‘น้ำผึ้ง บัวเจริญ’ เจ้าของพ็อกเก็ตบุคส์ ‘ปลดล็อกความคิด ชีวิตติดปีก’ แนะคนรุ่นใหม่ปั้นฝันให้เป็นจริงได้ด้วยตัวเอง

Cover ปลดล็อกความคิด-2การที่ใครสักคนจะประสบความสำเร็จกับความฝันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไปที่ฝันนั้นจะเป็นจริง เหมือนกับน้ำผึ้ง บัวเจริญสาวเก่งเจ้าของพ็อกเก็ตบุคส์ปลดล็อกความคิด ชีวิตติดปีกที่กำลังขายดีอยู่ในตอนนี้ สมัยเรียนวารสารศาสตร์ .ธรรมศาสตร์ เธอก็จบด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 พอก้าวเข้าสู่วัยทำงานก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหน้าที่และประสบการณ์ หากแต่ก็ยังไม่ละทิ้งความฝันกับการเป็นนักเขียน แม้จะใช้เวลานานหลายปี ในที่สุดเธอก็ทำมันได้สำเร็จ พร้อมกันนั้นยังแบ่งเวลาว่างจากงานประจำมาทำงานด้านอื่นๆ ที่รักอีกมากมายอีกด้วย ลองไปคุยกับเธอกันค่ะ รับรองว่าได้แรงบันดาลใจในการปั้นความฝันมากมายเลยล่ะ 

Q : ตอนนี้คุณน้ำผึ้งทำงานเกี่ยวกับอะไรบ้างคะ

A : ตอนนี้เป็นพนักงานประจำด้านประชาสัมพันธ์บริษัทญี่ปุ่น ที่มีสาขาในประเทศไทยค่ะ และเขียนพ็อกเก็ตบุคส์ชื่อ ปลดล็อกความคิด ชีวิตติดปีก เสร็จไปซึ่งกำลังวางแผงอยู่ในตอนนี้ พร้อมกับกำลังเริ่มเตรียมข้อมูลสำหรับเขียนเล่ม 2 ค่ะ นอกจากนี้ก็หุ้นกับเพื่อนๆ ทำบริษัทเกี่ยวกับอบรมสัมมนา, เป็นวิทยากรด้านภาพลักษณ์ และกำลังทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความสวยความงามค่ะ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นโปรเจ็คท์ที่ต่อยอดจากงานเดิม และอยู่บนพื้นฐานสิ่งที่เราชอบและถนัดค่ะ

IMG_3978Q : ทำงานประจำไปด้วยและยังแบ่งเวลามาทำอย่างอื่นด้วยแบบนี้ จัดสรรเวลายากมั้ยคะ

A : สำหรับตัวเองคิดว่าไม่ยากมากค่ะ ขอเพียงเรามีวินัยกับเรื่องที่ทำอยู่ สิ่งแรกในฐานะที่เราทำงานประจำหลักๆ ก็ต้องทุ่มเทให้กับงานประจำค่ะ หลังเลิกงานหรือวันหยุดก็มาจัดสรรเวลาเหล่านั้นทำอย่างอื่นที่อยากทำ ซึ่งก็ยอมรับว่าอาจจะเหนื่อยกว่าปกติ แต่ถ้าเราอยากทำตามความฝันให้สำเร็จ ก็ต้องตั้งใจและทุ่มเทกับมันอย่างจริงจัง เช่น นอนให้ช้าลงและตื่นให้ไวขึ้นกว่าปกติประมาณ 1 ชั่วโมงต่อวัน และเอาเวลานั้นมาสร้างสรรค์ความฝันของตัวเอง ก็จะสามารถทำอะไรได้มากมายแล้วล่ะค่ะ ถ้าใครที่เพิ่งเริ่มจัดสรรเวลาก็อาจจะเริ่มต้นที่ 30 นาทีต่อวันก่อนก็ได้ค่ะ แล้วค่อยขยับออกไป ถ้ามีเรื่องมาชนกันพอดีเราก็จะต้องเลือกว่าอะไรควรทำก่อนทำหลัง และจะชะลออีกเรื่องไว้ได้อย่างไรค่ะ

Q : โห! ฟังแล้วทึ่งเลยค่ะ นอกจากนี้แล้วยังแบ่งเวลาทำอะไรอีกบ้างมั้ยคะ

A : ช่วงนี้ก็น่าจะเป็นแผนเรื่องเรียนค่ะ เสริมทักษะด้านต่างๆ ที่เราสนใจ ก็มีเรียนภาษาอังกฤษ, เรียนแต่งหน้า, เรียนทักษะเฉพาะที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้งานที่อยู่ทั้งงานประจำและงานอื่นๆ เช่น Advance PowerPoint, Leadership, Train the trainer, Content management บางหลักสูตรก็เรียนกับสถาบันที่เรามีหุ้นอยู่ค่ะ On the job training นอกจากจะได้พัฒนาทักษะตัวเองแล้ว ยังเป็นการ recheck คุณภาพสถาบันไปด้วยค่ะ

IMG_3974Q : น่าจะมีหลายคนถามนะคะ ว่าคุณผึ้งไม่เหนื่อยบ้างเลยเหรอที่ทำอะไรเยอะแยะเลย 

A : เอาจริงๆ ไม่เหนื่อยนะคะ (หัวเราะ) เพราะมันเหมือนอยู่ในไลฟ์สไตล์ของเรา แค่จับเอาไลฟ์สไตล์และ skill ให้มาอยู่ด้วยกันและให้มันไปด้วยกันได้ อีกอย่างเราทำสิ่งที่เราถนัดและชอบด้วยค่ะ เพราะถ้าให้ไปทำอะไรที่ไม่ถนัดและชอบก็คงจะเหนื่อยเหมือนกัน (หัวเราะ) เหมือนอย่างตอนที่ทำงานหนังสือเล่มแรกในชีวิต ‘ปลดล็อกความคิด ชีวิตติดปีก’ ก็เกิดจากวิถีชีวิตตัวเองค่ะ พกโน้ตบุ๊กติดตัวตอนออกไปข้างนอก ว่างก็เอาขึ้นมาเขียนงาน เป็นอยู่อย่างนี้ จะรู้สึกเหนื่อยอีกทีตอนที่เจอปัญหาติดขัดจากสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ด้วยตัวเอง แต่จะไม่ยอมแพ้นะคะ ยิ่งเจออุปสรรคมากๆ แล้วไม่ยอมแพ้ แสดงว่าเราเอาจริงแน่กับสิ่งนั้น และหลงรักมันจริงๆ แล้วล่ะ เหมือนได้ทดสอบจิตใจตัวเองไปด้วย ซึ่งทุกครั้งที่เจอปัญหาก็จะหาทางออก และก็เจอทางออกทุกครั้งเหมือนกันค่ะ แต่อาจจะไม่ใช่ทางออกเดิมที่เราคิดไว้ แต่เป็นทางออกใหม่ ประตูบานใหม่เปิดขึ้นเสมอค่ะ


Q :
แล้วปลดล็อกความคิด ชีวิตติดปีกบอกเล่าถึงอะไรในเล่มคะ

A : หนังสือเล่มนี้เกิดจากที่พี่เองคับข้องใจและเบื่อหน่ายกับชีวิตพนักงานประจำค่ะ จนถึงขึ้นอยากจะลาออกไปทำอย่างอื่น เพราะเจอปัญหาปวดหัวทั้งกับงาน คนรอบข้าง เพื่อนร่วมงาน หรืออะไรต่างๆ ที่มนุษย์เงินเดือนอย่างเราต้องเจอ แต่ในเมื่อยังลาออกไม่ได้และก็เปลี่ยนสิ่งต่างๆ เหล่านั้นไม่ได้ เราจะจัดการอย่างไรกับปัญหาที่เป็นอยู่อย่างไร ก็ลองมาสารพัดวิธีและทำอยู่หลายปีก็ไม่สำเร็จ จนในวันหนึ่งก็ค้นพบเคล็ดลับที่ทำให้เราอยู่กับความเป็นมนุษย์เงินเดือนได้อย่างมีความสุขค่ะ อยากรู้ว่ามีเคล็ดลับอะไรบ้าง ต้องติดตามกันในหนังสือนะคะ (ยิ้ม)

IMG_3957Q : ถ้ามีผู้อ่านบทสัมภาษณ์นี้อยู่ และอยากมีผลงานพ็อกเก็ตบุคส์เป็นของตัวเองบ้าง มีคำแนะนำมั้ยคะ

A : ก่อนอื่นเลยต้องถามตัวเองก่อนค่ะว่าเป็นสิ่งที่เราชอบจริงๆ หรือเปล่า ถ้ายังไม่รู้ว่าชอบหรือไม่ ก็ลองทำดูก่อนก็ได้ค่ะ เพราะทุกอย่างต้องเกิดจากการเรียนรู้และลงมือทำ และถ้ารู้แล้วว่าเป็นคนชอบเขียน ต่อมาก็ต้องหาแนวทางของตัวเองให้เจอค่ะว่าชอบเขียนแนวไหน บางคนอาจจะชอบเล่าเรื่องเวลาไปท่องเที่ยว บางคนอาจจะชอบเล่าถึงเมนูอาหาร บางคนอาจจะมีข้อคิดคำคมดีๆ ที่คิดขึ้นมาเอง บางคนอาจจะชอบเรื่องผี เรื่องลึกลับสยองขวัญ อะไรอย่างนี้เป็นต้น จากนั้นก็ลงมือเขียนเลยค่ะ เขียนทุกวัน หมั่นฝึกฝนไปเรื่อยๆ อาจจะลองส่งงานไปที่สำนักพิมพ์ต่างๆ ที่เข้ากับแนวงานเขียนของเราก่อนก็ได้ค่ะ อันนี้เป็นจุดเริ่มต้นคร่าวๆ ของการเขียนงานนะคะ สิ่งสำคัญคือวินัยและการหมั่นทำเป็นประจำด้วยความรักและใส่ใจค่ะ


Q :
สมัยนี้สังคมเรามีเรื่องเกิดขึ้นมากมายที่ส่งผลให้เราท้อแท้ เวลาเจอความรู้สึกแบบนี้มีวิธีการแก้ปัญหายังไงคะ

A : ก็จะพูดคุยปรึกษากับเพื่อนสนิทหรือพี่น้องค่ะ จะพยายามไม่คิดซ้ำ อย่างคำพระท่านว่า ‘ความทุกข์เกิดขึ้นครั้งเดียวแต่เรามักคิดซ้ำไปซ้ำมาเลยเหมือนปัญหามีตลอด’ ปัญหาบางอย่างเราควบคุมไม่ได้ก็ต้องตั้งสติก่อนและเดินหน้าต่อไป คือทำไปบ่นไป (หัวเราะ) เวลาเจอปัญหาก็อย่าสงสารตัวเองให้มากเกินไป ไม่ได้หมายถึงใจร้ายกับตัวเองนะคะ แต่ต้องคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ คนที่เขาประสบความสำเร็จก็เหนื่อยมาก่อนทั้งนั้น กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว ถ้าสงสารตัวเองมากเราจะอ่อนแอ ท้อแท้ และพาลจะล้มเลิก แต่เมื่อสำเร็จก็ต้องให้รางวัลตัวเองด้วยนะคะ ข้อแตกต่างระหว่างคนประสบความสำเร็จและล้มเหลวคือ คนสำเร็จมักไม่มีข้ออ้าง คนล้มเหลวจะมีแต่ข้ออ้างเต็มไปหมด สิ่งสำคัญคือ เราต้องรู้จักและเข้าใจตัวเองให้ดีพอด้วยค่ะ


Q :
สังคมทุกวันนี้เขาว่าอยู่ยากมีเคล็ดลับการดูสุขภาพจิตใจมั้ยคะ 

A : สุขภาพจิตใจสำคัญมากนะคะ ถ้าเราดูแลได้มันก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพภายนอกด้วย ส่วนตัวมีใช้อยู่หลักๆ ประมาณ 10 ข้อค่ะ คือ รู้จักและเข้าใจตัวเอง, เป็นคนคิดบวก, ปล่อยวาง, อยู่กับปัจจุบัน มีธรรมะ มีสมาธิ, เห็นคุณค่าของตัวเอง, หัดปฏิเสธบ้าง, คาดหวังต่อคนอื่นให้น้อย, มีชีวิตอยู่อย่างมีเป้าหมาย มีความสุขง่ายๆ บ้าง, ขอบคุณในสิ่งที่มีและได้รับ รู้จักยอมรับ ให้อภัย และขอโทษค่ะ

IMG_3731Q : สำหรับใครที่ยังค้นหาความฝันไม่เจอ และไม่มั่นใจในสิ่งที่ทำอยู่ มีคำแนะนำอย่างไรบ้างคะ 

A : ผึ้งว่าทุกคนมีความฝันค่ะ แต่ไม่อาจจะไม่เคยนั่งนิ่งๆ แล้วฟังเสียงหัวใจตัวเอง อาจจะด้วยความที่เราใช้ชีวิตทุกๆ วันท่ามกลางความเร่งรีบ ถูกเร่งเร้าด้วยสารพัดสิ่ง เสียงจากภายนอกดังกลบความต้องการที่แท้จริงของเราไป ลองหาเวลาฟังเสียงภายในตัวเองให้ชัดๆ แล้วเราน่าจะได้เจอความฝันค่ะ หรือหากใครคิดว่าไม่มีจริงๆ ลองกลับไปตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนสมัยเด็กๆ ก็ได้ค่ะ “โตขึ้นอยากเป็นอะไร?” ซึ่งเราก็ปรับคำถามสักนิด “อีก 5 ปี อยากเป็นอะไร” “10 ปี อยากเป็นอะไร” “เกษียณแล้วอยากเป็นอะไร” “อยากเห็นภาพตัวเองเป็นแบบไหน” หาแรงบันดาลใจ ต้องปลุกฝัน ปลุกแล้วอย่าลืมปั้น พี่ผึ้งเรียกมันว่า “ปลุก ปั้น ฝัน” และไม่ต้องกลัว ไม่ต้องขาดความมั่นใจค่ะ สิ่งใดก็ตามที่เราฝันไม่จำเป็นต้องเป็นฝันใหญ่ แต่เมื่อเราได้ลงมือทำแล้วรู้สึกถึงความยิ้ม ความอิ่ม ไม่แห้งแร้ง ไม่ยอมลดละในการแก้ปัญหา เหนื่อยแต่มีความสุข แสดงว่าเรามาถูกทางแล้ว แต่ถ้าทำแล้วฝืนๆ ทำเพราะเสียงคนอื่น ฝันนี้อาจไม่จีรัง และการที่เรารู้สึกไม่มั่นใจ มันอาจจะเกิดจากความกลัว ต้องถามตัวเองว่ากลัวอะไร แล้วเราจะรู้ถึงปัญหาของสิ่งนั้น และรู้วิธีที่จะแก้ไขกับมันได้ถูกจุด ทุกปัญหามีทางออกแน่นอนค่ะ เพราะถ้าเราเอาแต่กลัวและไม่ลงมือทำ โอกาสที่ความสำเร็จเป็นศูนย์ แต่ถ้าเรากล้าที่จะทำ โอกาสประสบความสำเร็จอย่างน้อย 1% แล้ว ดังนั้นอย่ากลัวค่ะ ไม่มีใครทำลายความฝันเราได้ นอกจากตัวเราเอง (ยิ้ม)

Q : เคล็ดลับการสร้างความสุขในสถานการณ์ที่เกิดทุกข์ 

A : เคล็ดลับที่เป็นยาสามัญประจำชีวิตของผึ้งเลยก็คือ ‘คิดบวก’ ค่ะ เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้เหมือนกันค่ะ ชื่อตอน ‘คิดบวกไม่ใช่โลกสวย’ แต่คือการคิดให้ครบทุกมุม คิดในมุมที่เป็นประโยชน์ เช่น หัวหน้าให้งานเยอะมาก มุมหนึ่งเราคงเป็นทุกข์ว่าโดนแกล้ง ลำเอียง แต่คนคิดบวกจะมองเห็นมุมดีๆ อีกมุม เช่น เราคงเป็นที่วางไว้ มีความสามารถ จากนั้นก็เก็บประสบการณ์ดีๆ ใส่กระเป๋าตุนไว้ เราได้ลงวิชาเรียนใหม่ที่ได้เงินใช้ด้วย ไม่ต้องเสียเงินไปจ่ายค่าเรียนอีกต่างหาก และส่วนตัวก็ยึดคำสอนของท่านพุทธทาสด้วยค่ะที่ว่า “อย่าเป็นทุกข์ให้โง่” คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อมีหน้าที่เป็นทุกข์ ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตล้วนให้บทเรียน ความสุขอยู่กับเราไม่นาน ความทุกข์ก็เช่นกัน ถ้าไม่เคยทุกข์เราก็จะไม่รู้ว่าความสุขหน้าตาเป็นอย่างไร พี่ผึ้งเป็นกำลังใจให้น้องๆ ชาวเด็กดีดอทคอมทุกคนให้ตามความฝันของตัวเองให้สำเร็จ และมีความสุขกับหน้าที่ๆ เรารับผิดชอบนะคะ

อยากรู้จักผู้หญิงเก่งคนนี้ให้มากขึ้น อย่าลืมแวะแผงหนังสือใกล้บ้าน หรือกดไลค์แฟนเพจที่มีชื่อเดียวกันปลดล็อกความคิด ชีวิตติดปีกแล้วจะพบกับข้อคิดดีๆ และแรงบันดาลใจมากมายค่ะ

ผู้เขียนคำนิยมในหนังสือปลดล็อกความคิด ชีวิตติดปีก

พี่เช็ค-สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ จากทีวีบูรพา, ครูนัท-ชนะ เสวิกุล นักแต่งเพลง ครูสอนดนตรี, ปราบต์ นักเขียนเจ้าของผลงาน กาหลมหรทึก นักเขียนเจ้าของรางวัลยอดเยี่ยมนายอินทร์อวอร์ด ปี 2557, พนิดา เอี่ยมศิรินพกุล เจ้าของผลงานซีรี่ย์กุ๊กกิ๊กไกด์ และผู้ก่อตั้งสำนักพิมพ์ยาหยี และสรัญญา โภคาลัย บรรณาธิการบริหารนิตยสารรักลูก