หญิง-รฐา โพธิ์งาม กับอีกหนึ่งบทบาทนางโชว์สุดท้าทาย ในภาพยนตร์ดราม่าเรื่อง “นางฟ้า”

เข้าร่วมโปรเจ็คต์ นางฟ้า ได้อย่างไร

พอดีว่าพี่อ้วนกับตั๊กกำลังจะทำภาพยนตร์เรื่อง “นางฟ้า” และช่วงนั้นเราก็ถ่ายทำเรื่อง “จันดารา” กันอยู่  ก็เลยได้รู้จักกับตั๊กในระดับนึงแล้ว ตั๊กก็เลยถามว่าถ้าเสร็จจากเรื่องนี้ หนังเขาจะเปิดกล้องต่อเลย หญิงสนใจเล่นไหม  เนื้อเรื่องก็จะเกี่ยวกับผู้หญิง 3 คน ที่เป็นนางโชว์อยู่พัทยาก็มีเรื่องราวของความเป็นแม่ มีเรื่องราวของความเป็นเพื่อน ก็รู้สึกว่ามันเป็นดราม่าอีกแบบที่ตัวหญิงเองก็ยังไม่เคยเล่น แล้วก็มีเรื่องของการเต้นด้วยเราก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่เราถนัด เราชอบด้วย รู้สึกว่าเต้นด้วยแอ็คติ้งด้วยดร่าม่าด้วยก็น่าลองค่ะ  ก็เลยรู้สึกว่าโปรเจ็คต์น่าสนใจ เป็นภาพยนตร์ที่คนดูแล้วจะคิดถึงแม่ หรือความรู้สึกที่เป็นสถาบันครอบครัว  รู้สึกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจะให้อะไรกับคนดูด้วยค่ะ

 

มีการเตรียมตัวและทำความเข้าใจกับคาแร็คเตอร์นี้อย่างไรบ้าง

ก็มีอ่านบทและทำความเข้าใจตัว “รุ้ง” โดยตัวคาแร็คเตอร์ของรุ้ง เป็นผู้หญิงสู้งาน เป็นผู้หญิงที่เลี้ยงครอบครัว เป็นผู้หญิงที่กัดฟัน มีความฝันของตัวเอง มีความทะเยอทะยาน มีความอวดดีในตัวเอง ก็คล้ายๆ กับผู้หญิงยุคใหม่ ที่ต้องการที่จะมีความเก่ง ที่จะทำได้ทุกอย่างค่ะ รุ้งเป็นลักษณะผู้หญิงแบบนั้น แล้วก็เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงกลางคืนที่ค่อนข้างจะหาหนทางที่ดีให้กับตนเองตลอดเวลา ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าเป็นคาแร็คเตอร์ที่คนจับต้องได้ จะทำให้คนดูเห็นแล้วรู้สึกว่านี่ฉัน แล้วถ้าฉันคิดเกินไปหรือว่าพยายามทำอะไร ที่มันเกินความสามารถของเราเอง  โดยที่ไม่คิดถึงคนอื่นข้างหลัง มันก็จะนำพาเรื่องเลวร้ายมาสู่ชีวิต  เราก็เลยรู้สึกว่า มันเป็นจริงดีค่ะมีทั้งรัก มีทั้งสงสาร มีทั้งเกลียด มีทั้งอิจฉา คือมันเป็นคาแร็คเตอร์ของมนุษย์จริงๆ ที่เกิดขึ้นในโลกและสังคมในปัจจุบันจริง

 

รุ้ง เป็นอีกตัวละครที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้

รุ้งนี่เรียกได้ว่า ถ้าถามจริงๆ ก็เป็นตัวทำให้เรื่องราวพลิกผันจนเกิดแกนของเรื่อง เพราะด้วยความทะเยอทะยานของเธอนั่นแหละ ว่าเธอจะไปเจอคนที่สามารถทำให้ชีวิตของเธอดีกว่าการเป็นนักแสดงในบาร์ที่พัทยา  โดยการตัดทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการไปดื่มกับแขก ไปข้างนอกกับแขก คือเธอตัดหมดเลยเพราะเธอคิดว่าสิ่งที่เธอกำลังจะไปเนี่ยมันพาเธอไปได้ไกลกว่า แล้วมันเป็นจุดการปฏิเสธของรุ้งที่ทำให้เกิดเป็นเรื่องขึ้นมา

 

บท “รุ้ง” ถือว่าแตกต่างจากบทบาทที่เคยแสดงมาก่อนอย่างไรบ้าง

แตกต่างค่ะ ถ้าช่วงการทำงานในช่วงนั้นเพิ่งปิดกล้องจาก “จันดารา” แล้วก็มาเป็น “นางฟ้า”  ตอนนั้นรับบทคุญบุญเลื่องจะเป็นผู้ดี พูดน้อย ยิ้ม กิริยามารยาทงดงาม ในขณะที่พอมาเป็นนางฟ้าเรามาเป็นผู้หญิงกลางคืนที่หาเช้ากินค่ำ อดมื้อกินมื้อ ต่อสู้ชีวิต และต่อสู้ทั้งผู้ชายที่เข้ามาไม่ว่าดีหรือร้าย ต่อสู้กับเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน ต่อสู้แม้กระทั่งเจ้าของบาร์ที่ต้องสู้รบด้วยปาก ต้องรับฝีปากตลอดเวลา คือมันเป็นคาแร็คเตอร์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงค่ะ แล้วเราก็รู้สึกว่ามันท้าทายมากนะ มันคนละฟิลกันมากๆ เราต้องลืมคุณบุญเลื่องเพื่อเป็นรุ้งค่ะ หญิงว่าในมุมมองความเป็นรุ้งเราเป็นผู้หญิงโผงผางความจริงรุ้งใกล้ตัวหญิงมากคือวิธีการพูดเวลาอยู่กับเพื่อน ความเป็นหัวโจก ความซ่าก็จะค่อนข้างใกล้ตัวหญิงเลยค่ะ และด้วยวัยของคาแร็คเตอร์รุ้งก็ใกล้เคียงกับหญิง อาจจะอ่อนกว่าอายุหญิงจริงซัก 3 ปี แต่ในขณะที่คุณบุญเลื่องอายุมากกว่าเรา 10 ปีขึ้นไปมันยากตรงที่ปรับจากคาแร็คเตอร์ตรงนั้นมาตรงนี้มากกว่าค่ะ

 

ความสัมพันธ์กับตัวละครในเรื่อง

สำหรับรุ้ง จะมีมิ้นท์กับเฟิร์น เปรียบเหมือนน้องสาวที่ทำงานในบาร์ด้วยกัน ความสัมพันธ์ของการทำงานในบาร์เราจะไม่เหมือนคนอื่น เราจะหยิ่งผยองหน่อย ยโสหน่อย แต่ในมุมของความเป็นเพื่อนก็เป็นคนรักเพื่อน แต่แค่ปลอบใครไม่เป็น เวลาเห็นใครร้องไห้ก็จะปลอบวิธีที่เป็นคนพูดโผงผาง เป็นคนพูดตรงๆ อ้อมค้อมไรไม่เป็น ก็จะเรียกได้ว่าเป็นคาแร็คเตอร์ผู้นำของกลุ่ม เป็นรุ่นพี่ของกลุ่ม แต่ดันเป็นรุ่นพี่ที่ขวานผ่าซากเหลือเกินที่ไม่มีความอ่อนน้อม และก็มีความทะเยอทะยาน เรียกได้ว่าผู้หญิง 3 คนนี้ มีโชคชะตาที่มาเจอกันแต่จุดจบไม่เหมือนกัน โดยเฟิร์นเองเป็นผู้หญิงที่พูดไม่ได้ แต่มีทักษะในเรื่องของการมอง การจับจังหวะในการเต้น เลยทำให้เธอมีพัฒนาการของการเต้น ในขณะที่มิ้นมีทักษะในเรื่องของการเต้น แล้วเธอก็มีความรัก แต่ความรักนำเธอพาสู่เรื่องอะไรก็ต้องไปติดตามดูภาพยนตร์

 

ต้องมีการปรับลุคอย่างไรบ้าง

ย้อนไปประมาณ 10 ปีค่ะ ก็จะเป็นผมหยิกทั้งหัวเลย ไม่เชิงแอฟโฟร่นะ เป็นหยิกเหลี่ยมๆ ค่ะ แล้วแฟชั่นทุกอย่างก็จะเป็นอะไรที่ย้อนกลับไปอาจเป็นดิสโก้แต่งตัวแบบเปรี้ยวๆ จี๊ดจ๊าด ก็รู้สึกว่าเก๋ดีค่ะ คงไม่ได้มีโอกาสใส่เพราะว่าย้อนกลับไปก็ไกล ในส่วนของการเต้น เสื้อผ้าต่างๆ ก็เป็นโชว์คาบาเร่ต์ โชว์จินตลีลาย้อนไปเมื่อ 10 ปี ที่แล้วก็รู้สึกว่ามันก็เก๋ดี

 

ความโดดเด่นของโชว์

เด่นๆ เลยก็จะเป็นมีโพลแดนซ์ เป็นโชว์ที่ต้องโหนตัวลงมาจากข้างบน มีเหล็กหรือเสาและก็หมุนตัวลงมา มันยากมากที่จะโหนตัวอยู่บนนั้นนานๆ ก็มีนะที่ต้องใช้บันไดช่วยปีนขึ้นไปบ้าง พอจะเริ่มถ่ายเราก็ถีบบันไดออก กระโดดโรยตัวลงมา สนุกดี มันก็ต้องมีการไปเรียนเพิ่มการเต้นด้วยกันทั้งหมด อีกอันก็จะเป็นโชว์ที่มีชื่อโชว์นางฟ้า เป็นการเต้นของเหล่านางฟ้าเป็นชุดสีขาวเหมือนเราอยู่บนสวรรค์ อยู่บนเมฆก็จะเป็นกึ่งๆ บัลเล่ต์กับจินตลีลาค่ะ มีความอ่อนหวานของตัวละคร นอกจากนั้นก็จะมีเป็นแจ๊สแดนซ์ ผสมกับ Hip Pop แต่มันจะคล้ายกับป๊อปที่มันเป็นสไตล์ยุคแบบชิคาโก้ ที่ดูสดใสน่ารักกว่า มีการเตะขาสูง มีการเทิร์นพอยต์ กับเพลงที่น่ารักสนุกสนานค่ะ

 

ต้องไปเรียนและฝึกเต้นเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง

หญิงมีพื้นฐานของการเต้นแจ๊ส ซึ่งแจ๊สกับบัลเล่ต์มันเป็นพื้นฐานของการเต้นทั้งหมดอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องไปเรียนเพิ่มคือ โพลแดซ์ ที่ไม่เคยทำไม่เคยเรียนมาก่อน ยากมากค่ะ มันคือการใช้แรงเหวี่ยง และใช้น้ำหนักของกล้ามแขน ที่จะล็อคตัวเองให้อยู่กับบนเสาเส้นเดียวได้ ตอนซ้อมเสามันจะหมุนเองได้ ดังนั้นแรงเหวี่ยงเราไม่จำเป็นต้องใช้เยอะ แต่ในขณะที่วันถ่ายเป็นเสาใหม่แล้วมันไม่โฟลตาม ปกติแล้วเสาที่มันโฟลจะต้องมีการใช้ประมาณ 2-3 ปีได้ ต้องมีการใช้งานตลอดพอเป็นเสาที่ถูกสร้างมาใหม่ มันจึงหมุนได้เพียงนิดเดียว ซึ่งเราต้องใช้น้ำหนักของตัวเองในการเหวี่ยง ค่อนข้างยากเลยล่ะ แต่ทุกคนก็ผ่านมันมาได้

 

ในฐานะรุ่นพี่ และมีความสามารถด้านการเต้น แนะนำหรือสอนน้องอมยิ้มอย่างไรบ้าง

อมยิ้มเรียกได้ว่าเขามีความพยายามมาก จะมีปัญหาในเรื่องของบอดี้ เขาอาจจะไม่ได้เรียนเต้นมาดังนั้นมันจะมีความไม่ยืดหยุ่นอยู่ แต่ความโชคดีคืออมยิ้มเขาเป็นคนแขนขายาวก็ดูสวยอยู่แล้ว แต่ก็มีความประหม่า เพราะเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของน้อง เราก็จะคอยสอนว่าบางทีบางเพลงไม่ต้องเต้นแรงนะ หรือว่าตอนถ่ายคัทกว้าง คัทแคบ ถ่ายหน้าเราก็จะบอกว่ากว้างปุ๊บเต้นไปเลย เต้นผิดเต้นไปก่อนไปตัดใช้ได้ หรือว่าถ้าแคบก็เน้นหน้าอย่างเดียวพยายามมองหาให้เห็นเป็นเมฆจริงๆ เพราะจริงๆ การเต้นมันสำคัญว่าเรามองเห็นอะไร คืออย่างโชว์นางฟ้าเราก็ต้องเห็นว่ามันคือเมฆ ไม่งั้นเราจะไปจับมันยังไง มองมันยังไง

 

การร่วมงานกับ ตั๊ก บงกช ทั้งในฐานะผู้กำกับและนักแสดงเป็นอย่างไรบ้าง

ร่วมงานด้วยกันจาก “จันดารา” เราก็เลยเพื่อนที่รู้จักกันมาแล้ว  พอมา “นางฟ้า” ก็เป็นทั้งเพื่อนนักแสดงด้วย และเป็นผู้กำกับคือเป็นเจ้านายเราด้วย (หัวเราะ) ตั๊กเขามีมุมที่เป็นผู้ใหญ่ มีมุมของการเป็นผู้กำกับรวมถึงวิธีการพูดของเขา มีความตั้งใจสูงมาก ตั๊กมีความใส่ใจกับงานทุกๆ รายละเอียด หญิงว่าตั๊กทำได้ดีเลยสำหรับหนังเรื่องแรกของเขา ทุกคนต้องมีก้าวแรกค่ะ

 

ฉากที่ประทับใจมาก

หญิงชอบฉากอำลาเพื่อน เพราะว่าตอนสุดท้ายเลือกที่จะรักตัวเอง รักความเจริญก้าวหน้า เลือกที่จะออกจากแองเจิล บาร์ ก็เลยทิ้งเพื่อนไป เพื่อไปเจอชีวิตที่ดีกว่า ก็จะเป็นฉากที่ใจอยากไป แต่อีกใจก็อยากเอาเพื่อนไปด้วยจึงเป็นฉากอารมณ์ เรารู้สึกว่ามันเป็นความสัมพันธ์ของตัวละครที่เป็นเพื่อนกันจริงๆ

อีกฉากหนึ่ง เป็นฉากที่มิ้นท์นั่งร้องไห้ แล้วเฟิร์นก็เข้ามาปลอบ ในขณะที่รุ้งนั่งแต่งหน้าทำเป็นไม่สนใจ แล้วก็หันมาพูดมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น มันเป็นการพูดแบบไม่ใส่ใจ แต่ลึกๆ แล้วรุ้งรักเพื่อน เป็นห่วงเพื่อน แต่ด้วยนิสัยผยอง ยิ่งทนงตนเองไม่ยอมก้มหัวให้ใคร แต่ลึกๆมีความอ่อนไหว รุ้งจึงดูป็นผู้หญิงแข็ง ฉากนี้เราก็เลยรู้สึกว่าเป็นมนุษย์คนนึงที่เป็นห่วงคนอื่น แต่ไม่ชอบที่จะแสดงออกค่ะ

 

ความน่าสนใจของภาพยนตร์ นางฟ้า

ความน่าสนใจของเรื่องนี้หญิงว่ามันเป็นดราม่า ที่คนดูจะได้อะไรกลับไป ความสัมพันธ์ทุกอย่างมันเป็นเรื่องราวของความรู้สึกค่ะ ไม่ว่าจะเกิดจากเพื่อน คนรัก แม้แต่คนที่ไม่รัก หรือแม้แต่คนที่พร้อมจะดูแลและไม่พร้อมจะดูแลเรา บางมุมคนอาจจะมีความรู้สึกเมื่อดูหนังเรื่องนี้แล้วจะย้อนกลับไปมองครอบครัวมากขึ้นค่ะ ว่าความสำคัญจริงๆ แล้วมันอาจไม่ใช่แค่ความรัก มันคือความเข้าใจด้วย ดังนั้นสิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะให้ คือการเข้าใจคนรอบข้างมากขึ้นค่ะ

ถ้าพูดถึงหนังไทย กับคาแร็คเตอร์ที่เป็นดราม่าจริงๆ ว่าด้วยความรักระหว่างของหนุ่มสาวพระเอกนางเอกคนรักกันหญิงว่ามันน้อยค่ะ มันเป็นวิธีการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ เป็นคาแร็คเตอร์ชีวิตจริงๆ ของผู้หญิง 3 คน ดั้งนั้นมันไม่ค่อยได้ถูกตีแผ่ในแบบภาพยนตร์มากนัก ถ้าย้อนกลับไปในวงการไทยมันมีไม่กี่เรื่องนะที่เป็นลักษณะนี้ เรื่องราวมันสากล ดูง่าย เข้าใจง่าย เวลาดูมีทั้งสนุก มีทั้งยิ้ม มีทั้งสงสาร มีทั้งหมั่นไส้มันคือการใช้อารมณ์ของคนทุกอย่างค่ะ ความหยิ่ง ความผยอง ความทะเยอทะยาน  มันมีหมดเลยพอเข้าไปดูเราจะรู้สึกถึงว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่มีความเป็นคนมากๆ ค่ะ มันคือชีวิตของแต่ละคนจริงๆ ซึ่งในโลกใบนี้ อยากให้ลองดูคิดว่าไม่ค่อยมีภาพยนตร์ไทยเรื่องไหนที่ถ่ายทอดเรื่องราวแบบนี้ค่ะ

ขอฝากไว้ด้วยนะคะ ภาพยนตร์ดีๆ อีกเรื่อง “นางฟ้า” กับเรื่องราวของความรู้สึก เป็นเรื่องราวของความรัก เป็นเรื่องราวของการมอบให้ หรือใครที่มองหาหนังดราม่าดีๆ แนะนำว่าเรื่องนี้จะทำให้คุณได้ยิ้ม ได้เสียงหัวเราะ ได้น้ำตา และมีความสุข เข้าฉาย 6 มิถุนายนนี้นะคะ