห์นั้นเข้าไปในตัวมาร์โลครับ”

นักแสดงชาวอังกฤษเจมส์ นอร์ตัน รับบท เจมี หนุ่มรักสนุกรวยเสน่ห์ “เจมีเป็นตัวร้ายที่น่ารักครับ” นอร์ตันพูดถึงตัวละครของเขา “เขาไม่ใช่นักศึกษาที่จริงจัง แต่ชื่นชอบการปาร์ตี้ ชอบสาวๆ เขาเต็มไปด้วยความกล้าหาญและมั่นใจ และไม่เคยกลัวที่จะพูดออกไปว่าสิ่งที่เขาแสวงหาจริงๆ แล้วคือความโด่งดัง เขาอยากจะเป็นหมอคนดังครับ”

“ตัวละครของเขามีความบ้าบิ่น” ออพเลฟกล่าว “เขาเป็นเด็กที่ได้รับมรดกร่ำรวย ที่สนใจในสาวๆ และปาร์ตี้มากกว่าโรงเรียนแพทย์ มันมีเหตุผลที่คอร์ทนีย์เลือกเขา ใช่ครับ ผมคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนที่กดปุ่มและเริ่มทุกอย่างขึ้นมาน่ะครับ”

เคียร์ซีย์ เคลมอนส์ ที่โด่งดังที่สุดจากการแสดงแจ้งเกิดของเธอภาพยนตร์ยอดนิยมที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์เรื่อง Dope ได้รับเลือกจากทีมผู้สร้างให้รับบท โซเฟีย

“โซเฟียเป็นตัวละครที่น่าสนใจเพราะเห็นได้ชัดว่าเธอคู่ควรที่จะได้เรียนโรงเรียนการแพทย์ด้วยสติปัญญา การทำงานหนักและความขยันของเธอ แต่เธอก็ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เคร่งครัดของแม่เลี้ยงเดี่ยวของเธอ ที่สละทุกอย่างเพื่อส่งโซเฟียเรียนโรงเรียนการแพทย์และคาดหวังให้เธอประสบความสำเร็จและเป็นเลิศครับ” ซาฟรานให้ความเห็น “และความกดดันนั้นก็เป็นภาระหนักอึ้งบนบ่าของเธอ แต่ในแง่ที่ว่า เธอกำลังทำให้แม่เธอผิดหวัง หรือเธอกำลังทำให้ตัวเธอเองผิดหวังกันแน่ นี่คือสิ่งที่เธออยากจะทำจริงๆ น่ะหรือ นี่เป็นตัวละครที่ซับซ้อนมากๆ และเคียร์ซีย์ เคลมอนส์ก็สวมบทนี้ได้อย่างเพอร์เฟ็กต์เลย”

“ฉันคิดว่าสำหรับโซเฟีย สิ่งที่เธอมองคือการเป็นที่หนึ่ง เป็นคนที่ฉลาดที่สุด และเป็นอันดับหนึ่งของชั้นเรียนเพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกคาดหวังเอาไว้กับเธอค่ะ” เคลมอนส์พูดถึงตัวละครของเธอ “ดังนั้น ตอนที่เธอตัดสินใจทำให้หัวใจหยุดเต้น เธอก็ได้รู้สึกถึงการปลดปล่อย เธอได้ไขว่คว้าตัวตนของตัวเองด้วยการทำในสิ่งที่แม่ของเธอไม่อยากให้เธอทำค่ะ”

ตั้งแต่เริ่มต้น ปฏิกิริยาเคมีและความสมัครสมานสามัคคีระหว่างนักแสดงทั้งห้าคนก็ปรากฏชัดทั้งในและนอกจอ “เราทุกคนเข้ากันได้ตั้งแต่นาทีแรกที่เราพบกันค่ะ” โดเบรฟกล่าว “ทุกคนมีนิสัยที่แตกต่างกันเหลือเกิน แต่พอมาอยู่ด้วยกัน เราก็เป็นเหมือนตัวต่อ พวกเราเข้ากันได้ดีและทุกคนก็นำสิ่งใหม่ๆ ใส่เข้าไปในเรื่องค่ะ”

นอร์ตันกล่าวเสริมว่า “ในหนังเรื่องไหนๆ หรือการแสดงครั้งไหนๆ ก็ตาม ความไว้วางใจระหว่างกลุ่มนักแสดงเป็นสิ่งสำคัญ คุณจะต้องเปิดกว้าง และภายในไม่กี่วัน คุณก็ต้องเผยจิตวิญญาณของคุณ และทำตัวเปราะบางต่อหน้าคนแปลกหน้า ซึ่งนั่นต้องอาศัยความไว้วางใจอย่างยิ่งยวดเลยนะครับ ดังนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่นักแสดงมักจะสนิทกันเร็วมากๆ และนั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังเองนี้ ซึ่งเป็นเรื่องเยี่ยมเพราะหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความไว้วางใจ เรียกได้ว่าตัวละครพวกนี้มอบชีวิตให้กันและกันดูแลแล้วบอกว่า ‘ดึงฉันกลับมาที ดึงฉันกลับมาจากความตายด้วยนะ’ ดังนั้น การที่พวกเราทุกคนเข้ากันได้ดี การที่เราทุกคนไว้วางใจกันหลังกล้องก็หมายความว่าความสัมพันธ์และเรื่องราวมิตรภาพของเราบนหน้าจอจะเกิดขึ้นอย่างง่ายดายมากขึ้นครับ”

image1ค่ายฝึกทางการแพทย์

ตามแนวทางของออพเลฟที่จะสร้างความสมจริงให้กับองค์ประกอบทริลเลอร์และเรื่องเหนือธรรมชาติด้วการทำให้กระบวนการทางการแพทย์สมจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ทีมผู้สร้างจึงได้โฟกัสไปที่การนำเสนอสิ่งเหล่านั้นอย่างถูกต้อง “เป็นเรื่องสำคัญที่ทุกอย่างที่เรากำลังสำรวจในแง่ของยาและการทำให้หัวใจหยุดเต้นตรงตามความเป็นจริงและมีความถูกต้องทางการแพทย์ครับ” ผู้ควบคุมงานสร้างไมเคิลบีเดอร์แมนกล่าว “การกระทำจะต้องน่าเชื่อ”

ทีมผู้สร้างได้อาศัยที่ปรึกษาทางการแพทย์ลินด์ซีย์โซเมอร์สเพื่อทำให้แน่ใจว่าทั้งการกระทำและสิ่งของที่ใช้จะน่าเชื่อและถูกต้องทางการแพทย์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนที่จะเปิดกล้องและระหว่างการถ่ายทำโซเมอร์สได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับออพเลฟและริปลีย์รวมถึงเครือข่ายพยาบาลนักรังสีวิทยานักประสาทวิทยาและศัลยแพทย์ประสาทของเธอเพื่อพยายามทำให้แน่ใจว่าการวิเคราะห์ทุกครั้งจะถูกต้องและยาทุกเม็ดที่สั่งจ่ายไปจะถูกต้องว่านักแสดงจะถืออุปกรณ์ของพวกเขาถูกวิธีและจะฉีดยาหรือสวมท่อในแบบที่แพทย์จริงๆจะทำ

“ตั้งแต่เริ่มต้นนีลส์บอกว่าเขาอยากได้ความสมจริงทางการแพทย์ในหนังเรื่องนี้ดังนั้นสิ่งแรกที่ฉันทำคืออ่านบทแล้วก็ชี้ให้พวกเขาและเบนสังเกตเห็นความไม่เป็นจริงทางการแพทย์” โซเมอร์สกล่าว “ยกตัวอย่างเช่นในหนังและซีรีส์หลายเรื่องคุณจะได้เห็นคนใช้เครื่องช็อคไฟฟ้าหัวใจที่หยุดเต้นซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริงเลยเพราะคุณทำแบบนั้นไม่ได้เบนเสริมฉากหนึ่งเข้าไปที่อธิบายเรื่องนี้ให้ผู้ชมฟังด้วยคำที่ถูกหลักการแพทย์ด้วยการให้ตัวละครของเคียร์ซีย์อธิบายว่าคุณจะช็อคไฟฟ้าการเต้นของหัวใจที่หยุดเต้นไปแล้วไม่ได้ ‘มันไร้ประโยชน์ถ้าปราศจากเสียงหัวใจเต้น’ แน่นอนว่าด้วยความที่เรากำลังสร้างหนังฮอลลีวูดไม่ใช่สารคดีเราก็เลยลักไก่กับบางเรื่องแต่โดยรวมแล้วเราก็พยายามจะรักษาความสมจริงให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ค่ะ”

แน่นอนว่าเรื่องหนึ่งที่พวกเขาค้นคว้าข้อมูลคือซีเควนซ์หัวใจหยุดเต้นควรจะนานแค่ไหน “เราได้ค้นคว้าข้อมูลว่าคนๆหนึ่งจะหัวใจหยุดเต้นได้นานแค่ไหนสมองของคุณจะทนได้นานแค่ไหนถ้าขาดอ็อกซิเจนน่ะครับ” ออพเลฟกล่าว “หมอส่วนใหญ่จะบอกว่าประมาณสามหรือสี่นาทีแต่จริงๆแล้วมันขึ้นอยู่กับแต่ละคนครับมีตัวอย่างที่น่าสนใจมากๆของคนที่ทนอยู่ได้หลายนาทีก่อนจะฟื้นขึ้นมาด้วยสถานการณ์บางอย่างน่ะครับ”

ในการใส่ความสมจริงที่จำเป็นเข้าไปในการแสดงบทนักศึกษาแพทย์ปีสามของพวกเขาโซเมอร์สได้นำทีมนักแสดงเข้าสู่คอร์สเร่งรัดที่เธอพูดถึงว่าเป็น “ค่ายฝึกทางการแพทย์”

โซเมอร์สอธิบายว่า “เราเริ่มต้นทฤษฎีเล็กน้อยเพื่อให้พวกเขาเข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงต้องทำในสิ่งที่พวกเขากำลังจะทำโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากหัวใจหยุดเต้นเช่นทำไมการปั๊มหัวใจถึงได้ผลการกดหน้าอกส่งผลยังไงต่อหัวใจและร่างกาย  การจัดการอ็อกซิเจนทำยังไงหลังจากนั้นเราก็ฝึกฝนทักษะฉันให้พยาบาลห้องฉุกเฉินมาช่วยสอนพวกเขาปั๊มหัวใจว่าจะจัดการกับสายน้ำเกลือและหน้ากากอ็อกซิเจนยังไงจากนั้นเราก็เริ่มโฟกัสไปที่ฉากหัวใจหยุดเต้นเพระมันจะเป็นฉากที่เข้มข้นที่สุดในการถ่ายทำและเป็นสิ่งที่นีลส์และนักแสดงกังวลกันที่สุดด้วย”

นักแสดงทุกคนเห็นพ้องกันว่าการฝึกฝนทางการแพทย์เป็นสิ่งสำคัญต่อการแสดงของพวกเขา “ทั้งศัพท์เฉพาะทฤษฎีและการใช้อุปกรณ์เป็นเรื่องที่เราต้องเรียนรู้และออกแบบท่าเคลื่อนไหวค่ะแต่มันก็ทำให้การถ่ายทำสนุกขึ้นเยอะเลย” เพจกล่าวว “การมีโอกาสได้ฝึกด้วยกันทำให้เรารู้สึกผูกพันและสบายใจกันมากขึ้นในตอนที่เราถ่ายทำฉากหัวใจหยุดเต้นน่ะค่ะ”

ลูนากล่าวเสริมว่า “หวังว่าพอหมอได้ดูหนังเรื่องนี้พวกเขาจะบอกว่า ‘พวกเขาค้นคว้าข้อมูลมาจริงๆด้วย’ มันเป็นงานหนักก็จริงแต่ผมก็ภูมิใจกับความจริงที่ว่าเราทุกคนมองมันอย่างจริงจังแบบนี้น่ะครับ”

image2เกี่ยวกับงานสร้าง

ออพเลฟทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้กำกับภาพอีริคเครส, ผู้ออกแบบงานสร้างนีลส์เซเจอร์ (ซึ่งเขาเคยร่วมงานด้วยมาแล้วทั้งสองคนในโปรเจ็กต์ต่างๆรวมถึง The Girl with the Dragon Tattoo) และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายเจนนีเกอริงเพื่อคิดลุคโดยรวมของเรื่องขึ้นมาในกาออกแบบฉากและเลือกโลเกชันสิ่งสำคัญสำหรับทีมผู้สร้างคือการกำหนดแบ็คดร็อปให้กับเรื่องที่สะท้อนถึงการผสมผสานการแพทย์แบบดั้งเดิมเข้ากับการแพทย์แผนใหม่ที่ถูกขับดันด้วยงานวิจัยที่กระตุ้นให้นักศึกษาทั้งห้าคนทดลองกับความเป็นความตายของตัวเอง

ในการสร้างศูนย์ทางการแพทย์ไทรนิตี้เอ็มมานูเอลขึ้นมาเซเจอร์ต้องการสร้างบรรยากาศที่จะช่วยขับเน้นถึงแรงจูงใจที่จะทำให้หัวใจหยุดเต้นของเหล่านักศึกษาว่านี่เป็นโอกาสที่พวกเขาจะได้สร้างชื่อในแวดวงที่มีการแข่งขันกันสูงนี้

“เราต้องการจะสร้างวงการแพทย์ระดับแนวหน้าขึ้นมาเป็นไอคอนของความใฝ่ฝันในอเมริกา” เซเจอร์อธิบาย “ผมคิดวนเวียนถึงคำสามคำนี้นวัตกรรมอภิสิทธิและธรรมเนียมดั้งเดิมคำพวกนี้ไอเดียพวกนี้จะถูกสะท้อนออกมาในฉากและโลเกชันหรือกระทั่งแนวทางที่เราค้นหาสำหรับสถาปัตยกรรมและการออกแบบเราค้นหาสะพานที่เชื่อมระหว่างตึกหลายแห่งและผมก็มองไปรอบๆโดยคำนึงถึงคำสามคำในหัวตอนที่เราได้เห็นสะพานเชื่อมกระจกทีงดงามเรามองมันจากหลายๆมุมและตระหนักว่ามันเชื่อมโยงศูนย์การแพทย์ยุค 70s ที่เก่ากว่ากับตึกที่ทันสมัยมากๆ  ซึ่งสร้างจากกระจกและเหล็กทั้งหมดสะพานเชื่อมนั้นเป็นเหมือนเส้นทางย้อนเวลามันสะท้อนถึงทุกสิ่งที่ปรากฏในหนังของเราผมถ่ายภาพมันและตึกที่อยู่ทั้งสองฝั่งติดมันไว้บนผนังห้องผมและพวกมันก็กลายเป็นกุญแจสำคัญสำหรับองค์ประกอบด้านการออกแบบหลายๆอย่างและธีมของของเก่าและของใหม่ธรรมเนียมดั้งเดิมและความทันสมัยครับ”

หนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเซเจอร์และทีมออกแบบของเขาคือห้องหลุมหลบภัยลับที่ซ่อนอยู่ในชั้นใต้ดินของศูนย์การแพทย์ไทรนิตี้เอ็มมานูเอลซึ่งเป็นสถานที่ทำการทดลองให้หัวใจหยุดเต้นในหลุมหลบภัยที่ห่างไกลผู้คนและถูกลืมเลือนนี้ออพเลฟสามารถสร้างฉากที่สามารถเป็นสิ่งแวดล้อมที่เขาต้องการสำหรับซีเควนซ์หัวใจหยุดเต้นได้ “ผมอยากจะเลือกสิ่งที่ผมต้องการเพื่อสร้างดรามาที่ดีที่สุดแต่มันก็จะต้องเป็นของจริงด้วย”

ยกตัวอย่างเช่นมีการถกเถียงกันอยู่นานว่าจะใช้เครื่องกระตุ้นมาช็อคหัวใจดีไหม “ปกติแล้วเครื่องกระตุ้นแบบนั้นเป็นสิ่งที่คุณจะใช้เมื่อ 15 ปีที่แล้วตอนนี้พวกเขาจะใช้แผ่นที่ติดลงไปบนร่างกายเลย” ออพเลฟตั้งข้อสังเกต “แต่เครื่องกระตุ้นเป็นเครื่องมือที่เป็นส่วนตัวกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาใช้มันเพื่อหยุดการเต้นของหัวใจน่ะครับ”

ทางออกคือการสร้างหลุมหลบภัยขึ้นมา “ไอเดียก็คือพวกเขากำลังทำการหยุดการเต้นของหัวใจในบริเวณของโรงพยาบาลที่ใช้เฉพาะเวลาฉุกเฉินเท่านั้นด้วยเหตุนั้นมันก็เลยมีส่วนผสมผสานของอุปกรณ์เก่าและใหม่” ออพเลฟกล่าว “ด้านบนในห้องที่ทันสมัยมากๆพวกเขามีแผ่นแปะแต่ด้านล่างในหลุมหลบภัยพวกเขายังใช้เครื่องกระตุ้นกันอยู่ครับ”

แต่หลุมหลบภัยก็ต้องมีอุปกรณ์ใหม่บ้างเช่นกันเซเจอร์ตั้งข้อสังเกตว่า “นีลส์ต้องการให้ฉากนี้ดูเหมือนกับถูกทิ้งร้างและโดดเดี่ยวมันห่างไกลจากส่วนอื่นๆของโรงพยาบาลแต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่น่าจะมีเทคโนโลยีทันสมัยพอที่จะสร้างข้อมูลภาพสมองที่นักศึกษาเก็บรวบรวมระหว่างซีเควนซ์หัวใจหยุดเต้นได้น่ะครับ” เขากล่าว

สำหรับศูนย์กลางของฉากหลุมหลบภัย เซเจอร์ได้ออกแบบเครื่องสแกนเนอร์ MRI ที่ดูล้ำยุค ที่นอกจากจะเสริมความสมจริงตามที่ผู้กำกับต้องการสำหรับฉากนี้ได้แล้ว ยังรองรับการถ่ายทำฉากหัวใจหยุดเต้นที่ซับซ้อนด้วย “เราต้องการให้มันดูเหมือนรุ่นใหม่สำหรับเครื่อง MRI จริงๆ ครับ” นักออกแบบกล่าว “ผมได้พบกับศัลยแพทย์ประสาทเพื่อคุยว่าคุณต้องการอะไรบ้างเพื่ออ่านคลื่นสมองในแบบที่เราทำในหนังเรื่องนี้และคิดคอนเซ็ปต์สำหรับเครื่อง MRI ของเราขึ้นมา ผมโชว์คอนเซ็ปต์ให้เขาดู แล้วเขาก็บอกว่า ‘ผมอยากได้มัน ผมจะไปหามันได้ที่ไหน!” ซึ่งนั่นก็ดีพอแล้วสำหรับผมครับ”

ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เจนนี เกอริงใช้แนวทางคล้ายกันในการออกแบบเสื้อผ้าในภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเธอคอยดูแลให้เสื้อผ้าเหล่านั้นสมจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ “เราทำการค้นคว้าข้อมูลมากมายเพราะไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการทำผิดพลาดอีกแล้ว” เกอริงบอก “เราคุยกับหมอประจำ และนักศึกษาแพทย์ มันมีวัฒนธรรมย่อยในวงการนี้ในแง่ที่ว่าใครจะสวมหรือไม่สวมเสื้อโค้ทแล็บ พวกเขาจะสวมมันตอนเรียนปีไหน เสื้อใครจะมีรอยปักบ้างและอื่นๆ อีกมากมาย…มันมีเหตุผลสำหรับทุกระดับค่ะ”

เกอริงได้สร้างแบบดีไซน์ที่หลากหลายสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ตั้งแต่ชุดสูทอาชีพที่เรียบร้อยของมาร์โลไปจนถึงสเว็ตเตอร์แบบไอวี ลีคของเจมี เสื้อผ้าจะสะท้อนถึงบุคลิกลักษณะของตัวละครแต่ละตัว “เสื้อผ้าเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการช่วยพัฒนาและบ่งบอกถึงตัวละครค่ะ” เกอริงอธิบาย “ยกตัวอย่างเช่น เรย์เป็นคนที่เป็นกลางมากๆ เขาก็เลยมักจะสวมเสื้อผ้าสีเทาและดำ เขาไม่ได้พยายามจะทำตัวโดดเด่น เขาก็แค่อยากจะทำงานของตัวเองและเป็นตัวของตัวเอง ในทางกลับกัน เจมีเป็นเหมือนนกยูง ดังนั้น สีสันของเขาก็จะจัดจ้านกว่าค่ะ”

“มาร์โลจะสวมเสื้อผ้าสีสันแบบอัญมณี เสื้อผ้าเธอจะเนี้ยบและตัดเย็บอย่างดี เสื้อผ้าและตัวละครของเธอจะบ่งบอกถึงความร่ำรวยอย่างแท้จริงค่ะ” เกอริงกล่าวต่อ “สำหรับโซเฟีย ผู้มีความไร้เดียงสาและเปิดกว้าง เราตัดสินใจว่าเสื้อผ้าของเธอน่าจะสว่างขึ้นอีกนิด ทำให้เธอดูอายุน้อยกว่าความเป็นจริง เธอก็เลยจะสวมเสื้อผ้าที่มีความสนุกสนานและสีสันมากขึ้นอีกนิดค่ะ”

ตัวละครของเอลเลน เพจเป็นโอกาสให้นักออกแบบผู้นี้ได้ลองในสิ่งที่แตกต่างออกไป “สำหรับฉัน คอร์ทนีย์เป็นตัวละครที่สนุกมากเพราะเธอเป็นวิธีที่ฉันจะได้สำรวจความเซ็กซีและความเข้มแข็งในแบบที่ฉันไม่ค่อยจะได้ทำกับนักแสดงหญิงซักเท่าไหร่” เกอริงกล่าว “คอร์ทนีย์ทำให้ฉันนึกถึงผู้หญิงยุคเจ็ดศูนย์ที่เป็นไอคอน อย่างชาร์ล็อตต์ แรมพลิงหรือเฟย์ ดันอะเวย์ ความรู้สึกแบบนั้นน่ะค่ะ เธอเป็นมืออาชีพและจริงจังมากๆ แต่เธอก็ตระหนักดีว่าเธอเป็นคนสวยและรู้ว่าจะใช้ประโยชน์จากเรื่องนั้นเมื่อไหร่ ซึ่งฉันคิดว่ามันปรากฏให้เห็นในความแข็งแกร่งและพลังของเสื้อผ้าของเธอค่ะ”

ประวัติทีมนักแสดง

เอลเลน เพจ (คอร์ทนีย์) นักแสดงหญิงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและผู้อำนวยการสร้าง ได้นำการผสมผสานความแข็งแกร่งและความเปราะบางที่หาได้ยากใส่ลงไปในบทบาทหลากหลายทั้งหน้ากล้องและเบื้องหลังกล้อง

เพจได้สร้างอำนวยการสร้างและนำแสดงในซีรีส์สารคดีแปลกใหม่ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลเอ็มมี “Gaycation” ซีรีส์นี้ที่ควบคุมงานสร้างโดยสไปค์โจนซ์และเชนสมิธสำหรับไวซ์แลนด์กำลังอยู่ระหว่างซีซันที่สองและติดตามเรื่องราวของเพจและเพื่อนซี้ของเธอเอียนแดเนียลไปทั่วโลกเพื่อสำรวจวัฒนธรรมกลุ่มคนรักร่วมเพศซีซันที่สองได้นำเสนอเรื่องราวส่วนตัวและมุมมองที่แตกต่างกันสุดขั้วทั้งเรื่องโศกนาฏกรรมในออร์แลนโด้, นักเคลื่อนไหวในยูเครนที่ต่อสู้เพื่อที่จะได้รับการยอมรับและความเท่าเทียม, อินเดียที่กำลังพัฒนาปะทะกับธรรมเนียมที่ฝังรากลึก, การดิ้นรนที่มักถูกซ่อนเร้นในฝรั่งเศส, ภัยที่คนท้องถิ่นจะต้องพบเจอในดินแดนทางใต้และความขัดแย้งทางศีลธรรมในวอชิงตัน, ดี.ซี. ระหว่างพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี

เพจได้ร่วมมือกับเพื่อนร่วมแสดงของเธอเคทมาราในการพัฒนาและอำนวยการสร้างดรามาอินดีเรื่อง My Days of Mercy ที่เขียนบทโดยโจบาร์ตันและกำกับโดยทาลีชาลอม-เอเซอร์ (Princess) โดย My Days of Mercy เล่าเรื่องของลูกสาวของนักโทษประหารชายผู้ตกหลุมรักหญิงสาวที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับมุมมองทางการเมืองของครอบครัวเธอภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวในวันที่ 15 กันยายนในงานเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโตนอกจากนี้เธอยังได้แสดงในดรามาวิสัยทัศน์ไกลโดยมือเขียนบท/ผู้กำกับเดวิดเฟรย์นเรื่อง The Cured ประกบแซมคีลลีย์ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโตในวันที่ 10 กันยายนอีกด้วย The Cured เล่าเรื่องราวของยุโรปหลังยุคซอมบี้ที่รอดพ้นจากโรคระบาดหกปีที่เปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดระหว่างที่มนุษยชาติดิ้นรนที่จะฟื้นฟูตัวเองหลังจากค้นพบหนทางรักษาภาพยนตร์เรื่องนี้ก็นำเสนอมุมมองใหม่ต่อแนวนี้และบทบาทของสังคมในโลกหลังหายนะล่าสุดเธอได้พากย์เสียงในภาพยนตร์อนิเมชันที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ดโดยคล็อดบาร์รัสเรื่อง My Life as a Zucchini

ในปี 2015 เพจได้อำนวยการสร้างและนำแสดงในภาพยนตร์โดยปีเตอร์ซอลเล็ตต์เรื่อง  Freeheld ประกบจูลีแอนน์มัวร์, ไมเคิลแชนนอนและสตีฟคาเรลภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เขียนบทโดยรอนนิสเวนเนอร์สร้างจากการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมกันที่โด่งดังในนิวเจอร์ซีย์นอกจากนี้เธอยังได้พัฒนาและอำนวยการสร้างดรามาหลังหายนะโลกโดยแพทริเซียโรเซมาเรื่อง Into the Forest ที่สร้างจากนิยายโดยจีนเฮ็กแลนด์ประกบอีวานราเชล-วู้ด  เพจได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากการแสดงนำในบททัลลูลาห์ประกบอัลลิสันแจนนีย์ในผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของมือเขียนบท/ผู้กำกับเซียนเฮเดอร์ (“Orange is the New Black”)ในปี 2013 เธอได้แสดงประกบวิลเลมเดโฟในวิดีโอเกมแอ็กชันผจญภัยดรามาอินเตอร์แอ็กทีฟ “Beyond: Two Souls” สำหรับเครื่องเพลย์สเตชัน 3 ของโซนีที่เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ไทรเบกา

การแสดงแจ้งเกิดของเธอในบทเด็กสาวตั้งท้องในคอเมดียอดนิยมโดยเจสันไรท์แมนเรื่อง Juno ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ด, บาฟตา, ลูกโลกทองคำและแซ็กอวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมและได้รับรางวัลอินดีเพนเดนท์สปิริตอวอร์ด, เอ็มทีวีมูฟวีอวอร์ดและทีนชอยส์อวอร์ดจากการแสดงที่ลืมไม่ลงของเธอภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ไปกว่า 230 ล้านเหรียญทั่วโลกผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆของเธอรวมถึงภาพยนตร์โดยคริสโตเฟอร์โนแลนเรื่อง Inception, ภาพยนตร์โดยวู้ดดี้อัลเลนเรื่อง To Rome with Love, ภาพยนตร์โดยลินน์เชลตันเรื่อง Touchy Feely, ภาพยนตร์โดยดรูว์แบร์รีมอร์เรื่อง Whip It, ภาพยนตร์โดยแซลแบทแมนกลิจเรื่อง The East, ภาพยนตร์โดยไบรอันซิงเกอร์เรื่อง X-Men: Days of Future Past ที่เธอกลับมารับบทคิตตี้ไพรด์จากภาคก่อนอีกครั้ง, ภาพยนตร์โดยเบรทแรทเนอร์เรื่อง  X-Men: The Last Stand, ภาพยนตร์โดยเดวิดแลนเดอร์เรื่อง Peacock, ภาพยนตร์โดยบรูซแม็คโดนัลด์เรื่อง The Tracey Fragments, ภาพยนตร์โดยทอมมีโอ’ เฮเวอร์เรื่อง An American Crime, ภาพยนตร์โดยคารีสค็อกแลนด์เรื่อง The Stone Angel, ภาพยนตร์โดยอลิสันเมอร์เรย์เรื่อง Mouth to Mouth, ภาพยนตร์โดยแดเนียลแม็คอิวอร์เรื่อง Wilby Wonderful, ภาพยนตร์โดยโนมเมอร์โรเรื่อง Smart People และภาพยนตร์โดยเดวิดสเลดเรื่อง Hard Candy

ในปี 2014 เพจได้เปิดเผยเรื่องที่ตัวเองเป็นคนรักร่วมเพศด้วยสุนทรพจน์ส่วนตัวที่น่าประทับใจที่ “Time to Thrive” งานประชุมเอชซีอาร์ที่ประชาสัมพันธ์เรื่องสวัสดิการของเยาวชนที่เป็นกลุ่มคนรักร่วมเพศสุนทรพจน์ดังกล่าวเข้าถึงผู้คนนับล้านๆทั่วโลกระหว่างที่เธอเล่าอย่างคล่องแคล่วว่าเธออยู่ตรงนั้นเพราะเธอหวังที่จะ “สร้างความแตกต่างและช่วยเหลือคนอื่นให้มีช่วงเวลาที่ง่ายดายและมีความหวังมากขึ้น” และรู้สึกถึง “ความรับผิดชอบส่วนตัวและความรับผิดชอบต่อสังคม” นับตั้งแต่นั้นมาเพจก็ได้รับการสนับสนุนและเสียงชื่นชมจากเพื่อนๆและแฟนๆของเธอจากความกล้าหาญและความซื่อสัตย์ของเธอ

 

ดิเอโก้ ลูนา (เรย์) เป็นที่รู้จักของผู้ชมทั่วโลกด้วยการแสดงนำของเขาในภาพยนตร์รางวัลเรื่อง Y Tu Mama Tambien ประกบเกล การ์เซีย เบอร์นัล สำหรับผู้กำกับอัลฟองโซ คัวรอน เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งได้แสดงในภาพยนตร์ฮิตในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง Rogue One: A Star Wars Story ประกบเฟลิซิตี้ โจนส์และเบน เมนเดลซอห์น

หลังจากเริ่มต้นอาชีพนักแสดงบนเวทีละครตอนอายุเจ็ดขวบและเปิดตัวในจอแก้วตอนอายุสิบสองขวบในซีรีส์ “El Abuelo Y Yo” เขาก็ได้แสดงละครเวทีหลายเรื่องเช่น De Pelicula, La Tarea (จากภาพยนตร์ชื่อเดียวกันของเจมส์เฮิร์นเบอร์โต้), Comedia Clandtina และ El Cantaro Roto ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลมัสคูลินรีวีเลชันอวอร์ดปี 1996-1997 จากสมาพันธ์นักวิจารณ์ละครเวทีภายใต้การกำกับของแอนโทนิโอเซอร์ราโน (“Sexo, Pudor y Lagrimas”) เขาได้แสดงละครโดยซาบินาเบอร์แมนเรื่อง Moliere เขาได้อำนวยการสร้าง The Complete Works of William Shakespeare ในเม็กซิโกซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลนักแสดงตลกยอดเยี่ยมปี 2001-2002 จากสมาพันธ์นักวิจารณ์ละครเวทีนอกจากนี้เขายังประสบความสำเร็จบนเวทีละครในฐานะนักแสดงและผู้อำนวยการสร้างละครเวทีโดยจอห์นมัลโควิชเรื่อง The Good Canary อีกด้วย

Cesar Chavez ผลงานการกำกับภาพยนตร์ภาษาอังกฤษเรื่องแรกของดิเอโก้ ลูนา เข้าฉายในอเมริกาในปี 2014 ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยไมเคิล เพนยา, อเมริกา เฟอร์เรรา, โรซาริโอ ดอว์สันและจอห์น มัลโควิช ผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของเขา Mr. Pig เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2016 และนำแสดงโดยแดนนี โกลเวอร์และมายา รูดอล์ฟ ภาพยนตร์เหล่านี้อำนวยการสร้างโดย คานานา บริษัทโปรดักชันที่ลูนาได้ก่อตั้งร่วมกับหุ้นส่วนของเขา เกล การ์เซีย เบอร์นัลและพาโบล ครูซในปี 2005 บริษัทแห่งนี้ได้วางเป้าหมายให้กับตัวเองการเป็นผู้อำนวยการสร้างจอแก้วและจอเงินระดับแนวหน้าในลาติน อเมริกาและขยายกิจการไปสู่อเมริกา โดยขยายเป้าหมายและวิสัยทัศน์ของพวกเขาเพื่อสร้างคอนเทนท์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของลาติน อเมริกา ที่มีเสน่ห์ระดับโลก คานานาได้เปิดประตูโอกาสให้กับผู้มีพรสวรรค์ใหม่ๆ ทั้งนักแสดง มือเขียนบทและผู้กำกับที่จับใจผู้ชมทั่วโลกด้วยภาพยนตร์ที่นำเสนอมุมมองแปลกใหม่เกี่ยวกับลาติน อเมริกา นอกจากนั้น ลูนายังเป็นเจ้าของร่วมของบริษัทคอนเทนท์ กลอเรีย ที่ตั้งอยู่ในลอสแองเจลิสอีกด้วย

ลูนาได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Well และ Paraiso ในเม็กซิโก ก่อนหน้านี้  เขาได้กำกับ เขียนบทและอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Abel เรื่องราวอบอุ่นหัวใจเกี่ยวกับเด็กหนุ่มพิลึกผู้กลับมาบ้านเพื่อรับบทแฟมิลีแมน แต่ไม่นานนักก็เรียนรู้ว่ากากระทำของเขาเริ่มจะส่งผลกระทบในแง่บวกต่อครอบครัวและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของพวกเขา นอกเหนือจากนั้น ลูนายังได้กำกับหนึ่งในสิบภาพยนตร์สั้นที่ประกอบกันเป็นภาพยนตร์แอนโธโลจี้เรื่อง Revolución ในปี 2007 ลูนาได้กำกับสารคดีเรื่อง J.C. Chavez ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ไทรเบกา  ภาพยนตร์เรื่องนี้สำรวจชีวิตของนักมวยในตำนาน ฮูลิโอ ซีซาร์ ชาเวซ ผู้ซึ่งการพลิกชีวิตของเขาจากต้นกำเนิดต้อยต่ำไปสู่การต่อสู้เพื่อป้องกันเข็มขัดแชมป์ 37 ครั้งสะท้อนถึงการต่อสู้ของคนในประเทศเขาและทำให้เขาเอาชนะใจของคนทั่วโลกได้

เมื่อเร็วๆนี้เขาได้แสดงประกบเมลกิ๊บสันและวิลเลียมเอช. เมซีใน Blood Father และได้แสดงใน Casanova โดยอเมซอนผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆก่อนหน้านี้ของเขารวมถึงภาพยนตร์อนิเมชันเรื่อง  The Book of Life ร่วมกับแชนนิงทาทัมและโซอี้ซัลดานา, Elysium ประกบแมทท์เดมอน, ภาพยนตร์รางวัลเรื่อง Milk ประกบฌอนเพนน์สำหรับผู้กำกับกัสแวนแซงต์, Contraband  ประกบมาร์ควอห์ลเบิร์ก, Casa de mi Padre ประกบวิลเฟอร์เรล, ภาพยนตร์โดยคาร์ลอสคัวรอนเรื่อง Rudo y Cursi, ภาพยนตร์โดยฮาร์โมนีคอรินเรื่อง Mister Lonely, Before Night Falls สำหรับผู้กำกับจูเลียนชนาเบล, ภาพยนตร์โดยหลุยส์เอสทราดาเรื่อง Ambar, ภาพยนตร์โดยเออร์วินนิวไมเออร์เรื่อง Un Hilito De Sangre, ภาพยนตร์โดยกาเบรียลเรเทสเรื่อง Un Dulce Olor A Meute, ภาพยนตร์โดยมาริสาซิสแทชเรื่อง El Cometa, ภาพยนตร์โดยเฟอร์นันโดซินานาเรื่อง Todo El Poder, Criminal สำหรับเซ็คชันเอทโปรดักชันส์บริษัทของสตีเฟนโซเดอร์เบิร์กห์และจอร์จคลูนีย์, The Terminal สำหรับผู้กำกับสตีเวนสปีลเบิร์ก, Solo Dios Sabe (What God Knows), Dirty Dancing: Havana Nights, Open Range ประกบผู้กำกับและนักแสดงเควินคอสท์เนอร์, Frida ประกบซัลมาฮาเย็คสำหรับผู้กำกับจูลีเทย์เมอร์,  Carambola, Fidel (สำหรับโชว์ไทม์), Ciudades Oscuras และ Soldados de Salamina สำหรับผู้กำกับเดวิดทรูบานอกเหนือจากนั้นลูนายังได้แสดงในภาพยนตร์ขนาดสั้นหลายเรื่องที่สร้างโดยนักศึกษาที่ซียูอีซีและซีซีซีรวมถึงภาพยนตร์ขนาดสั้นโดยฮาเวีย์บูร์เกสเรื่อง  “El Ultimo Fin Del Ano” ที่ได้รับรางวัลออสการ์ด้วย

ลูนาอาศัยอยู่ในเม็กซิโก

นีนา โดเบรฟ (มาร์โล) ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะหนึ่งในนางเอกที่มาแรงที่สุดในฮอลลีวูด ด้วยการรวมผลงานจอแก้วและจอเงินที่หลากหลายและน่าจดจำมากมาย

หลังจากนี้เธอจะได้แสดงในคอเมดีเรื่อง Crash Pad ประกบคริสตินาแอปเปิลเกทและดอมห์นัลล์กลีสัน

ล่าสุดเธอได้แสดงในภาพยนตร์แอ็กชันโดยพาราเมาท์พิคเจอร์สเรื่อง xXx: The Return of Xander Cage ประกบวินดีเซลเธอจะกลับมารับบทเบ็คกี้ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอีกครั้งภาคที่สามของแฟรนไชส์นี้

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆรวมถึงภาพยนตร์โดยกราวน์สเวลโปรดักชันส์เรื่อง The Final Girls ซึ่งเข้าฉายในเดือนตุลาคมปี 2015 และเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เซาธ์บายเซาธ์เวสต์ปี 2015 นอกจากนี้เธอยังได้แสดงประกบเจค  จอห์นสันและเดมอนวายันส์จูเนียร์ในคอเมดีโดยทเวนตี้เซ็นจูรีฟ็อกซ์เรื่อง Let’s Be Cops ซึ่งเปิดตัวที่อันดับหนึ่งในเดือนสิงหาคมปี 2014 ด้วยก่อนหน้านี้เธอได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์โดยซัมมิทเอนเตอร์เทนเมนต์เรื่อง Perks of a Wallflower ที่เขียนบทและกำกับโดยสตีเฟนชบอสกี้

ผลงานภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ของเธอรวมถึงภาพยนตร์โดยสกรีนเจมส์เรื่อง The Roommate ประกบลีห์ตันมีสเตอร์และมินก้าเคลลี, ภาพยนตร์โดยมอนเทซิโต้พิคเจอร์สเรื่อง Chloe ประกบจูลีแอนน์มัวร์, อแมนดาไซย์ฟรี้ดและเลียมนีสัน, Arena ประกบเคลลันลูทซ์และซามวลแอล. แจ็คสัน, Fugitive Pieces ประกบอาเยเล็ทซูเรอร์และโรซามุนด์ไพค์, Away from Her ประกบจูลีคริสตี้และ The Poet

ตลอดหกซีซันโดเบรฟได้แสดงเป็นด็อปเปิลแกนเกอร์ขวัญใจแฟนๆเอเลนากิลเบิร์ตและแคทเธอรีนเพียร์ซในดรามาซีดับบลิวที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง “The Vampire Diaries” จากผู้สร้างเควินวิลเลียมสันและจูลีเพล็คผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆของเธอรวมถึงการแสดงนำใน “Degrassi: The Next Generation” และซีรีส์เอ็มทีวีเรื่อง “The American Mall” รวมถึงการรับบทรับเชิญใน “Eleventh Hour” นอกจากนั้นเธอยังได้แสดงในภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่อง “Never Cry Werewolf” และ “Too Young to Marry” อีกด้วย

โดเบรฟเกิดในประเทศบัลกาเรียเธอย้ายไปแคนาดาเมื่ออายุได้สองขวบและปัจจุบันเธอก็อาศัยอยู่ในลอสแองเจลิส

หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เจมส์ นอร์ตัน (เจมี) ก็ไปศึกษาต่อที่ราดาทันที เขาเป็นดาวรุ่งในแวดวงการแสดงอังกฤษ ซึ่งได้รับการยืนยันเมื่อเขาได้รับเลือกจากสกรีน อินเตอร์เนชันแนลให้เป็นหนึ่งในสตาร์ ออฟ ทูมอร์โรว์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของพวกเขา

ล่าสุดเขาได้แสดงบทสมทบใน Hampstead เรื่องราวนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของแม่ม่ายชาวอเมริกันผู้ข้องเกี่ยวกับชายไร้ระเบียบคนหนึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยไดแอนคีย์ตันและเบรนแดนกลีสัน

เมื่อเร็วๆนี้นอร์ตันเพิ่งเสร็จสิ้นจากการแสดงดรามาอาชญากรรมทางเอเอ็มซี/บีบีซีเรื่อง “McMafia” ซึ่งมีกำหนดเข้าฉายในปี 2018 ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เขียนบทโดยฮอสเซนอามินีและกำกับโดยเจมส์วัทคินส์เล่าเรื่องราวของอเล็กซ์ก็อดแมนลูกชายที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบชาวอังกฤษของผู้ถูกเนรเทศชาวรัสเซียที่มีความหลังแบบมาเฟียผู้ใช้ชีวิตทั้งชีวิตในการหลบหนีจากเงามืดของอดีตอาชญากรรมนั้นเพื่อสร้างธุรกิจถูกกฎหมายและสร้างชีวิตกับรีเบ็กก้าแฟนสาวของเขา

สำหรับซีซันที่สามและรายการพิเศษช่วงคริสต์มาสนอร์ตันได้กลับมารับบทซิดนีย์เชมเบอร์สอีกครั้งใน “Grantchester” ที่สร้างจากนิยายโดยเจมส์รันชีเรื่องSidney Chambers and the Shadow of Deathซีรีส์นี้เล่าเรื่องราวของพระผู้ผันตัวไปเป็นนักสืบซิดนีย์เชมเบอร์สชายผู้รักในผู้หญิงเพลงแจ๊สและเบียร์อุ่นๆ

ในปี 2016 นอร์ตันได้หวนคืนสู่เวทีละครอีกครั้งในละครเวทีโดยเทรซีเล็ทส์เรื่อง“Bug”ที่ฟาวน์ 111 นอร์ตันรับบทนำประกบเคทฟลีทวู้ดละครเวทีเรื่องนี้มีชื่อเสียงโด่งดังและมีการเพิ่มรอบการแสดงนอกจากนั้นเขายังได้แสดงในซีซันที่สองที่หลายคนรอคอยของซีรีส์โดยแซลลีเวนไรท์เรื่อง“Happy Valley” ที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาทีวีและได้รับความสนใจจากทั้งนักวิจารณ์และผู้ชมทั่วประเทศในทริลเลอร์อาชญากรรมน่าติดตามสำหรับบีบีซีเรื่องนี้นอร์ตันได้กลับมารับบททอมมีประกบซาราห์แลนคาเชียร์อีกครั้ง

ในเดือนมกราคมปี 2016 นอร์ตันรับบทเจ้าชายอังเดรบอลคอนสกี้ประกบลิลลีเจมส์และพอลดาโนในมินิซีรีส์ชื่อดังทางบีบีซีเรื่อง“War and Peace” ซีรีส์นี้ที่กำกับโดยทอมฮาร์เปอร์ร่วมแสดงโดยกิลเลียนแอนเดอร์สัน, จิมบรอดเบนท์และสตีเฟนเรียซีรีส์นี้อำนวยการสร้างโดยเดอะไวน์สไตน์คัมปะนีและแพร่ภาพทางบีบีซีและเอพลัสอีนอกจากนี้เขายังได้แสดงในซีซันใหม่ของ“Black Mirror” ด้วยเขาได้แสดงประกบไบรซ์ดัลลัสโฮเวิร์ดใน“Nosedive” หนึ่งในหกเอพิโซดใหม่ของซีรีส์แอนโธโลจี้เกี่ยวกับโรคกลัวเทคโนโลยี

ในปี 2015 นอร์ตันได้แสดงในซีรีส์บีบีซีที่ดัดแปลงจากนิยายเรื่อง“Lady Chatterley’s Lover” ซึ่งเขาแสดงประกบริชาร์ดแมดเดนและฮอลิเดย์เกรนเจอร์ในบทเซอร์คลิฟฟอร์ดแชทเทอร์ลีย์ก่อนหน้านั้นเขาก็ได้แสดงในซีรีส์บีบีซีเรื่อง“Life in Squares” ซีรีส์สามตอนเกี่ยวกับบลูมส์เบรีกรุ๊ปเล่าเรื่องความสัมพันธ์ที่สนิทสนมแน่นแฟ้นของสองพี่น้องวาเนสซาเบลและเวอร์จิเนียวูลฟ์ที่ต้องเจอกับเรื่องราวทางเพศที่ซับซ้อนกับศิลปินเกย์ดันแคนแกรนท์ซีรีส์นี้เขียนบทโดยอแมนดาโคและกำกับโดยไซมอนคาจิเซอร์

ในปี 2014 เขาได้แสดงในภาพยนตร์โดยไมค์ลีห์เรื่องMr. Turnerซึ่งเล่าถึงชีวิตของศิลปินอังกฤษชื่อดังเจ.เอ็ม. ดับบลิวเทิร์นเนอร์ (รับบทโดยทิโมธีสปอล) และNorthmen: A Viking Saga

ในเดือนธันวาคมปี 2013 นอร์ตันได้แสดงในDeath Comes to Pemberleyที่ดัดแปลงจากนิยายโดยพี.ดี. เจมส์นอร์ตันรับบทนำเฮนรีอัลเวสตันประกบทีมนักแสดงระดับแนวหน้าที่รวมถึงแมทธิริส, แมทธิวกู๊ด, แอนนาแม็กซ์เวล-มาร์ตินและเจนนาโคลแมน

ปี 2013 ก็เป็นปีที่งานชุมสำหรับนอร์ตันเช่นกันนอกเหนือจากผลงานซีรีส์หลายเรื่องแล้ว(“Dr. Who,” “Blandings,” “By Any Means,” “Our Story”)นอร์ตันยังได้รับบทเล็กๆในภาพยนตร์โดยรอนโฮเวิร์ดเรื่องRush อีกด้วยภาพยนตร์ที่ได้รับการจับตามองอย่างสูงเรื่องนี้เปิดตัในโตรอนโตพร้อมกับBelle ผลงานอีกเรื่องของนอร์ตันซึ่งเข้าฉายในอังกฤษในเดือนมิถุนายนปีเดียวกันภาพยนตร์เรื่องนี้ภายใต้การกำกับของแอมมาอาแซนเต้เจ้าของรางวัลบาฟตาอวอร์ดและอำนวยการสร้างโดยเดเมียนโจนส์ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของดิโด้อลิซาเบธเบลล์เด็กสาวลูกผสมที่เติบโตมาในตระกูลขุนนางในอังกฤษช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ทีมนักแสดงของเรื่องรวมถึงกูกูมบาธา-รอว์, ทอมวิลคินสันและเอมิลีวัตสัน

ในปี 2012 นอร์ตันได้แสดงในซีรีส์บีบีซีเรื่อง “Restless” (ประกบเฮย์เลย์แอทเวลและรูฟัสซีเวล) และ “Inspector George Gently” (ประกบมาร์ตินชอว์และลีอิงเกิลบี้) นอกจากนี้เขายังได้รับบทนำโอเวนในซีรีส์โดยโดนัลด์ไรซ์เรื่อง “Cheerful Weather for the Wedding” ประกบทีมนักแสดงชั้นแนวหน้ารวมถึงแม็คเคนซีย์ครุ้ก, อลิซาเบธแม็คโกเวิร์นและเฟลิซิตี้โจนส์การแสดงอาชีพครั้งแรกของเขาคือการแสดงประกบแครีย์มุลลิแกนในภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงโดยโลนเชอร์ฟิกเรื่อง An Education

นอกจากนั้นเขายังมีผลงานยอดเยี่ยมบนเวทีละครอีกด้วยการแสดงครั้งแรกหลังจบโรงเรียนการละคร (ซึ่งเขาออกจากราดาก่อนกำหนด) คือละครเวทีที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมโดยลอราเว้ดเรื่อง “Posh” ที่รอยัลคอร์ทเธียเตอร์หลังจากนั้นเขาก็ได้แสดงประกบฟรานซิสบาร์เบอร์ใน “That Face” ที่เชฟฟิลด์ครูซิเบิลภายใต้การกำกับของริชาร์ดวิลสันผลงานเปิดตัวบนเวทีเวสต์เอนด์ของนอร์ตันคือการแสดงนำในบท ‘สแตนโฮป’ ในละครเวทีเรื่อง “Journey’s End” โปรดักชันอลังการของเดวิดกรินด์ลีย์ซึ่งทำให้เขาได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมมากมายล่าสุดเขาได้รับบทเจฟฟรีย์ในละครเวทีเรื่อง “The Lion in Winter” โปรดักชันของเทรเวอร์นันน์ที่เธียเตอร์รอยัลเฮย์มาร์เก็ตประกบโจแอนนาลัมลีย์และโรเบิร์ตลินด์เซย์

นักแสดงหญิงและนักดนตรีเคียร์ซีย์ เคลมอนส์ (โซเฟีย) หนึ่งในนักแสดงที่ได้รับความเคารพสูงสุดในรุ่นของเธอ กลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วจากบทบาทที่มีเสน่ห์และหลากหลายบนจอเงินของเธอ นักแสดงหญิงผู้เป็นที่ต้องการตัวสูงผู้นี้มีผลงานภาพยนตร์ห้าเรื่องที่เข้าฉายในช่วงปี 2017/2018 เมื่อเร็วๆ นี้ เธอเพิ่งตกเป็นข่าวดังเมื่อเธอได้รับบทนางเอกที่เป็นที่หมายปองประกบเอซรา มิลเลอร์ในภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง The Flash ในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว เธอจะรับบท ไอริส เวสต์ นักข่าวผู้แข็งแกร่ง เพื่อเป็นการสนับสนุนแฟรนไชส์ดังกล่าว ตัวละครของเธอจะได้ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ที่หลายคนรอคอยเรื่อง  Justice League ประกบเบน เอฟเฟล็ค, เฮนรี คาวิลและเอมี อดัมส์ Justice League จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศในวันที่ 17 พฤศจิกายน ปี 2017

ในช่วงต้นปีนี้เคลมอนส์ได้แสดงประกบเจฟฟ์บริดเจสและเคทเบคคินเซลในภาพยนตร์โดยอเมซอนเรื่อง The Only Boy Living in New York สำหรับผู้กำกับมาร์คเว็บบ์

นอกจากนี้ 2018 ยังมีแนวโน้มว่าจะเป็นปีทองสำหรับเคลมอนส์อีกด้วยเธอเป็นนักแสดงนำของภาพยนตร์ทริลเลอร์บลูมเฮาส์โดยเจ.ดีดิลเลอร์เรื่อง Sweetheart นอกจากนี้เคลมอนส์ยังได้กลับมาร่วมงานกับทีมงานเบื้องหลัง Sleight ภาพยนตร์ขวัญใจงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ด้วยการรับบทนางเอกใน Hearts Beat Loud เรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าของร้านแผ่นเสียงในบรู๊คลินผู้ดิ้นรนที่จะยอมรับความเปลี่ยนแปลงเมื่อเขาถูกบีบให้ต้องปล่อยวางจากร้านและลูกสาวของเขา (เคลมอนส์) ระหว่างซัมเมอร์สุดท้ายก่อนที่เธอจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย

เคลมอนส์ได้ไต่เต้าขึ้นมาเรื่อยๆในกลุ่มนางเอกสาวหลังจากการแสดงแจ้งเกิดของเธอในภาพยนตร์ยอดนิยมในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์เรื่อง Dope ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลในงานเทศกาลภาพยนตร์ต่างๆรวมถึงเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์และทศกาลภาพยนตร์โดวิลล์อเมริกันในปี 2016 Dope ได้รับการเสนอชื่อชิงสามรางวัลเอ็นเอเอซีพีอิเมจอวอร์ดรวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและกำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมหลังจากนั้นเธอก็ได้แสดงประกบเซธโรแกน, แซ็คเอฟรอน, โรสไบรน์และโคลอี้มอเรทซ์ในภาพยนตร์เรื่อง Neighbors 2: Sorority Rising

นอกเหนือจากงานภาพยนตร์แล้วเธอยังสร้างชื่อเสียงในแวดวงจอแก้วหลังจากที่เธอได้รับบทประจำเป็นเบียงก้าในซีรีส์อเมซอนที่ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลเอ็มมีอวอร์ดเรื่อง “Transparent” นอกเหนือจากนั้นซีรีส์นี้ยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลพีเพิลส์ชอยส์อวอร์ดและแซ็กอวอร์ดสาขาซีรีส์สตรีมมิงยอดนิยมและทีมนักแสดงยอดเยี่ยมในซีรีส์คอเมดีตามลำดับผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆรวมถึงซีรีส์โดยสตีเวนสปีลเบิร์กเรื่อง  “Extant” ประกบฮัลลีเบอร์รีและซีรีส์ฟ็อกซ์เรื่อง “New Girl” นอกจากนี้เคลมอนส์ยังได้แสดงในซีรีส์ออริจินอลทางเน็ตฟลิกซ์เรื่อง “Easy” แอนโธโลจี้ที่มองเซ็กส์ในแง่บวกและสะท้อนเรื่องความสัมพันธ์สมัยใหม่อย่างสมจริงเคลมอนส์ได้แสดงอย่างสมจริงและน่าติดตามในเอพิโซดที่สองในชื่อ “Vegan Cinderella” ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแกลดอวอร์ดปี 2017

เคลมอนส์ได้ศึกษาด้านการแสดงที่คณะเดอะกราวน์ลิงส์ที่โด่งดังในลอสแองเจลิสซึ่งช่วยปูพื้นฐานในการแสดงคอเมดีของเธอ

นอกเหนือจากการแสดงแล้วเธอยังเป็นนักดนตรีมากพรสวรรค์ที่ผ่านการฝึกฝนมาอีกด้วยเธอได้ร่วมมือกับผู้อำนวยการสร้าง/ศิลปินรางวัลแกรมมีอวอร์ดฟาร์เรลวิลเลียมส์ในแทร็คต่างๆและเสียงของเธอยังได้ปรากฏอยู่ในโปรเจ็กต์ต่างๆรวมถึงภาพยนตร์เรื่อง Dope และซีรีส์ “Transparent” ด้วยปัจจุบันเธออยู่ระหว่างการทำงานในอัลบัมอีพีชุดแรกของเธอในเดือนกันยายนปี 2015 เธอได้แสดงในมิวสิควิดีโอเพลง   “Til it Happens to You” ซึ่งเป็นมิวสิควิดีโอที่ทรงพลังที่สุดของเลดี้กาก้าจนถึงปัจจุบันภายใต้การกำกับของแคทเธอรีนฮาร์ดวิคเพลงที่ได้รับรางวัลเอ็มมีเพลงนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อ “The Hunting Ground” สารคดีปี 2015 เกี่ยวกับเหตุการข่มขืนในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นพิเศษ

ในเดือนตุลาคมปีนี้ความรักที่เคลมอนส์มีต่อแฟชันและความคิดอ่านด้านธุรกิจที่เฉียบคมตามสัญชาตญาณของเธอจะหลอมรวมกันเมื่อเธอได้เปิดตัวเคียร์สคอลเล็กชันร่วมกับแซ็ปโป้ส์แซ็ปโป้ส์จะขายรองเท้าพวกนี้แบบเอ็กซ์คลูซีฟเป็นเวลา 60 วันก่อนที่คอลเล็กชันนี้จะวางจำหน่ายทั่วโลกคอลเล็กชันนี้ประกอบไปด้วยรองเท้าเก้าแบบที่ออกแบบโดยเคลมอนส์และนักออกแบบรองเท้ายอดนิยมมุสเซแอนด์คลาวด์

เคลมอนส์ยังคงสนับสนุนการกุศลที่เธอมีความรู้สึกด้วยอย่างรุนแรงเธอได้ร่วมมือกับเซียร์ราคลับเพื่อช่วยในการประชาสัมพันธ์อนุรักษ์และคุ้มครองอุทยานแห่งชาติและชายหาดของเราเอาไว้นอกจากนี้เธอยังได้ให้การสนับสนุนองค์กรสตรีต่างๆในการช่วยให้การศึกษาและเคลื่อนไหวในเรื่องประเด็นเร่งด่วนต่างๆที่ผู้หญิงและเด็กสาวทั่วโลกต้องเผชิญอีกด้วย

ประวัติทีมผู้สร้าง

นีลส์ อาร์เดน ออพเลฟ (ผู้กำกับ) เป็นผู้กำกับจอแก้วและจอเงิน ผู้ที่กำกับภาพยนตร์เรื่อง Millennium: Girl With the Dragon Tattoo ซึ่งเป็นภาพยนตร์สแกนดิเนเวียนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาลในปี 2009

เขาสำเร็จการศึกษาจากเนชันแนลฟิล์มสคูลออฟเดนมาร์คในปี 1989 และได้กำกับซีรีส์รางวัลอินเตอร์เนชันแนลเอ็มมีอวอร์ดสองเรื่อง “Ørnen” และ “Rejseholdet” รวมถึงภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอีกหลายเรื่อง Portland ภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘คลื่นลูกใหม่’ ของภาพยนตร์เดนิชในช่วงกลางยุคเก้าศูนย์และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลหมีทองคำจากงานเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลินปี 1996

ในปี 2006 เขาได้กำกับภาพยนตร์ยอดนิยมเรื่อง We Shall Overcome ซึ่งเป็นภาพยนตร์เบสต์เซลเลอร์ของเดนมาร์คปีนั้นมันได้รับรางวัลนานาชาติมากมายรวมถึงรางวัลหมีเงินจากงานเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลินหลังจากนั้นในปี 2009 เขาก็ได้กำกับภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนิยายโดยสติ๊กลาร์สันเรื่อง The Girl with the Dragon Tattoo ซึ่งทำลายสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศในสุดสัปดาห์แรกที่เปิดตัวก่อนที่จะถูกนำไปจัดจำหน่ายทั่วโลก

ออพเลฟได้ขยับไปสู่งานกำกับจอแก้วในอเมริกาโดยการเซ็นสัญญากับซีบีเอสในปี 2013 และกำกับตอนไพล็อตซีรีส์เรื่อง  “Under the Dome” ที่สร้างจากนิยายคัลท์โดยสตีเฟนคิงเขาได้กำกับ “Mr. Robot” ที่นำแสดงโดยคริสเตียนสเลเตอร์และรามีมาเล็คและเปิดตัวทางยูเอสเอเน็ตเวิร์คในเดือนมีนาคมปี 2015 นอกจากนั้นซีรีส์นี้ยังได้ฉายทางอเมซอนไพรม์ในอังกฤษในเดือนตุลาคมปี 2015 อีกด้วยนอกจากนั้นเขายังได้กำกับเอพิโซดไพล็อตของซีรีส์ “Game of Silence” และ “Midnight Texas” สำหรับเอ็นบีซีด้วย

เบน ริปลีย์ (บทภาพยนตร์) ก่อนหน้านี้ ได้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Source Code

ผลงานภาพยนตร์ของปีเตอร์ ฟิลาร์ดี้ (เรื่องราวโดย) รวมถึง The Craft และ Flatliners เขาได้ดัดแปลงนิยายของสตีเฟน คิงหลายเรื่องสำหรับจอแก้ว รวมถึง “Nightmares and Dreamscapes” และ “Salem’s Lot” นอกจากนั้น เขายังได้พัฒนาตอนไพล็อตสำหรับซีบีเอส, เอฟบีซี, เอบีซี, โชว์ไทม์และทีเอ็นที

ลอว์เรนซ์ มาร์ค (ผู้อำนวยการสร้าง) เป็นผู้อำนวยการสร้างรางวัลลูกโลกทองคำ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและรางวัลเอ็มมี เจ้าของผลงานภาพยนตร์ยอดนิยมหลายเรื่องเช่น Julie & Julia, Dreamgirls, I, Robot, As Good as it Gets และ Jerry Maguire

ในฐานะผู้อำนวยการสร้างเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมามาร์คเพิ่งเสร็จจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Greatest Showman ที่นำแสดงโดยฮิวจ์แจ็คแมน, แซ็คเอฟรอน, มิเชลล์วิลเลียมส์, เซนดายาและรีเบ็กก้าเฟอร์กูสันและกำกับโดยไมเคิลเกรซีย์เพื่อเข้าฉายในวันคริสต์มาสโดยทเวนตี้เซ็นจูรีฟ็อกซ์

ล่าสุดเขาได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Last Vegas ที่นำแสดงโดยไมเคิลดักกลาส, โรเบิร์ตเดอนีโร, มอร์แกนฟรีแมนและเควินไคลน์และกำกับโดยจอนเทอร์เทิลท็อบและก่อนหน้านั้นเขาก็ได้อำนวยการสร้างเรื่อง Julie & Julia ที่นำแสดงโดยเมอริลสตรีพและเอมีอดัมส์และเขียนบทและกำกับโดยนอราเอฟรอน

ด้านจอแก้วมาร์คทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างของ “When We Rise” ซีรีส์แปดชั่วโมงที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมที่สร้างและเขียนบทโดยดัสตินแลนซ์แบล็คและนำแสดงโดยกายเพียร์ซ, แมรี-หลุยส์ปาร์คเกอร์และราเชลกริฟฟิธส์ซีรีส์นี้ออกอากาศเมื่อช่วงต้นปีนี้ทางเอบีซี

มาร์คร่วมกับบิลคอนดอนรับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างของพิธีประกาศผลรางวัลอคาเดมีอวอร์ดครั้งที่ 81 ที่ฮิวจ์แจ็คแมนเป็นพิธีกรซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีตัวรายการเองได้รับการเสนอชื่อชิงสิบรางวัลเอ็มมีและคว้ารางวัลมาได้สี่รางวัล

ก่อนหน้านั้นมาร์คได้อำนวยการสร้างเรื่อง Dreamgirls ซึ่งได้รับสามรางวัลลูกโลกทองคำรวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมนอกจากนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับการเสนอชื่อชิงแปดรางวัลอคาเดมีอวอร์ดซึ่งเป็นจำนวนที่มากที่สุดในบรรดาภาพยนตร์เรื่องไหนๆในปีนั้นและคว้ารางวัลมาได้สองสาขารวมถึงหนึ่งรางวัลสำหรับเจนนิเฟอร์ฮัดสันในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมด้วย

ก่อนหน้านั้นเขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ดจากการอำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเรื่อง Jerry Maguire และเขาก็ได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์อีกสองเรื่องที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมได้แก่เรื่อง As Good as It Gets และ Working Girl

เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีและลูกโลกทองคำจากการทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างซีรีส์ “Political Animals” ซีรีส์จำกัดที่สร้างโดยเกร็กเบอร์ลันติและนำแสดงโดยซิเกอร์นีย์วีฟเวอร์ซีรีส์นี้ออกอากาศในปี 2012 ทางยูเอสเอเน็ตเวิร์คซีรีส์นี้ได้รับการเสนอชื่อชิงสี่รางวัลเอ็มมีและได้รางวัลมาหนึ่งรางวัลสำหรับเอลเลนเบอร์สตินในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม

นอกจากนี้เขายังได้ทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างของ The Art of More ที่นำแสดงโดยเดนนิสเควด, เคทบอสเวิร์ธ, แครีเอลเวสและคริสเตียนคุ้กและแพร่ภาพสองซีซันทางแคร็กเกิลทีวีของโซนีอีกด้วย

นอกจากนี้เขายังได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง I, Robot, Romy and Michele’s High School Reunion, Last Holiday และ The Lookout ซึ่งได้รับรางวัลอินดีเพนเดนท์สปิริตอวอร์ดสาขาภาพยนตร์เรื่องแรกยอดเยี่ยมอีกด้วยนอกเหนือจากภาพยนตร์เหล่านี้เขายัไงด้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง  Finding Forrester, The Object of My Affection, Anywhere but Here, The Adventures of Huck Finn, Black Widow และ Center Stage (รวมถึงซีเควลสองภาค) อีกด้วย

ลอว์เรนซ์มาร์คโปรดักชันส์มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่โซนีพิคเจอร์สเอนเตอร์เทนเมนต์ที่ซึ่งบริษัทมีข้อตกลงด้านงานสร้างระยะยาวกับโคลัมเบียพิคเจอร์สผลงานการอำนวยการสร้างเรื่องอื่นๆของมาร์ครวมถึง How Do You Know, Riding in Cars with Boys, Sister Act 2, Bicentennial Man, True Colors, Simon Birch และ Glitter ที่ตอนนี้กลายเป็นตำนานไปแล้วและนำแสดงโดยมารายห์แครีย์

ก่อนหน้าการอำนวยการสร้างมาร์คได้ดำรงตำแหน่งสำคัญทางประชาสัมพันธ์และการตลาดหลายตำแหน่งที่พาราเมาท์พิคเจอร์สก่อนจะมาถึงจุดสูงสุดด้วยการได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานฝ่ายการตลาดฝั่งเวสต์โคสต์หลังจากนั้นเขาก็ก้าวเข้าสู่สายงานสร้างและในฐานะรองประธานฝ่ายโปรดักชันที่พาราเมาท์และรองประธานบริหารฝ่ายโปรดักชันที่ทเวนตี้เซ็นจูรีฟ็อกซ์เขาได้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการพัฒนาและงานสร้างภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น Terms of Endearment, Trading Places, Falling in Love, The Fly และ Broadcast News

ไมเคิล ดักกลาส (ผู้อำนวยการสร้าง) นักแสดงผู้มีประสบการณ์ในแวดวงละครเวที ภาพยนตร์และจอแก้วมากว่าสี่สิบปี ได้ชิมลางงานสร้างภาพยนตร์อินดีในปี 1975 ด้วยภาพยนตร์รางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง One Flew Over the Cuckoo’s Nest นับตั้งแต่นั้นมา ในฐานะผู้อำนวยการสร้างและนักแสดง/ผู้อำนวยการสร้าง เขาก็แสดงให้เห็นถึงความชำนาญที่หาตัวจับยากในการเลือกโปรเจ็กต์ที่สะท้อนถึงเทรนด์และความกังวลของสาธารณชนที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์อื้อฉาวที่ทรงอิทธิพลทางการเมืองหลายเรื่อง เช่น One Flew Over the Cuckoo’s Nest, The China Syndrome และ Traffic และภาพยนตร์ยอดนิยมอย่าง Fatal Attraction และ Romancing the Stone

ไมเคิลลูกชายของเคิร์คและไดอานาดักกลาสเกิดในรัฐนิวเจอร์ซีย์เขาเข้าศึกษาที่โรงเรียนเตรียมโค้ทสคูลและใช้เวลาช่วงฤดูร้อนกับพ่อของเขาในกองถ่ายภาพยนตร์แม้ว่าเขาจะได้รับการตอบรับให้ศึกษาที่เยลเขากลับเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในซานตาบาร์บาราแทน

หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในปี 1968 เขาก็ย้ายไปนิวยอร์กซิตี้เพื่อศึกษาด้านการละครต่อด้วยการศึกษาที่อเมริกันเพลซเธียเตอร์กับวินน์แฮนด์แมนและที่เนเบอร์ฮู้ดเพลย์เฮาส์ที่ซึ่งเขาได้ร่วมแสดงในละครเวทโดยพิแรนเดลโลเรื่อง “Six Characters in Search of an Author” และละครเวทีเรื่อง “Happy Journey” โดยธอร์นตันวิลเดอร์โปรดักชันเวิร์คช็อป

ไม่กี่เดือนหลังจากที่เขามาถึงในนิวยอร์กดักกลาสก็ได้แจ้งเกิดเป็นครั้งแรกเมื่อเขาได้รับเลือกให้แสดงบทสำคัญเป็นนักวิทยาศาสตร์รักอิสระผู้ประนีประนอมมุมมองเสรีของเขาเพื่อยอมรับงานกับบริษัทเคมีไฮเทคในโปรดักชันซีบีเอสเพลย์เฮาส์ของดรามาโดยเอลเลนเอ็ม. ไวโอเล็ตต์เรื่อง “The Experiment” ซึ่งแพร่ภาพทั่วประเทศในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ปี 1969

การแสดงที่สมจริงของเขาทำให้เขาได้รับบทนำในภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายอื้อฉาวโดยจอห์นเวสตันเรื่อง Hail, Hero! ซึ่งเป็นโปรเจ็กต์แรกๆของซีเนมาเซ็นเตอร์ฟิล์มส์บริษัทโปรดักชันภาพยนตร์ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ของซีบีเอสดักกลาสได้นำแสดงในบทหนุ่มน้อยรักความสงบผู้มีความปรารถนาดีผู้ไม่เพียงแต่มุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ความเชื่อของเขาให้พ่อแม่หัวโบราณของเขาได้เห็นแต่ยังเพื่อทดสอบความเชื่อเหล่านั้นท่ามกลางอุปสรรคในป่าของประเทศแถบอินโดจีนอีกด้วยภาพยนตร์เรื่องที่สองของเขา Adam at 6 A.M. (1970) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการค้นหารากเหง้าตัวเองของชายหนุ่มคนหนึ่งหลังจากนั้นเขาก็ได้แสดงในเวอร์ชันภาพยนตร์ของละครเวทีโดยรอนโคเวนเรื่อง Summertree (1971) ที่อำนวยการสร้างโดยบรินาคัมปะนีของเคิร์คดักกลาสตามด้วย Napoleon and Samantha (1972) เมโลดรามาสำหรับเด็กจากวอลท์ดิสนีย์สตูดิโอ

ระหว่างงานภาพยนตร์เขาได้ทำงานในละครเวทีซัมเมอร์สต็อกและออฟบรอดเวย์ซึ่งส่วนหนึ่งได้แก่ “City Scenes” ภาพสะท้อนสุดเซอร์เรียลของแฟรงค์กากลิอาโนเกี่ยวกับชีวิตร่วมสมัยในนิวยอร์ก, โรแมนซ์อายุสั้นของจอห์นแพทริคแชนลีย์เรื่อง “Love is a Time of Day” และ “Pinkville” โดยจอร์จทาโบรีซึ่งเขารับบทหนุ่มไร้เดียงสาที่ต้องทนทุกข์จากการฝึกทหารนอกจากนี้เขายังได้แสดงในทริลเลอร์ที่สร้างขึ้นเพื่อฉายทางโทรทัศน์เรื่อง “When Michael Calls” ที่แพร่ภาพทางเอบีซี-ทีวีในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ปี 1972 และในเอพิโซดของซีรีส์ยอดนิยมเรื่อง “Medical Center” และ “The FBI”

ความประทับใจที่มีต่อการแสดงของดักกลาสในเซ็กเมนต์ของ  “The FBI” ทำให้ผู้อำนวยการสร้างควินน์มาร์ตินเซ็นสัญญาให้เขามารับบทไซด์คิกของคาร์ลมัลเดนในซีรีส์ตำรวจเรื่อง “The Streets of San Francisco” ซึ่งเปิดตัวในเดือนกันยายนปี 1972 และกลายเป็นหนึ่งในซีรีส์ไพรม์ไทม์เรตติ้งสูงสุดของเอบีซีในช่วงกลางยุค 70s ดักกลาสได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีอวอร์ดสามครั้งติดจากการแสดงของเขาและเขาก็ได้กำกับสองเอพิโซดของซีรีส์นี้อีกด้วย

ในช่วงพักประจำปีระหว่างการถ่ายทำ “The Streets of San Francisco” ได้อุทิศเวลาส่วนใหญ่ของเขาไปกับบริษัทโปรดักชันภาพยนตร์ของเขาบิ๊กสติ๊คโปรดักชันส์, ลิมิเต็ดซึ่งอำนวยการสร้างภาพยนตร์ขนาดสั้นหลายเรื่องในต้นยุค 70s ด้วยความสนใจในการผลิตเวอร์ชันภาพยนตร์ของนิยายตลกร้ายของเคนเคซีย์มานานแล้วดักกลาสจึงได้ซื้อสิทธิในการสร้างภาพยนตร์จากพ่อของเขาและเริ่มมองหาผู้สนับสนุนด้านเงินทุนหลังจากสตูดิโอภาพยนตร์ใหญ่ๆหลายแห่งปฏิเสธเขาดักกลาสก็ได้ร่วมมือกับซาอุลซาเอนท์ผู้บริหารแห่งวงการเพลงและทั้งคู่ก็เริ่มต้นตามหาทีมงานและนักแสดงของเรื่องดักกลาสยังติดสัญญากับ “The Streets of San Francisco” อีกหนึ่งปีแต่ผู้อำนวยการสร้างของเรื่องก็ยินดีที่จะเขียนตัวละครของเขาให้หายไปจากเรื่องเพื่อที่เขาจะได้ทุ่มเทให้กับการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Cuckoo’s Nest

One Flew Over the Cuckoo’s Nest ที่ประสบความสำเร็จทั้งเชิงคำวิจารณ์และรายได้ ได้รับห้ารางวัลอคาเดมี อวอร์ด รวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม และกวาดรายได้กว่า 180 ล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศ ทันใดนั้นเองดักกลาสก็พบว่าตัวเองเป็นที่ต้องการในฐานะผู้อำนวยการสร้างอิสระ หนึ่งในบทภาพยนตร์ที่ส่งมาให้เขาพิจารณาคือเรื่องราวน่าขนลุกของไมค์ เกรย์เกี่ยวกับแผนการพยายามปกปิดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นที่โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ด้วยความสนใจการผสมผสานระหว่างการมีส่วนเกี่ยวข้องกับสังคมและความตื่นเต้น ดักกลาสจึงซื้อบทภาพยนตร์เรื่องนี้ทันที ด้วยความที่นักลงทุนส่วนใหญ่เห็นว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะทำเงินได้ ดักกลาสจึงได้ร่วมมือกับเจน ฟอนดาและไอพีซี ฟิล์มส์ บริษัทโปรดักชันภาพยนตร์ของเธอเอง

The China Syndrome (1979) ซึ่งเป็นผลงานร่วมสร้างระหว่างไมเคิลดักกลาสและไอพีซีฟิลมส์นำแสดงโดยแจ็คเลมมอน, เจนฟอนดาและไมเคิลดักกลาสและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ดสำหรับเลมมอนและฟอนดารวมถึงสาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วยสมาพันธ์นักวิจารณ์แห่งชาติได้ยกย่องภาพยนตร์เรื่องนี้ให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี

แม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จในฐานะผู้อำนวยการสร้างดักกลาสก็กลับมาสู่งานแสดงอีกครั้งในช่วงปลายยุค 70s ด้วยการนำแสดงในทริลเลอร์การแพทย์โดยไมเคิลไครช์ตันเรื่อง Coma (1978) ประกบเจเนเวียฟบูโจลด์, คอเมดีเฟมินิสต์โดยคลอเดียวีลล์เรื่อง It’s My Turn (1981) ที่นำแสดงโดยจิลเคลย์เบิร์กห์และเรื่องราวเกี่ยวกับการตั้งตัวเองเป็นศาลเตี้ยยุคปัจจุบันโดยปีเตอร์ไฮแอมส์เรื่อง The Star Chamber (1983) นอกจากนี้เขายังได้แสดงใน Running (1979) ในบทผู้ที่มักจะยอมแพ้บ่อยๆผู้เสียสละทุกอย่างเพื่อคว้าโอกาสสุดท้ายในการแข่งขันโอลิมปิคและรับบทแซ็คผู้กำกับ/ผู้ออกแบบท่าเคลื่อนไหวจอมบงการในเวอร์ชันภาพยนตร์ของละครมิวสิคัลบรอดเวย์ที่เปิดการแสดงนานที่สุดเรื่อง A Chorus Line (1985) โดยริชาร์ดแอทเทนโบโรห์

การทำงานของดักกลาสในฐานะนักแสดง/ผู้อำนวยการสร้างมาประสานกันอีกครั้งในปี 1984 ด้วยโรแมนติกแฟนตาซีล้อเลียนเรื่อง Romancing the Stone เขาเริ่มพัฒนาโปรเจ็กต์นี้ในหลายปีก่อนหน้านี้โดยที่แคธลีนเทิร์นเนอร์รับบทโจแอนวิลเดอร์นักเขียนเรื่องโรแมนซ์กอธิค, แดนนีเดอวีโต้รับบทตัวตลกของเรื่องราล์ฟฟีและดักกลาสรับบทแจ็คโคลตันนายทหารแสวงโชคผู้ไม่เต็มใจ Romancing ได้รับความนิยมอย่างสูงและทำรายได้ไปกว่า 100 ล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศดักกลาสได้รับรางวัลผู้อำนวยการสร้างแห่งปีในปี 1984 โดยสมาพันธ์เจ้าของโรงภาพยนตร์แห่งชาติดักกลาส, เทิร์นเนอร์และเดอวีโต้ได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งในปี 1985 ในซีเควลที่ประสบความสำเร็จเรื่อง The Jewel of the Nile

ดักกลาสใช้เวลาเกือบสองปีในการเกลี้ยกล่อมผู้บริหารของโคลัมเบียพิคเจอร์สให้ยอมรับการถ่ายทำ Starman เรื่องราวความรักที่เหลือเชื่อระหว่างมนุษย์ต่างดาวที่รับบทโดยเจฟฟ์บริดเจสและแม่ม่ายสาวที่รับบทโดยคาเรนอัลเลน Starman เป็นภาพยนตร์ฮิตม้ามืดของช่วงคริสต์มาสปี 1984 และทำให้เจฟฟ์บริดเจสได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในปี 1986 ดักกลาสได้สร้างซีรีส์โทรทัศน์ที่สร้างจากภาพยนตร์เรื่องนี้สำหรับเอบีซีซึ่งนำแสดงโดยโรเบิร์ตเฮย์ส

หลังจากพักงานแสดงไปนานเขาก็หวนคืนสู่จอเงินอีกครั้งในปี 1987 ด้วยการแสดงในภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปีนั้นสองเรื่องเขาได้แสดงประกบเกลนน์โคลสในทริลเลอร์จิตวิทยาที่ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายเรื่อง Fatal Attraction ตามด้วยการแสดงในบทนักธุรกิจผู้ไร้ปรานีกอร์ดอนเก็คโคในภาพยนตร์โดยโอลิเวอร์สโตนเรื่อง Wall Street ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลอคาเดมีอวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม

หลังจากนั้นดักกลาสก็ได้แสดงในทริลเลอร์โดยริดลีย์สก็อตเรื่อง Black Rain และได้ร่วมงานกับแคธลีนเทิร์นเนอร์และแดนนีเดอวีโต้อีกครั้งในภาพยนตร์คอเมดีตลกร้ายเรื่อง The War of the Roses ซึ่งเข้าฉายในปี 1989

ในปี 1988 เขาได้ก่อตั้งสโตนบริดจ์เอนเตอร์เทนเมนต์, อิงค์. ซึ่งอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Flatliners ที่กำกับโดยโจเอลชูมัคเกอร์และนำแสดงโดยไคเฟอร์ซุทเธอร์แลนด์, จูเลียโรเบิร์ตส์, เควินเบคอนและวิลเลียมบัลด์วินและ Radio Flyer ที่นำแสดงโดยลอร์เรนบรัคโก้และกำกับโดยริชาร์ดดอนเนอร์หลังจากนั้นเขาก็มีผลงานเป็นภาพยนตร์โดยเดวิดเซลท์เซอร์ที่ดัดแปลจากนิยายเบสต์เซลเลอร์โดยซูซานไอแซ็คเรื่อง Shining Through ประกบเมลานีย์กริฟฟิธในปี 1992 เขาแสดงประกบชารอนสโตนในอีโรติกทริลเลอร์จากพอลเวอร์โฮเวนเรื่อง Basic Instinct ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในรอบปี

ดักกลาสได้แสดงบทบาทที่ทรงพลังที่สุดครั้งหนึ่งของเขาประกบโรเบิร์ตดูวัลล์ในดรามาอื้อฉาวโดยโจเอลชูมัคเกอร์เรื่อง Falling Down ในปีนั้นเขายังได้อำนวยการสร้างคอเมดียอดนิยมเรื่อง Made in America ที่นำแสดงโดยวู้ปปี้โกลด์เบิร์ก, เท็ดแดนสันและวิลสมิธในปี 1994/95 เขาได้แสดงประกบเดมีมัวร์ในภาพยนตร์โดยแบร์รีเลวินันเรื่อง Disclosure ที่สร้างจากเบสต์เซลเลอร์โดยไมเคิลไครช์ตันในปี 1995 ดักกลาสได้แสดงนำในโรแมนติกคอเมดีโดยร็อบไรเนอร์เรื่อง The American President ประกบแอนเน็ตต์เบนนิงและในปี 1997 เขาก็ได้นำแสดงใน The Game ที่กำกับโดยเดวิดฟินเชอร์และร่วมแสดงโดยฌอนเพนน์

ดักกลาสได้ก่อตั้งดักกลาส/รอยเธอร์โปรดักชันส์ร่วมกับหุ้นส่วนสตีเวนรอยเธอร์ในเดือนพฤษภาคมปี 1994 บริษัทแห่งนี้ภายใต้แบนเนอร์ของคอนสเตลเลชันฟิล์มส์ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Ghost and the Darkness ที่นำแสดงโดยดักกลาสและวัลคิลเมอร์และภาพยนตร์โดยอห์นกริชแฮมเรื่อง The Rainmaker ที่สร้างจากนิยายเบสต์เซลเลอร์โดยจอห์นกริชแฮมภายใต้การกำกับองฟรานซิสฟอร์ดคอปโปลาและนำแสดงโดยแมทท์เดมอน, แคลร์เดนส์, แดนนีเดอวีโต้, จอนวอยท์, มิคกี้โร้ค, แมรีเคย์เพลซ, เวอร์จิเนียแมดเซน, แอนดรูว์ชู, เทเรซาไรท์, จอห์นนีวิทเวิร์ธและแรนดี้ทราวิส

ไมเคิลดักกลาสและสตีฟรอยเธอร์ได้อำนวยการสร้างแอ็กชันทริลเลอร์โดยจอห์นวูเรื่อง Face/Off ที่นำแสดงโดยจอห์นทราโวลตาและนิโคลัสเคจซึ่งกลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ยอดนิยมในปี 1997

ในปี 1998 ไมเคิลดักกลาสได้แสดงประกบกวินเนธพัลโทรว์และวิกโก้มอร์เทนเซนในทริลเลอร์ลึกลับเรื่อง A Perfect Murder และได้ก่อตั้งบริษัทโปรดักชันใหม่ขึ้นมา

2000 เป็นปีสำคัญสำหรับดักกลาส Wonder Boys เปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2000 ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ชื่นชมในภาพยนตร์เรื่องนี้ภายใต้การกำกับโดยเคอร์ติสแฮนสันและร่วมแสดงโดยโทบี้แม็กไกวร์, ฟรานซิสแม็คดอร์แมนด์, โรเบิร์ตดาวนีย์จูเนียร์และเคทีโฮล์มส์ดักกลาสได้รับบทเกรดี้ทริปป์อาจารย์มหาวิทยาลัยที่ประสบปัญหาเขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำและบาฟตาอวอร์ดจากการแสดงของเขาในเรื่องนี้

Traffic ได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในนิวยอร์กและลอสแองเจลิสโดยยูเอสเอฟิล์มส์ในวันที่ 22 ธันวาคมปี 2000 ก่อนที่จะได้เข้าฉายทั่วประเทศในเดือนมกราคมปี 2001 ดักกลาสรับบทโรเบิร์ตเวคฟิลด์เจ้าพ่อยาเสพติดคนใหม่ที่ต้องเผชิญหน้ากับสงครามยาเสพติดทั้งที่บ้านและต่างประเทศภาพยนตร์เรื่องนี้ที่กำกับโดยสตีเวนโซเดอร์เบิร์กห์และร่วมแสดงโดยดอนชีเดิล, เบนิซิโอเดลโทโร, เอมีเออร์วิง, เดนนิสเควดและแคทเธอรีนซีต้า-โจนส์ได้รับการยกย่องให้เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมโดยสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์นิวยอร์กได้รับรางวัลทีมนักแสดงยอดเยี่ยมจากเวทีแซ็กอวอวร์ดได้รับสี่รางวัลอคาเดมีอวอร์ด (บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมลำดับภาพยอดเยี่ยมผู้กำกับยอดเยี่ยมและนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมสำหรับเบนิซิโอเดลโทโร) และติดอันดับท็อปเท็นกว่า 175 ลิสต์

ในปี 2001 ดักกลาสได้อำนวยการสร้างและรับบทเล็กๆในคอเมดีสุดฮาโดยยูเอสเอฟิล์มส์เรื่อง One Night at McCool’s ที่นำแสดงโดยลีฟไทเลอร์, แมทท์ดิลลอน, จอห์นกู๊ดแมน, พอลไรเซอร์และกำกับโดยฮารัลด์ซวอร์ท McCool’s เป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของบริษัทเฟอร์เธอร์ฟิล์มส์ของดักกลาสนอกจากนั้นในปี 2001 ดักกลาสยังได้แสดงใน Don’t Say A Word สำหรับทเวนตี้เซ็นจูรีฟ็อกซ์อีกด้วยทริลเลอร์จิตวิทยาเรื่องนี้ที่กำกับโดยแกรีเฟลเดอร์ร่วมแสดงโดยฌอนบีน, ฟามเก้เจนเซนและบริทนีย์เมอร์ฟีย์

ในปี 2002 ดักกลาสได้แสดงบทรับเชิญในคอเมดียอดนิยมทางเอ็นบีซีเรื่อง “Will & Grace” และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีจากการแสดงของเขา

ดักกลาสได้แสดงภาพยนตร์สองเรื่องในปี 2003 เอ็มจีเอ็ม/บีวีไอได้จัดจำหน่ายดรามาสำหรับครอบครัวเรื่อง It Runs in the Family ซึ่งดักกลาสได้อำนวยการสร้างและนำแสดงประกบพ่อของเขาเคิร์คดักกลาส, แม่ของเขาไดอานาดักกลาสและลูกชายของเขาคาเมรอนดักกลาสรวมถึงรอรีคัลกินและเบอร์นาเด็ตต์ปีเตอร์สนอกจากนี้เขายังได้แสดงในคอเมดีโดยวอร์เนอร์บรอส. เรื่อง The-In Laws ประกบอัลเบิร์ตบรู๊คส์, แคนดิซเบอร์เกนและไรอันเรย์โนลด์สอีกด้วย

ในปี 2004 ดักกลาสและพ่อของเขาเคิร์คได้ถ่ายทำสารคดีเอชบีโอเรื่อง “A Father, A Son… Once Upon a Time in Hollywood” สารคดีเรื่องนี้ภายใต้การกำกับของผู้กำกับรางวัลลีแกรนท์สำรวจชีวิตส่วนตัวและการทำงานของชายทั้งสองคนและผลกระทบที่ทั้งคู่มีต่อวงการภาพยนตร์

ในฤดูร้อนปี 2005 ดักกลาสได้อำนวการสร้างและนำแสดงใน The Sentinel ที่จัดจำหน่ายโดยทเวนตี้เซ็นจูรีฟ็อกซ์ในฤดูใบไม้ผลิปี 2006 ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่สร้างจากนิยายโดยเจอรัลด์เพทีวิชและกำกับโดยคลาร์คจอห์นสันเป็นทริลเลอร์การเมืองที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในโลกที่น่าหลงใหลของหน่วยสืบราชการลับดักกลาสแสดงประกบไคเฟอร์ซุทเธอร์แลนด์, อีวาลองโกเรียและคิมบาซิงเกอร์

ดักกลาสได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง You, Me & Dupree ที่นำแสดงโดยโอเวนวิลสัน, เคทฮัดสันและแมทท์ดิลลอนคอเมดีเรื่องนี้กำกับโดยแอนโธนีและโจรุสโซและจัดจำหน่ายยูนิเวอร์แซลพิคเจอร์สระหว่างช่วงฤดูร้อนปี 2006 ในปี 2007 เขาได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง King of California ที่ร่วมแสดงโดยอีวานราเชลวู้ดเขียนบทและกำกับโดยไมเคิลคาฮิลและอำนวยการสร้างโดยอเล็กซานเดอร์เพย์นและไมเคิลลอนดอน

ดักกลาสมีผลงานภาพยนตร์เข้าฉายในช่วงต้นปี 2009 สองเรื่องได้แก่ Beyond A Reasonable Doubt ที่กำกับโดยปีเตอร์ไฮแอมส์และ Ghosts of Girlfriends Past ที่นำแสดงโดยแมทธิวแม็คคอนนาเฮย์และเจนนิเฟอร์การ์เนอร์และกำกับโดยมาร์ควอเตอร์ส

หลังจากนั้นเขาก็มีผลงานเป็นดรามาเรื่อง Solitary Man ที่กำกับโดยไบรอันคอปเปลแมนและเดวิดเลเวียนร่วมแสดงโดยซูซานซาแรนดอน, แดนนีเดอวีโต้, แมรีหลุยส์-ปาร์คเกอร์และเจนนาฟิสเชอร์และอำนวยการสร้างโดยพอลชิฟฟ์และสตีเวนโซเดอร์เบิร์กห์ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2010 ดักกลาสได้นำแสดงใน Wall Street 2 – Money Never Sleeps ที่เขากลับมารับบทกอร์ดอนเก็คโคที่ทำให้เขาคว้ารางวัลออสการ์มาได้และเขาก็ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำจากการแสดงของเขาอีกครั้งหนึ่งภายใต้การกำกับของโอลิเวอร์สโตนอีกครั้งเขาได้ร่วมแสดงกับไชอาลาบัฟ, แครีย์มุลลิแกน, จอชโบรลิน, แฟรงค์แลงเกลลาและซูซานซาแรนดอน

ดักกลาสได้รับบทคามีโอในแอ็กชันทริลเลอร์โดยสตีเวนโซเดอร์เบิร์กห์เรื่อง Haywire

ดักกลาสได้ร่วมงานกับโซเดอร์เบิร์กห์ใน “Behind the Candelabra” ที่สร้างจากชีวิตของลิเบเรซไอคอนแห่งยุค 70s/80s ที่ร่วมแสดงโดยแมทท์เดมอนภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวทางเอชบีโอในเดือนพฤษภาคมปี 2013 ดักกลาสได้รับรางวัลเอ็มมี, ลูกโลกทองคำและแซ็กอวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์หรือมินิซีรีส์จากการแสดงในบทผู้ให้ความบันเทิงชื่อดังของเขา

หลังจากนั้นเขาก็มีผลงานเป็นคอเมดีคู่หูเรื่อง Last Vegas ที่กำกับโดยจอห์นเทอร์เทิลท็อบและร่วมแสดงโดยโรเบิร์ตเดอนีโร, มอร์แกนฟรีแมนและเควินไคลน์และโรแมนติกคอเมดีเรื่อง And So It Goes ที่ร่วมแสดงโดยไดแอนคีย์ตันและกำกับโดยร็อบไรเนอร์

เมื่อเร็วๆนี้ดักกลาสได้แสดงและอำนวยการสร้างทริลเลอร์เรื่อง Beyond the Reach ที่กำกับโดยฌอน-แบ็บติสต์ลีโอเน็ตติและร่วมแสดงโดยเจเรมีเออร์วินนอกจากนี้เขายังได้รับบทดร.แฮงค์พิมในภาพยนตร์มาร์เวลเรื่อง Ant-Man ประกบพอลรัดด์ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ก้าวสู่แวดวงแอ็กชันผจญภัยที่สร้างจากหนังสือการ์ตูนเขาจะกลับมารับบทเดิมอีกครั้งใน Ant-Man and The Wasp และ The Avengers Infinity War Part II

ล่าสุดดักกลาสเพิ่งเสร็จสิ้นจากงานใน Unlocked ทริลเลอร์สายลับที่ร่วมแสดงโดยนูมิราเพซ, ออร์ลันโด้บลูม, จอห์นมัลโควิชและกำกับโดยไมเคิลแอ็บเท็ด

ในปี 1998 ดักกลาสได้รับการแต่งตั้งให้เป็นโฆษกสันติภาพของสหประชาชาติโดยโคฟีอันนันสิ่งที่เขาสนใจหลักคือการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์และการควบคุมอาวุธขนาดเล็กเขาเป็นหนึ่งในคณะกรรมการมูลนิธิพลัฟแชร์สและเดอะนิวเคลียร์ธีทอินิชิเอทีฟ

เขาได้รับรางวัลความสำเร็จแห่งชีวิตของสถาบันภาพยนตร์อเมริกันในปี 2009 และได้รับรางวัลจากสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างในปีเดียวกันในฤดูใบไม้ผลิปี 2010 เขาได้รับรางวัลชาร์ลีย์แชปลินอวอร์ดจากสมาคมภาพยนตร์นิวยอร์ก

ในปี 2011 ดักกลาสได้รับเครื่องราชย์ฯ “Chevalier de Arts et des Lettres” ในฝรั่งเศสโดยเฟรเดอริคมิทเทอร์แรนด์เมื่อเร็วๆนี้เขาได้รับเฟรนช์ซีซาร์ครั้งที่สองในสาขาความสำเร็จในการทำงานและเป็นชาวอเมริกันเพียงคนเดียวที่ได้รับรางวัลนี้สองครั้ง

ดักกลาสได้เป็นพิธีกรรายการแข่งขันกอล์ฟการกุศล “Michael Douglas and Friends” นาน 11 ปีโดยรายการดังกล่าวได้ระดมทุนกว่า 6 ล้านเหรียญในกับกองทุนภาพยนตร์และโทรทัศน์เขาทุ่มเทให้กับองค์กรดังกล่าวอย่างมากและในแต่ละปีเขาก็ขอให้เพื่อนนักแสดงของเขาออกมาแสดงให้เห็นว่า “เราเป็นวงการที่ดูแลพวกเดียวกันเอง”

ดักกลาสแต่งงานกับแคทเธอรีนซีต้า-โจนส์ทั้งคู่มีลูกชายด้วยกันหนึ่งคนชื่อดีแลนและลูกสาวหนึ่งคนชื่อคาริส

นอกจากนี้ดักกลาสก็ยังมีลูกชายอีกหนึ่งคนคาเมรอนจากการแต่งงานครั้งก่อน

ปีเตอร์ ซาฟราน (ผู้อำนวยการสร้าง) เป็นประธานและผู้ก่อตั้งเดอะ ซาฟราน คัมปะนี บริษัทโปรดักชันระดับแนวหน้าของฮอลลีวูด

สายตาเฉียบคมของซาฟรานในการมองหาผู้มีพรสวรรค์และคติการทำงานที่ขยันขันแข็งนำไปสู่ผลงานหลากหลายที่รวมถึงภาพยนตร์ยอดนิยมเรื่อง The Conjuring และ The Conjuring 2 สำหรับนิวไลน์ซีเนมาภายใต้การกำกับของเจมส์วันและนำแสดงโดยแพทริควิลสันและเวราฟาร์มิกาในบทเอ็ดและลอร์เรนวอร์เรนนักสืบสวนเรื่องราวเหนือธรรมชาติที่มีตัวตนอยู่จริงซาฟรานยังคงอำนวยกาสร้างภาพยนตร์จากแฟรนไชส์ยักษ์ใหญ่ด้วยภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง Annabelle สปินออฟจากทริลเลอร์เหนือธรรมชาติที่ทำรายได้ไปกว่า 250 ล้านเหรียญทั่วโลกพรีเควล Annabelle: Creation ที่ยังคงฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์กวาดรายได้ไปกว่า 280 ล้านเหรียญทั่วโลกผลักดันให้แฟรนไชส์ Conjuring ทั้งหมดทำรายได้ไปกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญผลงานหลังจากนี้ของเขาคือ The Nun ซึ่งเล่าถึงผีแม่ชีที่โด่งดังจาก The Conjuring 2 ภาพยนตร์เรื่อง The Nun ที่กำกับโดยโครินฮาร์ดี้ (The Hallow) และนำแสดงโดยนักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ดเดเมียนบิเชอร์และไทซาฟาร์มิกาจะเข้าฉายในฤดูร้อนปี 2018

ซาฟรานได้ร่วมงานกับผู้กำกับเจมส์วันอีกครั้งในหนึ่งในภาพยนตร์ที่เป็นที่จับตามองสูงสุดของปี 2018 นั่นคือภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์บรอส. เรื่อง Aquaman ที่นำแสดงโดยเจสันโมมัว, แอมเบอร์เฮิร์ด, นิโคลคิดแมนและแพทริควิลสันเมื่อเร็วๆนี้ซาฟรานได้เซ็นสัญญาเพื่ออำนวยการสร้าง Shazam! ภาพยนตร์อีกเรื่องจากดีซีคอมิกซึ่งทำให้เขาได้ร่วมงานกับเดวิดเอฟ. แซนด์เบิร์กผู้กำกับ Annabelle: Creation อีกครั้งหนึ่ง

2017 เป็นปีที่งานชุมสำหรับซาฟรานด้วยผลงานภาพยนตร์ที่เพิ่งเข้าฉายในโรงภาพยนตร์อย่างภาพยนตร์เอ็มจีเอ็มเรื่อง The Belko Experiment ที่เขียนบทโดยเจมส์กันน์และกำกับโดยเกร็กแม็คลีน

ซาฟรานเกิดในนิวยอร์กและเติบโตในลอนดอนเขาสำเร็จการศึกษาสาขารัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยปรินซ์ตันเขาได้รับปริญญาทางกฎหมายจากสคูลออฟลอว์แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์กและขัดเกลาทักษะการเจรจาต่อรองของเขาในฐานะทนายความบริษัทในนิวยอร์กซิตี้

ไมเคิล บีเดอร์แมน (ผู้ควบคุมงานสร้าง) เป็นผู้อำนวยการสร้างและผู้ควบคุมงานสร้าง ผู้มีผลงานครอบคลุมกว่า 15 ปี เขาทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง Spotlight ซึ่งได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปี 2016 ผลงานล่าสุดของเขารวมถึง The Catcher was a Spy สำหรับเบน เลวินและ Collateral Beauty ที่นำแสดงโดยวิล สมิธ, เคียรา ไนท์ลีย์และเคท วินสเล็ต ผลงานอื่นๆ รวมถึง The Cobbler โดยทอม แม็คคาร์ธี และ Kill the Messenger โดยไมเคิล คูเอสตา ที่นำแสดงโดยเจเรมี เรนเนอร์

โรเบิร์ต มิทัส (ผู้ควบคุมงานสร้าง) ดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารของเฟอร์เธอร์ ฟิล์มส์ บริษัทโปรดักชันของนักแสดง/ผู้อำนวยการสร้างเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ไมเคิล ดักกลาส ระหว่างทำงานที่นั่น มิทัสรับหน้าที่ดูแลงานพัฒนาและงานสร้างภาพยนตร์และโทรทัศน์ของเฟอร์เธอร์ และได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์หลายเรื่อง รวมถึงภาพยนตร์อินดีที่กำลังจะเข้าฉายเรื่อง We Have Lived in the Castle ที่สร้างจากผลงานของนักเขียนชื่อดัง เชอร์ลีย์ แจ็คสันและ Beyond the Reach ที่สร้างจากนิยายเรื่อง Deathwatch โดยร็อบบ์ ไวท์

นอกจากนี้ความรับผิดชอบของมิทัสยังรวมถึงการดูแลลิเทอรัลมีเดียบริษัทเจ้าของสิทธิผู้เป็นเจ้าของหรือเป็นตัวแทนของนักเขียนชื่อดังชาวอเมริกันหลายคนรวมถึงเชอร์ลีย์แจ็คสัน, ร็อบบ์ไวท์, เดมอนรันยอน  (“Guys and Dolls”) และคอร์เนลวูลริช (“Rear Window”)

ล่าสุดเขาได้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Juko ที่ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาโดยมี 3311 โปรดักชันส์ (Brigsby Bear, In a World…, Mr. Right) อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ที่สร้างจากเรื่องจริงสุดพิเศษของนักศิลปะการต่อสู้ชาวอเมริกันที่ต่อสู้เพื่อเป็นอิสระจากการควบคุมของอาจารย์ชาวญี่ปุ่นที่ทารุณเขามีกำหนดเริ่มถ่ายทำในปี 2018

มิทัสเป็นชาวโซแคลเขาเกิดและเติบโตในเบอร์แบงค์และสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในนอร์ธริดจ์เขายังคงสนับสนุนหลักสูตรภาพยนตร์ที่ซีเอสยูเอ็นในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาโปรเจ็กต์อาวุโสและผู้บรรยายรับเชิญกึ่งประจำปีนอกจากนี้เขายังดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการของแชทส์เวิร์ธฮิลส์อคเดมีโรงเรียนอิสระระดับเตรียมอนุบาลไปจนถึงเกรดแปดที่ไม่แสวงหาผลกำไรและเป็นโรงเรียนแห่งแรกและแห่งเดียวที่นำเสนอหลักสูตรอินเตอร์เนชันแนลแบ็คคาลอเรทในซานเฟอร์นันโดวัลลีย์

เขามีตัวแทนคือโจไรลีย์แห่งซีโรกราวิตี้เมเนจเมนต์และทนายความลอว์เรนซ์มาร์คส์แห่งมานัทท์, เฟลป์สและฟิลลิปส์

เดวิด แบล็คแมน (ผู้ควบคุมงานสร้าง) ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายพัฒนาและงานสร้างภาพยนตร์และโทรทัศน์สำหรับยูนิเวอร์แซล มิวสิค กรุ๊ป

ก่อนหน้านั้นเขาได้บริหารงานลอว์เรนซ์มาร์คโปรดักชันส์ภายใต้โซนีนานแปดปีระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งประธานฝ่ายงานสร้างบริษัทดังกล่าวได้อำนวยการสร้างโปรเจ็กต์จอแก้วและจอเงินหลากหลายแนวรวมถึง Last Vegas, Dreamgirls, Julie & Julia, Political Animals และพิธีประกาศผลรางวัลอคาเดมีอวอร์ดครั้งที่ 81 ที่ได้ฮิวจ์แจ็คแมนเป็นพิธีกร

นอกเหนือจากนั้นเขายังได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ไลออนส์เกทเรื่อง Date & Switch (ที่นำแสดงโดยดาโกต้าจอห์นสัน, นิคออฟเฟอร์แมน, เมแกนมุลลาลีและอาซิสแอนซารี) รับหน้าที่ผู้ร่วมควบคุมงานสร้างตอนไพล็อต Summer Camp ของนิคเคลโลเดียน  และควบคุมงานสร้าง “Center Stage: Turn It Up” สำหรับโซนี/อ็อกซิเจน

ก่อนหน้าลอว์เรนซ์มาร์คโปรดักชันส์แบล็คแมนได้บริหารงานเวนดี้ไฟเนอร์แมนโปรดักชันส์ระหว่างทำงานที่นั่นเขาเป็นผู้บริหารที่คอยดูแลงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Devil Wears Prada และ P.S. I Love You ตำแหน่งก่อนหน้านั้นรวมถึงตำแหน่งบริหารที่เขาได้ทำงานร่วมกับสตีฟทิสช์, บริดเจ็ทจอห์นสันและแครีวู้ดส์

ไบรอัน โอลิเวอร์ (ผู้ควบคุมงานสร้าง) เป็นผู้อำนวยการสร้างผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ด ผู้บริหารภาพยนตร์มากประสบการณ์และผู้ก่อตั้งนิว รีพับลิค พิคเจอร์ส เขามีความชำนาญจากการสร้างและให้เงินทุนภาพยนตร์มานานหลายปีที่วิลเลียม มอร์ริส, พร็อพพาแกนดา ฟิล์มส์ และได้ร่วมก่อตั้งบริษัทครอส ครีก พิคเจอร์ส ในฤดูใบไม้ผลิปี 2017 เขาได้ก่อตั้งนิว รีพับลิค พิคเจอร์ส ด้วยเป้าหมายในการอำนวยการสร้างภาพยนตร์พาณิชย์ที่กระตุ้นความคิดในสิ่งแวดล้อมที่เป็นมิตรกับคนทำหนัง โฟกัสของเขาอยู่ที่การสร้างความสัมพันธ์ในการทำงานที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างคนทำหนังและนายทุนมาโดยตลอด

โอลิเวอร์เริ่มต้นการทำงานที่พาราเมาท์พิคเจอร์สหลังจากได้ทำงานระยะสั้นๆในแผนกภาพยนตร์ของวิลเลียมมอร์ริสเอเจนซีเขาดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายโปรดักชันที่พร็อพพาแกนดาฟิล์มส์ที่ซึ่งเขาได้พัฒนาและอำนวยการสร้างภาพยนตร์โดยพอลชเรเดอร์เรื่อง Auto Focus (2002) หลังจากนั้นเขาก็ได้ก่อตั้งอาร์เธาส์พิคเจอร์สก่อนที่จะได้รับการว่าจ้างจากทิมมีธอมป์สันให้ก่อตั้งและดูแลครอสครีกพิคเจอร์สผลงานเรื่องแรกของโอลิเวอร์ในครอสครีกคือดรามาจิตวิทยาที่ทะเยอทะยานโดยดาร์เรนอาโรนอฟสกี้เรื่อง Black Swan (2010) ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ไปกว่า 32 ล้านเหรียญทั่วโลกในฐานะผู้อำนวยการสร้างเขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและคว้ารางวัลฟิล์มอินดีเพนเดนท์สปิริตอวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมาได้นอกจากนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอีกมากมายรวมถึงการได้รับการเสนอชื่อชิงห้ารางวัลอคาเดมีอวอร์ด, สิบสองรางวัลบาฟตาอวอร์ดและสี่รางวัลลูกโลกทองคำรวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปี 2011 เขาได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Ides of March (2011) ที่กำกับและนำแสดงโดยจอร์จคลูนีย์ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวในคืนเปิดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิสผลงานเรื่องถัดไปของโอลิเวอร์คือ The Woman in Black (2012) ที่นำแสดงโดยแดเนียลแรดคลิฟฟ์ภายใต้การกำกับของเจมส์วัทคินส์ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่สร้างจากนิยายสยองขวัญเบสต์เซลเลอร์โดยซูซานฮิลทำรายได้ไปกว่า 127 ล้านเหรียญทั่วโลกทำให้มันเป็นภาพยนตร์สยองขวัญสัญชาติอังกฤษที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์นอกจากนั้นเขายังได้อำนวยการสร้าง Arthur Newman (2012), ภาพยนตร์โดยรอนโฮเวิร์ดเรื่อง Rush (2013), A Walk Among the Tombstones (2014) ที่นำแสดงโดยเลียมนีสัน, Everest (2015), Legend (2015), Black Mass (2015) ที่นำแสดงโดยจอห์นนีเด็ปป์และ Pride and Prejudice and Zombies (2016) ที่นำแสดงโดยลิลลีเจมส์อีกด้วยหลังจากนั้นเขาก็ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ดรามาเชิงชีวประวัติสมัยสงครามโลกครั้งที่สองโดยเมลกิ๊บสันเรื่อง Hacksaw Ridge (2016) ซึ่งนำแสดงโดยแอนดรูว์การ์ฟิลด์ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อชิงหกรางวัลออสการ์รวมถึงสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและได้รับการเสนอชื่อชิงสามรางวัลลูกโลกทองคำภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับเลือกจากสถาบันภาพยนตร์อเมริกันให้เป็นหนึ่งในสิบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี

โปรเจ็กต์หลังจากนี้ของเขารวมถึง American Made (2017) ที่นำแสดงโดยทอมครูซและภาพยนตร์โดยท็อดด์ฟิลด์เรื่อง Creed of Violence (2018) ซึ่งจะนำแสดงโดยลีโอนาร์โดดิคาปริโอล่าสุดเขาได้ซื้อสิทธิภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่อง RISE ทริลเลอร์ไซไฟที่จะกำกับโดยเดวิดคาร์ลัคซึ่งเป็นน้องใหม่ของแวดวงฮอลลีวูด

โอลิเวอร์สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในเบิร์คลีย์และได้รับปริญญาตรีทางกฎหมายจากวิทเทียร์ลอว์สคูล

ฮัสซัน ทาเฮอร์ (ผู้ควบคุมงานสร้าง) รอประวัติ

อีริค เครส (ผู้กำกับภาพ) ผู้กำกับภาพชาวเดนิช ไม่เพียงแต่ส่งอิทธิพลต่อวงการภาพยนตร์อเมริกันเท่านั้น แต่เขายังส่งอิทธิพลในระดับนานาชาติด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยผลงานของเขาในภาพยนตร์เรื่อง The Girl with the Dragon Tattoo ต้นฉบับ ที่กำกับโดยนีลส์ อาร์เดน ออพเลฟ ผลงานภาพยนตร์ที่หลากหลายของเขารวมถึง Arn: The Knight Templar, The Keeper of Lost Causes, Taken 3 สำหรับยูโรปาคอร์ป ภายใต้การกำกับโดยโอลิเวียร์ เมกาตัน ซึ่งทำรายได้ไป 311 ล้านเหรียญทั่วโลกและภาพยนตร์เรื่อง Colossal ที่กำกับโดยนาโช วิกาลอนโด้ เขาสานต่อการร่วมมือกับนีลส์ อาร์เดน ออพเลฟเมื่อเครสถ่ายทำตอนไพล็อตของ “Game of Silence” สำหรับโซนีและ “Midnight, Texas” สำหรับยูนิเวอร์แซล

นีลส์ เซเจอร์ (ผู้ออกแบบงานสร้าง) สำเร็จการศึกษาจากรอยัล เดนิช อคาเดมี ออฟ ไฟน์ อาร์ตส์, สคูล ออฟ อาร์คิเท็กเจอร์ ในปี 192 ระหว่างเรียน เขาได้ทำงานออกแบบงานสร้างร่วมกับนักศึกษาสายกำกับที่เนชันแนล เดนิช ฟิล์ม สคูล

ในปี 1987/88 เขาได้เข้าศึกษาหลักสูตรการออกแบบละครเวทีและเทคโนโลยีที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์กในเพอร์เชสหลังจากนันเขาก็ได้ทำงานเป็นผู้ช่วยของนักออกแบบฉากในนิวยอร์กจอห์นอาร์นันและลอยอาร์ซีนัสก่อนที่จะกลับเดนมาร์คในปี 1990 เพื่อศึกษาต่อในสาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์จนจบในปี 1992

หลังจากสำเร็จการศึกษาเซเจอร์ก็ได้รับการว่าจ้างจากคอนทราพังค์บริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธการสื่อสารและออกแบบระดับแนวหน้าสัญชาติเดนิชและได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มจัดการในปี 1996 ในขณะเดียวกันเขาก็ได้พัฒนาการมีส่วนร่วมของตัวเองในงานภาพยนตร์และได้ออกแบบภาพยนตร์พีเรียดหลายเรื่องรวมถึง The Last Viking และ Eye of the Eagle

นับตั้งแต่ปี 1998 โฟกัสหลักของเซเจอร์คือการออกแบบงานสร้างเขาได้ออกแบบภาพยนตร์และซีรีส์กว่า 20 เรื่องรวมถึงภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จไปทั่วโลกอย่าง The Girl with the Dragon Tattoo และ A Royal Affair รวมไปถึงเวอร์ชันสแกนดิเนเวียนออริจินอลของ “The Killing” และ “The Bridge”

โปรเจ็กต์ล่าสุดรวมถึงภาพยนตร์อเมริกันเรื่อง Dead Man Down ที่กำกับโดยนีลส์ออพเลฟในนิวยอร์กและฟิลาเดลเฟียในปี 2012 และ Rock the Kasbah ที่กำกับโดยแบร์รีเลวินสันและอำนวยการสร้างในโมร็อกโกและลอสแองเจลิสในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของปี 2014 และซีรีส์จำกัดเรื่อง “1864” ที่เขาได้ร่วมมือกับโอเลบอร์นีดัลในสาธารณรัฐเช็กและเดนมาร์กระหว่างปี 2012 ถึงปลายปี 2013

เมื่อตอนเป็นเด็กทอม เอลคินส์ (มือลำดับภาพ) ได้สร้างภาพยนตร์ 8 ม.ม. หลายสิบเรื่อง บางเรื่องก็เป็นภาพยนตร์สยองขวัญ ที่มีชื่อเรื่องอย่าง The Killer Trike การทำงานของเขาเริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาได้รับการว่าจ้างจากก็อดฟาเธอร์ส พิซซา แฟรนไชส์พิซซาระดับประเทศ ให้สร้างวิดีโอฝึกและโฆษณาโทรทัศน์ที่ขำขัน

หลังจากนั้นเขาก็ก้าวสู่วงการภาพยนตร์โดยเริ่มต้นจากการเป็นผู้ช่วยงานสร้าง (Gattaca) ก่อนจะขยับมาทำงานผู้ประสานงานงานสร้างด้วยผลงานที่รวมถึงภาพยนตร์โดยเมลกิ๊บสันเรื่อง Payback และ The Big Lebowski สำหรับพี่น้องโคเอน

ท้ายที่สุดเขาก็ได้ก้าวสู่งานลำดับภาพในฐานะผู้ช่วยและเขาก็โชคดีที่ได้ร่วมงานและได้เรียนรู้งานจากมือลำดับภาพรางวัลออสการ์อย่างไมค์ฮิลและแดนฮันลีย์ (The Da Vinci Code, The Missing) และเดวิดเบรนเนอร์ (Wanted) เขาได้ร่วมทำงานกับทีมของเวสคราเวนและมือลำดับภาพแพทริคลัสเซียร์ใน Cursed และ Red Eye ก่อนที่เขาจะได้เลื่อนตำแหน่ง เขาได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง White Noise II สำหรับโกลด์ เซอร์เคิล ฟิล์มส์ ซึ่งทำให้เขามีโอกาสในการทำหน้าที่มือลำดับภาพภาพยนตร์เป็นครั้งแรก

หนึ่งในผลงานของเขาคือทริลเลอร์ปี 2009 เรื่อง The Haunting in Connecticut ซึ่งความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เขามีโอกาสได้กำกับซีเควลของภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวที่เขาทำหน้าที่เป็นมือลำดับภาพด้วย

ล่าสุดเขาได้ลำดับภาพให้กับภาพยนตร์ฮิตในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง Annabelle (นิวไลน์/วอร์เนอร์บราเธอร์ส) และ Inferno (โซนี) สำหรับรอนโฮเวิร์ด

ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายเจนนี เกอริง เป็นที่รู้จักจากผลงานของเธอในซีรีส์เอฟเอ็กซ์ชื่อดังที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในยุค 80s เรื่อง “The Americans” นอกจากนี้ เธอยังได้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น The Lucky Ones, Limitless และ The East ผลงานของเธอจะปรากฏในภาพยนตร์ใหม่โดยดั๊ก ลีแมนเรื่อง American Made ที่นำแสดงโดยทอม ครูซ ปัจจุบัน เธออยู่ระหว่างการทำงานในภาพยนตร์เรื่อง The Equalizer 2 ที่นำแสดงโดยเดนเซล วอชิงตัน

นาธาน บาร์ (ดนตรี) นักประพันธ์ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลเอ็มมี ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากความสามารถหลากหลายที่หาตัวจับยากของเขาการผสมผสานเครื่องดนตรีต่างๆ จากหลายวัฒนธรรมทั่วโลกเข้าด้วยกัน

ล่าสุดเขาเพิ่งเสร็จสิ้นจากการแต่งดนตรีประกอบซีซันที่ห้าของซีรีส์รางวัลคริติกส์ชอยส์อวอร์ดของเอฟเอ็กซ์เรื่อง “The Americans” ที่นำแสดงโดยเคอรีรัสเซลและแมทธิวริสและทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีสาขาดนตรีเมนไตเติลธีมออริจินอลในปี 2013 นอกจากนี้เมื่อเร็วๆนี้เขายังเพิ่งเสร็จจากการแต่งดนตรีให้กับซีซันแรกของซีรีส์อีพิคที่เล่าถึงคนหลายรุ่นของเอเอ็มซีเรื่อง “The Son” ที่นำแสดงโดยเพียร์ซบรอสแนนเมโลดี้ที่หลากหลายและโดดเด่นของนาธานได้ดึงดูดผู้ชมเข้าสู่เร่องเล่าการถือกำเนิดของอเมริกาในฐานะมหาอำนาจผ่านความรุ่งโรจน์และตกต่ำที่นองเลือกของอาณาจักรน้ำมันเท็กซัส

สัญลักษณ์ของบาร์คือการปรับตัวได้ของเขาขณะที่เขาแต่งดนตรีประกอบซีรีส์ที่โด่งดังที่สุดหลายเรื่องนอกเหนือจากการเพิ่งเสร็จจากการแต่งดนตรีประกอบดรามาเกี่ยวกับนักต้มตุ๋นของอเมซอนเรื่อง “Sneaky Pete” ดนตรีของเขายังปรากฏอยู่ในทั้งเจ็ดซีซันของซีรีส์ขวัญใจแฟนๆที่ได้รับรางวัลเอ็มมีของเอชบีโอเรื่อง “True Blood” และซีรีส์เน็ตฟลิกซ์เรื่อง “Hemlock Grove” ซึ่งทำให้นาธานได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีครั้งที่สองสาขาเมนไตเติลธีมในปี 2013

การที่เขาได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลเอ็มมีจากซีรีส์เอฟเอ็กซ์เรื่อง “The Americans” และซีรีส์เน็ตฟลิกซ์เรื่อง “Hemlock Grove” ทำให้เขากลายเป็นนักประพันธ์คนแรกที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสองรางวัลในสาขาเมนไตเติลในปีเดียวกัน

ผลงานจอเงินของเขาก็โดดเด่นไม่แพ้ผลงานจอแก้วเช่นกัน

ด้วยผลงานภาพยนตร์กว่า 30 เรื่องเขาได้ร่วมงานกับอลันบอล, ปรมาจารย์สยองขวัญอีไลร็อธและผู้กำกับที่ได้รับการเคารพอย่างสูงอีกหลายคนผลงานดนตรีประกอบของเขารวมถึงคอเมดีโดยไลออนส์เกทเรื่อง The Big Wedding, ทริลเลอร์ยอดนิยมของบลูมเฮาส์เรื่อง The Boy Next Door ที่นำแสดงโดยเจนนิเฟอร์โลเปซ, ภาพยนตร์โดยทเวนตี้เซ็นจูรีฟ็อกซ์เรื่อง Shutter, ภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง The Dukes of Hazzard, ทริลเลอร์โดยไอเอฟซีเรื่อง The Ledge ที่นำแสดงโดยลีฟ ไทเลอร์และเทอร์เรนซ์ โฮเวิร์ด, ภาพยนตร์โดยไดเมนชัน ฟิล์มส์และวิเวนดี้ เอนเตอร์เทนเมนต์เรื่อง Grindhouse, ภาพยนตร์โดยสกรีน เจมส์และไลออนส์เกทเรื่อง Hostel, Hostel 2 และ Cabin Fever และภาพยนตร์โดยไลออนส์เกทเรื่อง The Last Exorcism

เขาเริ่มศึกษาดนตรีในโตเกียวประเทศญี่ปุ่นเมื่ออายุได้สี่ขวบเขาโตมาด้วยการถูกห้อมล้อมไปด้วยดนตรีหลากหลายตั้งแต่ละครเวทีคาบูกิไปจนถึงเสียงของแม่เขาที่เล่นโกโตะและเปียโนและพ่อของเขาเล่นบันโจกีตาร์และชาคูฮาจิ

นอกเหนือจากการแต่งดนตรีแล้วเขายังได้เล่นเครื่องดนตรีหลายชิ้นในดนตรีที่เขาเรียบเรียงและมีความชำนาญในดนตรีหลายสไตล์และแนวที่หลากหลายตั้งแต่ออร์เคสตราไปจนถึงร็อคนอกจากนี้เขายังเป็นที่รู้จักดีจากคอลเล็กชันและการใช้เครื่องดนตรีหายากและไม่ธรรมดาจากทั่วโลกเช่นทรัมเป็ตกระดูกมนุษย์จากทิเบตเปียโนที่พังแล้วอาร์โมนิกาแก้วที่หายากเชลโลน้ำเต้าและอันดับหนึ่งในคอลเล็กชันของเขาคือเครื่องเวอร์ลิทเซอร์เธียเตอร์ออร์แกนที่มีแผงคีย์สามแผงซึ่งควบคุมท่อ 19 ท่อออร์แกนชิ้นนี้ได้ทำหน้าที่ในการเล่นดนตรีประกอบบนเวทีที่ทเวนตี้เซ็นจูรีฟ็อกซ์ระหว่างปี 1928-1994 และเสียงของมันก็ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์นับไม่ถ้วนตั้งแต่ The Sound of Music ไปจนถึง Patton และ Star Trek

ปัจจุบันเขาอาศัยอยู่ในลอสแองเจลิสรัฐแคลิฟอร์เนีย

PAGE   \* MERGEFORMAT 7